ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 332 รอยยิ้มในฤดูใบไม้ร่วงแห่งเขาเคอร์บัล

พอได้ยินข้อเสนอของวินนี่ นีลเซ็นพูดอย่างสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่งขึ้น “เอาสิ พวกเรามาผลัดกันร้องเพลงกันเถอะ ถือเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจทีเดียว”
วินนี่ยื่นมือไปแปะกับนีลเซ็น ส่วนเบิร์ดยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ผมได้หมด”
ส่วนฉินสือโอวพูดค้านขึ้น “เล่นไพ่ล่ะเป็นไง? ฉันเอาไพ่มาด้วยนะ แต่ถ้าพวกนายอยากร้องเพลงกันงั้นฉันขอฟังแล้วกันโอเคไหม?”
นีลเซ็นเลยพูดขึ้น “ไม่เอางั้นสิบอส คุณออกจะร้องเพลงเก่ง ผมเคยได้ยินตอนที่คุณสอนชาร์คและซีมอนสเตอร์ร้องเพลงตอนที่ต้องไปแสดงในวันเฉลิมฉลองเมืองไง”
ก่อนหน้านั้น ชาร์คและซีมอนสเตอร์เคยได้ยินฉินสือโอวร้องเพลง ‘สรวงสวรรค์’ ของเถิงเกอ หลังจากนั้นพวกเขาก็เลยตื๊ออยากจะเรียนร้องเพลงกับฉินสือโอว เพราะทั้งสองคนอยากจะร้องคู่กับฉินสือโอวในวันเฉลิมฉลองเมือง
แต่เรื่องในคราวนี้ดูเหมือนจะไม่ไหวสักเท่าไรเพราะภาษาจีนนั้นยากเกินไป โดยเฉพาะเพลง ‘สรวงสวรรค์’ ที่ต้องเอื้อนเสียงสูง และตอนนั้นในระหว่างที่ชาร์คและซีมอนสเตอร์เดินอย่างพลิ้ว เขาจึงเอื้อนเสียงสูงในท่อนฮุคไปได้เพราะเลยทีเดียว
ฉินสือโอวลูบไปที่จมูก เรื่องของเรื่องก็คือ ในตอนนั้นยังไม่มีวินนี่ผู้ที่รู้ภาษาจีน เขาเลยหลอกชาร์คกับซีมอนสเตอร์ถึงเสียงของเขาได้ เพราะไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่เคยฟังเพลง ‘สรวงสวรรค์’ อยู่แล้ว ตัวเองเลยจะร้องอย่างไรก็ได้
แต่ตอนนี้มีวินนี่นั่งอยู่ข้างๆ
เธอหัวเราะชอบใจและพูดขึ้นว่า “งั้นฉันเริ่มก่อนแล้วกัน เอาเป็นเพลง ‘Land of the Silver Birch’ เป็นไง?”
‘Land of the Silver Birch’ เป็นเพลงพื้นบ้านเพลงหนึ่งของคนแคนาดาที่ติดหูจนใครๆ ก็ร้องได้ จุดกำเนิดมาจากเป็นเพลงที่นิยมร้องกันอย่างมากของชาวอินเดียแดงที่อาศัยอยู่ในเขตแม่น้ำเกรตเลกส์และออตตาวา เนื้อหาของเพลงก็คือชาวอินเดียแดงพูดชมถึงภาพบรรยากาศของป่าเขาของพวกเขา
นีลเซ็นและเบิร์ดก็ร้องเชียร์กันอย่างฮึกเหิม ส่วนฉินสือโอวก็ปรบมือให้ วินนี่จึงยิ้มหวานและร้องอย่างนุ่มนวลขึ้น “ป่าเบิร์ชแสนงาม บ้านเกิดของนากทะเล ที่นั่นมีกวางมูสตัวใหญ่ วิ่งไปอย่างอิสระ แม่น้ำและก้อนหินสีฟ้าสดใส ฉันอยากจะกลับไปอีกสักครั้ง…”
พอวินนี่เริ่มร้องก็ทำให้แววตาของฉินสือโอวเป็นประกาย เพราะเขาค้นพบแล้วว่าวินนี่ไม่ได้เพอร์เฟกต์ไปซะทุกอย่าง เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์อันล้ำเลิศและเสน่ห์ที่งดงามของเธอ เสียงของเธอก็ดูจะธรรมดามาก อย่างนี้เลยทำให้เขามีความมั่นใจขึ้นมาแล้วเล็กน้อย
เพลงแรกร้องจบไป วินนี่ก็นั่งลงและยิ้มแป้น จากนั้นก็ให้ฉินสือโอวลุกขึ้นมาร้องต่อ
ฉินสือโอวกระแอมก่อนหนึ่งครั้ง และพอกำลังจะเริ่มร้อง ในทันใดนั้นบุชก็ร้อง ‘ก้าบก้าบ’ ขึ้นมาสองครั้ง เขาเลยต้องหยุดร้องและหันไปมอง ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าเนื้อปลาที่บุชกลืนเข้าไปติดคอมัน มันเลยต้องยืดคอและกระพือปีกจากนั้นเลยกลับไปนั่งลงเหมือนเดิม
เขาเลยกระแอมอีกรอบ คราวนี้ฉินสือโอวเริ่มร้องจริงๆ แล้ว “ดอกไม้ในกระเช้าแสนหอม ฟังฉันร้องเพลงกล่อมเจ้าเอ๋ย ฟังฉัน ฟังฉันร้องเพลงกล่อมเจ้าเอ๋ย… ถึงอ่าวหนานหนี่วานแล้วเอ๋ย อ่าวหนานหนี่วานแสนงาม ดินแดนแสนงาม…”
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจร้องเพลงอ่าวหนานหนี่ ซึ่งเป็นเพลงพื้นบ้านที่ร้องชมบ้านเกิดตัวเองอีกเพลงหนึ่ง
เขาที่กำลังร้องอยู่ และวินนี่ที่ยิ้มอย่างมีเลศนัย เธอโยนแอปเปิลสองสามลูกไปให้เขา ฉินสือโอวรับไว้ จากนั้นฉงต้าก็กระโดดโผเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็ว เพลงที่ร้องยังไม่ทันจบ แต่ทั้งสองกลับไปนอนกลิ้งอยู่บนพื้นแล้ว
นีลเซ็นเลยขึ้นมาร้องเพลงพื้นเมืองของชาวอเมริกาเหนือ และสุดท้ายก็ตามมาด้วยเบิร์ด เบิร์ดผู้ที่ออกจะหยาบคายแข็งกร้าวก็ได้แสดงด้านที่นุ่มละมุนของมนุษย์กระดูกเหล็กออกมา เขาหยิบฮาร์โมนิก้าที่อยู่ในถุงย่ามออกมา วางแนบลงบนปากและเป่าอย่างช้าๆ
ฉินสือโอวที่ไม่ค่อยจะรู้เกี่ยวกับเพลงอเมริกาเหนือเท่าไร ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเพลงที่เบิร์ดเป่าเป็นเพลงอะไร แต่ทำนองที่ไพเราะช้าๆ สบายๆ ที่พอได้ฟังแล้วกลับรื่นหูมาก
เมื่อเห็นว่าเบิร์ดมีความสามารถแบบนี้เขาเลยถือโอกาสนี้ทำให้เบิร์ดเฉิดฉาย หลังจากที่เบิร์ดเป่าฮาร์โมนิก้า เขาก็นั่งฟังอยู่ข้างๆ
หู่จือ เป้าจือและฉงต้าก็นั่งพิงอยู่ข้างๆ เขาตามลำดับ จากนั้นฉินสือโอวก็ดึงวินนี่เข้ามาใกล้ๆ ทั้งสองคนและกลุ่มเพื่อนตัวน้อยนั่งด้วยกันเป็นกลุ่มเพื่อฟังเสียงนุ่มละมุนของฮาร์โมนิก้า พร้อมกับเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าใสสะอาดอันกว้างสุดลูกหูลูกตาและเต็มไปด้วยดวงดาว บวกกับบรรยากาศที่งดงามราวกับในหนัง
นั่งเล่นรอบกองไฟจนถึงสี่ทุ่ม พวกเขาถึงค่อยไปเตรียมตัวพักผ่อนกัน ฉินสือโอวเก็บบริเวณกองไฟ วินนี่ที่เตรียมมื้อดึกให้พวกฉงต้าและปอหลัว ส่วนนีลเซ็นกับเบิร์ดก็พากันไปตรวจดูทุกซอกทุกมุมของพื้นหญ้าบริเวณเต็นท์ว่ามีพวกงูหรือพวกแมลงอะไรไหม
ส่วนอาหารเย็นที่เหลือเป็นพวกเนื้อไก่เล็กน้อย ฉินสือโอวจึงฉีกออกจากไม้แล้วโยนไปที่โคนต้นไม้ และแมวป่าตัวนั้นที่ยังไม่ได้หนีไป ก่อนหน้านี้มันก็ฟังเบิร์ดเป่าฮาร์โมนิก้าอยู่บนต้นไม้อย่างเงียบสงบ
มองมายังชิ้นเนื้อไก่ที่ชุ่มไปด้วยน้ำมันแวววาว แมวป่าตัวนั้นก็ถึงกับเลียปากแผลบๆ ไม่หยุด และดวงตากลมๆ ของมันก็กลอกกลิ้งไปมา ราวกับว่าอย่ามาหลอกฉันซะให้ยาก ฉันไม่โดนแกหลอกง่ายๆ หรอกนะ
จากนั้นพอฉินสือโอวและอีกสี่คนเข้าไปในเต็นท์ มันก็รีบวิ่งลงมาจากบนต้นไม้และคาบไก่ย่างขึ้นไปบนต้นไม้ทันที พร้อมกับกินอย่างสำราญใจ
ฉินสือโอวที่หมอบดูอยู่ตรงประตูเต็นท์ก็อดที่จะยิ้มขึ้นไม่ได้ เจ้าแมวใหญ่ตัวนี้ก็น่ารักดีเหมือนกันนะเนี่ย และถ้าเขามีความคิดที่อยากจะจับมันล่ะก็ ใช้อุบายของเขาไม่กี่นาทีก็ทำให้มันติดกับได้แล้ว
ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยในนิวฟันด์แลนด์ สัตว์ป่าที่ไม่ค่อยมีไหวพริบ หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือพวกมันค่อนข้างจะดูชะล่าใจกับพวกมนุษย์ เหตุผลที่ทุกคนต่างก็รู้ซึ่งก็คือการที่พวกมันคิดว่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ฉินสือโอวก็ถูกวินนี่ลากมานั่งที่แนวเขาเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้น
จากนั้นฟ้าก็สางขึ้นทางทิศตะวันออก ไม่นานนักเส้นแสงสีแดงก็โผล่ขึ้นมาก่อนและดวงอาทิตย์สีแดงฉานก็ค่อยๆ โผล่ตามขึ้นมา
จากนั้นเจ้าแมวยักษ์บนต้นไม้ก็ยืนขึ้นบิดขี้เกียจแล้วมองไปยังทั้งสองคน ฉินสือโอวโบกมือทักทายมัน แต่สุดท้ายเจ้าแมวยักษ์ก็แค่ชำเลืองมามองเขาอย่างหยิ่งยโสแล้วก็กลับไปบิดขี้เกียจอีกรอบ และวิ่งทะลุลงจากบนต้นไม้อย่างรวดเร็วและหายเข้าป่าไป
“ไอ้เจ้าแล้งน้ำใจเอ้ย” ฉินสือโอวด่าออกมาหนึ่งประโยค
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ ทั้งสี่คนก็ต้องกลับกันแล้ว ระหว่างทางกลับฉินสือโอวที่ได้เจอกับแปลงดอกป๊อปปี้ไอซ์แลนด์ก็ตื่นเต้นยกใหญ่ เขาจึงไปเด็ดพวกมันมาแล้วร้อยเป็นมงกุฎดอกไม้ไปใส่ไว้บนหัวของวินนี่
ป๊อปปี้ไอซ์แลนด์เป็นตัวแทนของดอกไม้ป่าสไตล์อเมริกาเหนือ ก้านที่เรียวบางและดอกที่บานใหญ่ สีสันสดใสสวยงามซึ่งพอที่จะสามารถเบ่งบานไปได้ตลอดทั้งฤดูใบไม้ผลิไปจนถึงปลายฤดูร้อนและต้นฤดูใบไม้ร่วง พอดีกับเวลานี้เป็นช่วงสุดท้ายของพวกมัน พวกมันจึงต้องดูสดใสก่อนที่จะร่วงโรยไป พวกมันจึงพยายามอย่างสุดกำลังที่จะเบ่งบานออกมาเป็นดอกไม้ที่สวยงามภายใต้ท้องฟ้าอันสดใส
และเมล็ดพันธุ์ของดอกไม้ชนิดนี้ก็ยังสามารถแพร่พันธุ์ได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นมันจึงสามารถกลายมาเป็นทุ่งดอกไม้ที่งดงามตาได้ ฉินสือโอวและคนอื่นๆ เห็นว่าทุ่งดอกไม้นี้ค่อนข้างเล็ก มีเพียงแค่สองหรือสามเอเคอร์เท่านั้นแถมยังอยู่บนภูเขาอีกด้วย ซึ่งดูไม่ค่อยจะมีพื้นที่สำหรับการดำรงอยู่ของพวกมันสักเท่าไร
ส่วนพวกผู้หญิงที่ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านต่อดอกไม้อยู่แล้วนั้น วินนี่จึงได้พาหู่จือและเป้าจือไปเซลฟี่ในดงดอกไม้พวกนั้น จากนั้นฉินสือโอวกับนีลเซ็นและเบิร์ดก็พากันไปเก็บเมล็ดพันธุ์ของดอกป๊อปปี้ไอซ์แลนด์เพื่อเตรียมเอาไปปลูกที่ฟาร์มปลา
“ถ้าพวกคุณชอบดอกไม้กัน งั้นพวกเราเปลี่ยนเส้นทางกันดีไหม พาพวกคุณไปรู้จักกับรอยยิ้มในฤดูใบไม้ร่วงแห่งเขาเคอร์บัลกันสักหน่อย” นีลเซ็นพูดเป็นนัยตอนที่เขาและคนอื่นๆ อยู่ในระหว่างการเดินทาง
“รอยยิ้มในฤดูใบไม้ร่วงแห่งเขาเคอร์บัลคืออะไร?” ฉินสือโอวถามขึ้น เขามาที่เมืองแฟร์เวลได้ครึ่งปีกว่าแล้วแต่ยังไม่รู้เลยว่ามันคืออะไร
นีลเซ็นที่ยิ้มขึ้นแต่ก็ไม่ได้ตอบกลับอะไร เขาเพียงแค่พาเปลี่ยนเส้นทางไปเลยก็เท่านั้น
เดินไปได้ชั่วโมงกว่าๆ ฉินสือโอวก็เริ่มหงุดหงิด ส่วนคนนำทางอย่างนีลเซ็นก็หยุดเดินในทันทีเมื่อมาถึงตรงเนินเขาเล็ก จากนั้นเขาก็โค้งตัวทำท่าเชื้อเชิญและพูดอย่างเสียงดังฟังชัด “ยินดีต้อนรับสู่รอยยิ้มในฤดูใบไม้ร่วงแห่งเขาเคอร์บัล”
เมื่อยืนอยู่ตรงเนินเล็กๆ แล้วมองลงไปยังภาพอาณาเขตที่เต็มไปด้วยดอกไม้สีแดงที่แซมด้วยสีเหลืองสวยสดงดงาม ดอกไม้พวกนี้ผลิบานรับอากาศ ลมบนเขาที่พัดผ่านมันไป กลิ่นหอมที่โชยเข้ามาในจมูกพร้อมกับดอกไม้ที่กำลังพลิ้วไหวไปตามสายลม ช่างเป็นภาพที่งดงามจนไม่สามารถที่จะชื่นชมได้หมดในวันเดียว
“ดอกเดือนฉาย!” ฉินสือโอวยิ้มและพูดขึ้น
ดอกไม้ชนิดนี้เห็นได้ค่อนข้างเยอะในประเทศจีน เพราะกลีบของมันแดงและใหญ่และตรงระบายกลีบก็มีเส้นสีทองล้อมเป็นวงไว้ สีแดงและสีเหลืองที่เข้าคู่กันแบบนี้นับว่าเป็นอะไรที่เหมาะกับบรรยากาศของงานเทศกาลมงคลของจีน ซึ่งไม่ว่าจีนจัดงานเทศกาลเมื่ออะไรเมื่อไหร่ ก็จะเห็นพวกมันได้บ่อยเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ดอกเดือนฉายยังทนหนาวได้ดีกว่าดอกไม้ชนิดอื่นๆ อย่าได้พูดถึงตอนนี้ที่เป็นแค่ต้นฤดูใบไม้ร่วงเลย ถ้ายิ่งเข้าช่วงที่หนาวสุดๆ ของฤดูใบไม้ผลิในขณะที่ดอกไม้อื่นๆ นั้นต่างพากันร่วงโรย แต่มันก็ยังจะสามารถผลิบานในป่าลึกของอเมริกาเหนือได้
ทั้งเนินที่ดูมีเนื้อที่ประมาณยี่สิบกว่าเอเคอร์และยังปกคลุมไปด้วยดอกเดือนฉายทั้งหมด จนทำให้เกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยงามซึ่งสามารถทำให้อึ้งไปชั่วขณะได้เลย
และถ้าผ่านไปอีกเดือนสองเดือน ในตอนที่ดอกไม้ชนิดอื่นร่วงโรยลงมาพร้อมกับใบหญ้าที่เหี่ยวเฉา แต่บนเขาเคอร์บัลนั้นจะยังมีทุ่งดอกไม้สดขนาดใหญ่ที่ยังคงบานสะพรั่งอยู่ และที่พูดกันว่าเป็น ‘รอยยิ้มในฤดูใบไม้ร่วง’ ของเขาลูกนี้ไม่ได้เป็นการพูดเกินไปเลยจริงๆ
วินนี่ที่ถือกล้องอยู่ในมือก็เริ่มยกขึ้นถ่ายโดยมีแสงแฟลชเปล่งออกมาระยิบระยับ แม้แต่ขนาดฉงต้าจอมขี้เกียจที่พอได้เห็นทุ่งดอกไม้สวยสดงดงามขนาดนี้ก็ยังอดใจไม่ไหวที่ทั้งกลิ้งทั้งคลานเข้าไปในทุ่งดอกไม้ แต่ก็ไม่ถึงกับว่าทำลายทุ่งดอกไม้ไปเยอะเท่าไรเพราะถึงอย่างไรเนื้อที่มันก็กว้างใหญ่ไพศาลมากอยู่แล้ว
“ถ้าเกิดทางเดินดีกว่านี้สักหน่อย ก็น่าจะสามารถทำเป็นจุดท่องเที่ยวได้เลยนะเนี่ย” ฉินสือโอวพูดอย่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
“แต่ก็สามารถเอาไปบุกเบิกได้นะ เพราะถ้าอยากกินขนมปังย่างหอมฉุยล่ะก็ งั้นก็คงต้องหว่านเมล็ดพันธุ์ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ไถพรวนในฤดูร้อนและเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง” วินนี่ยกคำสแลงประโยคหนึ่งของชาวนิวฟันด์แลนด์มาพูด
ในระหว่างทางที่มีทุ่งดอกไม้ตามสองข้างทางจึงทำให้การมาปีนเขาในครั้งนี้กลายเป็นทริปที่สมบูรณ์แบบมากเป็นพิเศษ จากนั้นฉินสือโอวก็อัปโหลดรูปลงในคิวคิว ไม่นานนักก็มีคอมเมนต์มากมายใต้ภาพ และตอนนี้คิวโซนของเขาก็ได้กลายเป็นศูนย์รวมของเพื่อนๆ และเพื่อนโรงเรียนไปแล้ว
ฉินสือโอวคิดไปคิดมาจากนั้นก็ประกาศลงในกลุ่มว่า “ปักกิ่งตอนนี้มีบินตรงมาที่แฟร์เวลแล้วนะ ถ้าพวกนายคนไหนอยากมาเที่ยวก็ไปหาเจ้าโคโกโร่ได้เลย แค่ออกค่าเครื่องมา ส่วนเรื่องอื่นๆ ยกให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
จนมาถึงปลายเดือนตุลาคมขณะพวกเพื่อนๆ ของเขาที่ยังไม่มีใครมาสักคน แต่ครอบครัวของฉินสือโอวทั้งพ่อ แม่ และพี่สาวจะพากันมาแล้ว ในขณะที่จัดการอะไรทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็คอยโทรเร่ง จนสุดท้ายวินนี่ก็ได้เอ่ยปากพูดโน้มน้าวให้พ่อแม่มาเที่ยวที่แคนาดาด้วย
เพราะในฤดูใบไม้ร่วงที่ท้องฟ้าปลอดโปร่งอากาศเย็นสบายและเป็นโอกาสอันดีที่จะมาเที่ยวแคนาดาในช่วงนี้ อีกทั้งยังเป็นฤดูกาลแห่งการชมต้นเมเปิลอีกด้วย บวกกับการที่ยังไม่ได้ตั๋วไว้ล่วงหน้า อย่างนี้เลยทำให้การซื้อตั๋วเป็นอะไรที่ลำบากมาก ฉินสือโอวที่จะซื้อตั๋วให้พ่อแม่ในตอนนี้ก็ซื้อไม่ได้แล้ว
เวลานี้จึงต้องถึงคราวของบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสออกโรงแล้ว เขาโทรศัพท์หาเจนนิเฟอร์และทิ้งข้อความให้เธอช่วยจองตั๋วเฟิร์สคลาสห้าใบจากปักกิ่งมาโทรอนโตให้เขาหน่อย ผ่านไปไม่กี่นาที ข้อความบริการจองตั๋วก็เด้งเข้าขึ้นมาบนโทรศัพท์เขา
เนื่องด้วยเมืองแฟร์เวลเป็นตลาดการท่องเที่ยวหลักภายในประเทศ อีกทั้งเทศกาลวันชาติจีนเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญที่นักท่องเที่ยวระลอกแรกจะเยอะมากที่สุดในช่วงเวลานี้ และตามข้อมูลที่ส่งมาโดยบริษัททัวร์นั้น จำนวนนักท่องเที่ยวของเดือนพฤศจิกายนเป็นรองแค่วันชาติจีนเจ็ดวันนั้นเท่านั้น ซึ่งในช่วงสองสามวันนี้ได้มีนักท่องเที่ยวทั้งหมดยี่สิบล็อตประมาณเกือบสองหมื่นคนที่จะเข้ามาเมืองแฟร์เวล
จากข้อความนี้นั้น ฉินสือโอวทำได้แค่ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เขารู้ว่าจีนนั้นคนรวยเยอะอยู่แล้ว แต่นึกไม่ถึงว่าจะเยอะได้ถึงระดับนี้ ไม่ต้องไปคิดที่ไหนไกลเลย เพียงแค่ปักกิ่งบินมาเซนต์จอห์น ค่าเดินทางไปกลับก็ปาไปประมาณสองหมื่นหยวนต่อคนแล้ว!
จากนั้นเขาเลยมาพูดเรื่องนี้กับเหมาเหว่ยหลง และเหมาเหว่ยหลงก็พูดอย่างเหยียดหยามว่า “หึหึ แกนี่มันกากจริงๆ เลย รู้ไหมว่าประเทศพวกเรามีมหาเศรษฐีพันล้านอยู่เท่าไร? หนึ่งแสน! แล้วมหาเศรษฐีร้อยล้านมีอยู่เท่าไร? เกือบๆ เจ็ดหมื่นคน!”
“เอาเถอะน่า เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว รับพ่อแม่ฉันมาให้ดีๆ ก็แล้วกัน ถ้าเกิดเรื่องแม้แต่นิดเดียวฉันเอาแกตายแน่!”
“ขี้เกียจจะพูดกับคนบ้านนอกแคนาดาเต่าล้านปีอย่างแกว่ะ เดี๋ยวส่งลิงก์ข่าวให้แกไปอ่านเอาเองแล้วกันนะ”
จากนั้น เหมาเหว่ยหลงก็ส่งลิงก์ให้ฉินสือโอวจริงๆ เขาเลยเปิดอ่านดู ที่แท้ที่เหมาเหว่ยหลงพูดก็ไม่ใช่เรื่องโกหก จากการนับสถิติของหูรุ่นรีพอร์ต มหาเศรษฐีพันล้านจีนมีถึงหนึ่งแสนเก้าพันคน ส่วนมหาเศรษฐีร้อยล้านมีถึงหก-เจ็ดหมื่นคน!
………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset