ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 333 โดนจับ

ฉินสือโอวพาวินนี่ไปโทรอนโตก่อนหนึ่งวัน และไปเดินแถวไชน่าทาวน์เพื่อหาสถานที่กินข้าวกัน วันที่สองของวันที่สามสิบเดือนตุลาคม ทั้งสองก็ไปที่สนามบินนานาชาติเพียร์สัน
เมื่อเข้าไปถึงแผนกต้องรับของสนามบิน ฉินสือโอวก็หยิบบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสขึ้นมา จากนั้นก็มีแอร์โฮสเตสสาวสวยรีบเดินเข้ามาต้อนรับทันที
พอเห็นแอร์โฮสเตสคนนี้ใบหน้าของวินนี่ก็เต็มไปด้วยความดีใจเลยเข้าไปทักทายก่อน ในขณะที่รอเข้าไปในห้องรับรองวีไอพี ทั้งสองก็กอดกันและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ฉินสือโอวที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ สักพักก็รู้ว่าแอร์โฮสเตสคนนี้เมื่อก่อนทำอยู่ที่แอร์แคนาดาแถมยังเคยบินเที่ยวบินเดียวกับวินนี่อีกด้วย ต่อมาเลยได้ย้ายมาทำเป็นพนักงานต้อนรับแขกวีไอพีที่สนามบินนานาชาติเพียร์สันและไม่ต้องไปลำบากลำบนอยู่บนฟ้าทั้งวันแล้ว
นั่งรอที่สนามบินสักพัก สายการบินที่พ่อแม่ของฉินสือโอวก็แลนดิ้งลงสู่โทรอนโตแล้ว บินมาถึงโดยสวัสดิภาพไม่มีการล่าช้า เลยทำให้เขาสบายใจไปได้มากเลยทีเดียว
เขาสบายใจแล้ว แต่ทางวินนี่กลับตื่นเต้นแทน เธอลุกขึ้นยืนพร้อมกับจัดระเบียบของเสื้อและกระโปรงพลางใช้น้ำเสียงนิ่งเรียบถามขึ้น “นี่ ฉิน ฉันดูแต่งตัวเหมาะสมหรือยัง?”
วันนี้วินนี่ดูพยายามแต่งตัวจนเกินไป เธอสวมเสื้อแบบผู้หญิงสีขาวสวยงาม บริเวณรอบๆ เสื้อยังตกแต่งไปด้วยไข่มุกร้อยปักลงไปอย่างละเอียดและประณีตให้ความรู้สึกอ่อนหวาน ส่วนตรงแขนเสื้อที่เป็นผ้าลูกไม้ ได้ปกคลุมแขนอันเรียวบางขาวสวยของเธอไว้ก็ช่วยขับให้เธอดูมีเสน่ห์มากขึ้น
เสื้อแบบผู้หญิงที่แมทช์กับกระโปรงยาวสีดำสไตล์เรโทรหนึ่งตัว แบบนี้ก็ทำให้เธอดูเคร่งขรึมและดูอนุรักษนิยมมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แถมยังปกปิดกลิ่นอายเสน่ห์อันยั่วยวนของเธอเหมือนอย่างวันนั้นได้ดีเลยทีเดียว และถ้าดูจากตรงนี้ วินนี่ดูเหมือนจะเข้าใจนิสัยของพ่อแม่ของฉินสือโอวดี
ฉินสือโอวรู้ว่าวินนี่กำลังทำเป็นนิ่งเพื่อข่มอาการตื่นเต้นของเธอไว้ เขาเลยเดินเข้าไปและกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขน เหมือนอย่างที่ทำหลังมีอะไรกันทุกครั้ง ดูคล้ายกับอยากจะเอาเธอเข้าไปไว้ในร่างกายเขาอะไรอย่างนั้น และพูดด้วยเสียงเบาๆ  “โอเค โอเคแล้ว เจ้าเด็กคนนี้นี่ ทุกอย่างจะต้องผ่านไปด้วยดี คุณก็เคยคุยกับพ่อแม่ของผมตั้งหลายครั้งไม่ใช่เหรอ? อย่ากังวลไปเลย”
ซึ่งพอได้รับพลังงานที่คุ้นเคยแบบนี้แล้ววินนี่ถึงค่อยสงบลงได้ เธอกุมมือฉินสือโอวและเดินไปรับครอบครัวของฉินสือโอวที่ทางห้องรอรับผู้โดยสาร
เพราะในมือถือบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสที่มีประโยชน์กว่าบัตรลูกค้าวีไอพี ฉินสือโอวและวินนี่เลยเข้าไปในโถงตรวจสอบศุลกากรได้ ซึ่งตรงนี้เป็นด่านแรกที่จะสามารถมองเห็นพวกผู้โดยสารได้ และในตอนที่พ่อแม่พี่สาวของฉินสือโอวปรากฏตัว ฉินสือโอวก็มองเห็นในทันที
ทั้งสองฝ่ายเจอหน้ากัน ใบหน้าที่ดูเหนื่อยล้าของพ่อแม่ฉินสือโอวก็เผยรอยยิ้มดีใจออกมา และพอรู้สึกตัวแล้วจึงพากันเดินต่อ
จากนั้นพนักงานในเครื่องแบบก็เดินมาหยุดพวกเขาและเชิญพวกเขาไปต่อแถวอย่างมีมารยาท ฉินสือโอวรู้ว่าไม่ควรรีบร้อนเลยไปรออยู่ข้างๆ
เพราะสายการบินนานาชาตินี้ ไม่ใช่ว่าผู้โดยสารลงเครื่องแล้วจะสามารถออกจากสนามบินได้เลย แต่ยังต้องผ่านการตรวจสอบจากเคาน์เตอร์สองประเภทก่อนถึงจะออกจากสนามบินได้ และก่อนที่จะตรวจสอบเสร็จนั้นจะยังไม่ถือว่าเข้ามาในประเทศแคนาดาแล้ว
ซึ่งผู้โดยสารลำหนึ่งมีประมาณสองสามร้อยคนกำลังต่อแถวยาวคดเคี้ยวเป็นหางมังกรเพื่อรอตรวจสอบ และเคาน์เตอร์ตรวจสอบของทางสนามบินจะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือผู้มาเยือนและแขกพัก ซึ่งพวกนักศึกษาแลกเปลี่ยนกับคนงานให้ไปที่ช่องผู้มาเยือนส่วนนักท่องเที่ยวกับผู้อพยพให้ไปที่ช่องแขกพัก
ส่วนแถวที่พ่อแม่ของฉินสือโอวมาต่อคือแถวเคาน์เตอร์ของพนักงานชายคนหนึ่งที่มีเชื้อสายจีน รอยยิ้มที่อบอุ่นบวกกับน้ำเสียงที่นุ่มนวล ดูแล้วเหมือนกับหมอมากกว่า ไม่เหมือนกับผู้ตรวจแบบนี้เลย
และถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ ถ้าพูดถึงพ่อแม่ของฉินสือโอวที่เป็นชาวนาทั้งคู่แล้ว ข้าราชการท่านนี้ก็ยังดูน่ากลัวสำหรับพวกเขาอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อข้าราชการผู้นี้พูดขึ้นบวกกับพวกเขาที่ฟังภาษาไม่รู้เรื่อง หลังจากที่ยื่นพาสปอร์ตและใบคำร้องให้กับพนักงานตรวจสอบแล้ว ทั้งสองคนก็นิ่งไปเลย
พนักงานตรวจสอบที่ถามสี่คำถามง่ายๆ ที่มักจะถามเป็นประจำคือ ‘คุณมาที่แคนาดามีจุดประสงค์อะไร’ ‘พักที่ไหน’ ‘จะอยู่ที่นี่นานเท่าไร’ และ ‘ต้องการความช่วยเหลืออะไรไหม’
ถ้าเพียงแค่คนที่เข้าใจในภาษาอังกฤษเพียงแค่ไม่กี่ประโยคก็จะสามารถจัดการได้ แต่พ่อและแม่ของฉินสือโอวไม่เข้าใจ ในตอนนั้นเลยไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร และพี่สาวกับพี่เขยของฉินสือโอวก็ไม่รู้ภาษาอังกฤษ เลยเกิดสถานการณ์น่าอึดอัดขึ้น
ฉินสือโอวจึงรีบเข้าไป แต่สุดท้ายก็มีพนักงานอาสาสมัครออกมาขวางทางเขาในทันที ที่ตรงนี้ไม่เหมาะที่จะเอาบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสมาใช้ เพราะคนที่มาขวางเขาเอาไว้คือศุลกากร ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐที่ไม่ใช่บริษัททั่วไป
วินนี่จึงเข้ามาอธิบายอย่างใจเย็น จากนั้นอาสาสมัครคนนั้นจึงเข้าไปเป็นล่ามให้กับพ่อและแม่ของฉินสือโอว ผู้ตรวจจึงยิ้มและมาร์กสถานที่สำคัญบนใบยื่นคำร้อง ก่อนพูดขึ้นหนึ่งประโยคว่า ‘ยินดีต้อนรับสู่แคนาดา ขอให้มีช่วงเวลาที่ดีที่นี่’ และปล่อยพวกเขาไป
พอพูดอย่างนี้ก็ดูเหมือนว่าเรื่องจะจบลงแล้ว ซึ่งถ้าเป็นพนักงานตรวจสอบผู้อพยพป่านนี้คงต้องได้ไปเข้ารับการตรวจสอบที่กองตรวจคนเข้าเมืองแล้ว แต่นักท่องเที่ยวไม่จำเป็น แค่ตรงไปรับกระเป๋าเดินทางได้เลย
วินนี่เลยอธิบายให้ฉินสือโอวฟังเล็กน้อย และเขานึกขึ้นได้ถึงเมื่อคราวตัวเองเลยพูดขึ้น “ตอนฉันมาแคนาดาไม่เห็นจะยุ่งยากแบบนี้เลย แค่เออร์บักหยิบใบรับรองออกมาจากนั้นก็มีคนมาพาพวกเราไปทางไฟเขียว และสามารถออกจากสนามบินได้ ไม่เห็นจะต้องไปกองตรวจคนเข้าเมืองอะไรนั่นเลย”
รู้อย่างนี้พาเออร์บักมาด้วยก็ดี ฉินสือโอวที่รู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
พอไปถึงสายพานรับกระเป๋า เครื่องลำเลียงสายพานเครื่องใหญ่กำลังทำงานอยู่ ฉินสือโอวเลยพาวินนี่เข้าไปแนะนำตัวกับพ่อแม่ของเขาก่อน ทั้งสองฝ่ายที่ค่อนข้างเกร็ง พ่อของฉินสือโอวที่ยื่นมือออกไปจับอย่างเป็นทางการ ส่วนวินนี่ก็ทำตัวไม่ถูกเลยรีบยื่นมือเล็กๆ ของตัวเองออกไปเพื่อเตรียมเช็กแฮนด์
นี่ทำเอาฉินสือโอวปวดหัว เลยโอบทั้งสองคนไว้และพูดว่า “พวกเราไม่ได้มาเป็นตัวแทนระหว่างจีนกับแคนาดาในการเจรจาต่อรองกันนะ กอดสิ พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วก็ต้องกอด”
แม้แต่เสี่ยวฮุยยังถือว่าเปิดรับ ตอนที่วินนี่นั่งลงยองๆ กอดเขา เขาเลยใช้โอกาสนี้หอมไปที่แก้มของวินนี่หนึ่งฟอด จากนั้นก็ไปหลบอยู่ที่ข้างหลังแม่ของเขาแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
พ่อแม่และคนอื่นๆ เอากระเป๋าเดินทางมากันไม่น้อยเลย พอเครื่องลำเลียงกระเป๋าไหลมาถึงพวกเขาก็พากันแบกลงมา จนสุดท้ายหลังจากพ่อแม่ฉินสือโอวนักเสร็จก็ส่ายหัวและพูดขึ้น “ยังขาดไปหนึ่งใบนะ”
ในตอนนี้ผู้คนที่มาลำเดียวกันก็พากันไปจนเกินครึ่งแล้ว และกระเป๋าบนสายพานก็ยิ่งน้อยลงทุกที และพอหลังจากที่พ่อและแม่ของฉินสือโอวเห็นกระเป๋าถือสีขาวก็พากันดีใจ ส่วนฉินสือโอวที่รู้ว่านี่คือกระเป๋าใบสุดท้ายแล้วก็เดินเข้าไปยกขึ้นมา
และในตอนนี้เอง ก็ได้มีผู้ตรวจสอบคนหนึ่งเดินจูงสุนัขมา หลังจากที่เข้ามาใกล้ฉินสือโอว สุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์สีเหลืองก็เข้ามาดมๆ จากนั้นก็เดินวนฉินสือโอวอยู่สองรอบสุดท้ายก็หยุดลงตรงหน้าเขา และยื่นขาหน้าไปก่ายบนกระเป๋าเดินทางใบหนึ่ง
เป็นเพราะหู่จือกับเป้าจือ ฉินสือโอวเลยคุ้นเคยกับสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์เป็นอย่างดี จึงไม่เกิดอาการกลัวแต่อย่างใด สักพักก็เลยผิวปากขึ้น ส่วนจมูกของสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ก็ยังคงกระตุกอยู่ แล้วผู้ตรวจสอบที่อยู่ด้านหลังก็มีท่าทีรีบร้อนและหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมาและพูดว่า “กระเป๋าที่สายพานเบอร์ห้าเกิดปัญหา”
ผ่านไปยังไม่ถึงหนึ่งนาที ก็มีผู้ชายคนขาวห้าคนพร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึมรีบเข้ามา คนพวกนี้สวมชุดตำรวจสีดำและพกปืนกับกระสุนจริง พร้อมกับมายืนล้อมครอบครัวของฉินสือโอวไว้เหมือนดาวห้าแฉก
ในตอนนั้นฉินสือโอวไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ และผู้ตรวจคนนั้นก็เดินเข้ามารับกระเป๋าเดินทางสีขาวพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “กระเป๋านี้ของใคร?”
พ่อและแม่ของฉินสือโอวที่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาเลยจับมือของวินนี่และถามขึ้นอย่างร้อนใจ “พวกเขาพูดว่าอะไรเหรอ?”
วินนี่เลยแปลคำพูดของผู้ตรวจให้เขาฟัง ด้วยความรักที่มีต่อลูกๆ พ่อของฉินสือโอวจึงรีบพูดขึ้นในทันที “หัวหน้า กระเป๋าเป็นของผมเองครับ”
ผู้ตรวจคนนี้ฟังภาษาจีนไม่เข้าใจ ฉินสือโอวเลยต้องแปล แต่เขากลัวว่าฝั่งตรงข้ามจะถือโอกาสนี้สมรู้ร่วมคิดให้การเท็จ เขาจึงต้องทำเป็นพูดไม่ค่อยคล่อง เลยต้องขอเชิญให้ผู้ตรวจที่เข้าใจภาษาจีนมา
จากนั้นผู้ตรวจที่มีเชื้อสายจีนก็เข้าสื่อสารให้กับทั้งสองฝ่าย เขาเดินมาแล้วพูดว่า “คุณผู้ชาย คุณถูกจับกุมแล้ว คุณมีสิทธิ์ที่จะไม่พูด แต่ทุกคำที่คุณพูดจะนำไปหลักฐานบนชั้นศาล”
ฉินสือโอวที่คุ้นเคยกับประโยคนี้เป็นอย่างดี เพราะในหนังฮ่องกงสมัยก่อนๆ เวลาตำรวจเผชิญหน้ากับพวกโจรก็มักจะเอาคำนี้มาล้อเลียนกัน แต่เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะได้ยินตำรวจในแคนาดาพูดแบบนี้
ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว เพราะระบบของตำรวจฮ่องกงกับตำรวจแคนาดาต่างก็เป็นระบบตำรวจของราชวงศ์อังกฤษ ถึงแม้อะไรหลายๆ อย่างจะไม่เหมือนกันแต่จุดหมายปลายทางต่างก็เป็นที่เดียวกันทั้งนั้น
“กล้าดียังไง?” ฉินสือโอวพูดอย่างไม่อ่อนข้อให้
ถ้ายังเป็นตอนที่กากเหมือนเมื่อก่อน ตอนอยู่ที่จีนเขาแทบจะไม่กล้าหือได้ขนาดนี้ แต่ตอนนี้อยู่ที่แคนาดาเขาเป็นผู้ที่เสียภาษีที่ใหญ่ที่สุดในเซนต์จอห์น และไม่ว่าใครที่ฐานะเป็นอย่างไรก็ตามเมื่อเจอเขาต่างก็แสดงความเคารพต่อเขากันทั้งนั้น และเขาก็รู้ตัวเองว่าพอมาอยู่ที่นี่ไม่ว่าจะเจอใครก็ตาม เอวเขาก็จะแข็งทื่อเป็นพิเศษ
ผู้ตรวจเชื้อสายจีนคนนั้นไม่ได้ตอบกลับเลยในทันที แต่ถามกลับว่า “ขอถามหน่อยนะครับ พวกคุณมาทำอะไรที่แคนาดา? มาเที่ยวเหรอ?”
ฉินสือโอวเลยอธิบายว่า “ผมย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่นี่ได้ครึ่งปีแล้ว ส่วนนี่คือพ่อแม่ของผม พวกท่านมาเยี่ยมน่ะ”
ส่วนวินนี่ที่เป็นแอร์โฮสเตสและคุ้นเคยกับส่วนศุลกากรเป็นอย่างดีเลยยืนอยู่ข้างๆ ฉินสือโอวและพูดเสียงแข็งขึ้นกว่าเขา “กรุณาตอบคำถามของแฟนดิฉันโดยตรงด้วยค่ะ ไม่ทราบว่าพวกเราทำผิดกฎหมายอะไร พวกคุณถึงต้องมาจับกุมครอบครัวพวกเรา?”
ผู้ตรวจเชื้อสายจีนดูท่าว่าสองคนนี้จะไม่ยอม เขาเลยพูดอย่างสบายๆ ขึ้นว่า “ที่จริงก็ไม่เชิงว่าเป็นการจับกุมซะทีเดียว เพียงแต่กระเป๋าเดินทางของพวกคุณมีปัญหา ดังนั้นคนของพวกคุณเลยห้ามไปไหนทั้งนั้น พวกเราต้องทำการตรวจสอบกระเป๋าใบนี้ เมื่อตรวจสอบเสร็จแล้วไม่มีปัญหาอะไร พวกคุณถึงจะไปได้”
วินนี่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วพูดขึ้น “งั้นก็ดี ในระหว่างนี้ฉันจะโทรหาทนาย และก่อนที่เขาจะมาถึง พวกเราจะไม่ตอบคำถามใดๆ ทั้งสิ้น”
พ่อและแม่ของฉินสือโอวที่เป็นกังวลอยู่ด้านหลัง ชาวนาทั้งสองคนที่คอยจับมือกันเพราะทั้งชีวิตยังไม่เคยมีเรื่องกับพวกตำรวจมาก่อน และสายตาที่แสดงออกถึงความหวาดกลัว บวกกับรอบข้างที่ยังมีพวกนักท่องเที่ยวหลงเหลืออยู่ และพวกเขาก็พากันชี้มาทางนี้ ทำให้พ่อและแม่ของฉินสือโอวยิ่งรู้สึกขายหน้าเข้าไปใหญ่ ทั้งสองจึงต้องพากันก้มหน้าลง
พอเห็นท่าทางกระอักกระอ่วนของพ่อแม่แล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก แต่มีสุนัขตำรวจที่เพิ่งพบสิ่งแปลกปลอมอยู่ตรงหน้า เขาเลยไม่สามารถแสดงอารมณ์โมโหได้
พนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่ด้านหลังพอเห็นพวกเขาไม่พูดอะไรแล้ว จึงหยิบกุญแจมือขึ้นมาใส่ฉินสือโอวไว้ และพูดขึ้น “ตามกฎแล้ว พวกคุณต้องไปเข้ารับการตรวจสอบกับพวกเราด้วย เพื่อป้องกันการหลบหนี พวกเราจำเป็นต้องใส่กุญแจมือลูกความไว้ด้วย”
จากนั้นฉินสือโอวก็โมโหขึ้นในทันที เขาเลยผลักพนักงานรักษาความปลอดภัยคนนั้นอย่างหยาบคาย และหยิบโทรศัพท์จากมือวินนี่ไปโทรหาเออร์บักก่อน จากนั้นค่อยโทรไปหาเบลคและแบรนดอน สุดท้ายเลยจับกระเป๋าในมือยัดใส่หน้าอกของพนักงานรักษาความปลอดภัยแล้วกัดฟันพูด “งั้นพวกคุณก็ค้นตอนนี้เลยสิ ถ้าจะให้ดีก็อธิบายมาให้มันสมเหตุสมผลด้วยนะ ไม่อย่างนั้นผมจะใช้ข้อหาเหยียดชนชาติฟ้องพวกคุณให้ตายกันไปข้าง!”
เมื่อโมโหจนหัวร้อน เขาใช้ภาษาจีนกลางในบทสนทนานี้โดยตรง และพอพ่อและแม่ของฉินสือโอวได้ยินดังนั้นก็ยิ่งกลัวเข้าไปอีกเลยรีบเข้าไปดึงเขาเอาไว้
ฉินสือโอวเลยหันไปยิ้มให้พ่อและแม่ของเขาแล้วพูดขึ้นว่าไม่เป็นไร แล้วสุนัขพันธุ์แลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ก็ลุกขึ้นในทันที ซึ่งมันดูมีท่าทีฮึกเหิมเล็กน้อยและวิ่งวนรอบเขา
……………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset