ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 343 เรื่องราวของคุณปู่รอง

ถังน้ำใบเล็กทั้งสองใบวางอยู่ที่มุมถนน จากนั้นมิเชลก็วิ่งไปยังร้านอาหารของคุณลุงฮิคสัน เขาหยิบกระดาษแข็งมาสองแผ่นพร้อมกับปากกาสำหรับเขียนมาหนึ่งด้าม จากนั้นก็วิ่งกลับมาที่มุมถนนอย่างรวดเร็วแล้วพูดขึ้นว่า “ฉิน พอปู่ฮิคสันรู้ว่าพวกคุณมาในเมือง ก็บอกว่าไม่ว่าอย่างไรคุณก็ต้องไปหาเขาให้ได้”
ฉินสือโอวพยักหน้า เขาอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณลุงฮิคสันและคุณปู่รองหงเต๋อให้พ่อแม่และคนอื่นๆ ฟัง เขาทั้งสองคนเป็นทั้งเพื่อนและเพื่อนร่วมงานกัน ลุงฮิคสันเมื่อตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นนั้นตามหลังพี่ใหญ่อย่างฉินหงเต๋อไปต้อยๆ ความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งสองนั้นจึงดีอย่างมาก
ในขณะที่ทุกคนเตรียมจะไปหาคุณลุงฮิคสันนั้น เด็กทั้งห้าคนก็กำลังนั่งยองๆ อยู่ที่มุมถนนพลางปรึกษาหารืออะไรกันสักอย่างด้วยความตื่นเต้นภายใต้เสียงพ่อค้ารอบข้างที่ตะโกนขายของไปมา
ตอนนี้ฉินสือโอวรู้แล้วว่า เด็กพวกนั้นวางแผนที่จะขายปูนิ่มอย่างแน่นอน ที่เหล่านักท่องเที่ยวต้องการเหยื่อตกปลาจำนวนมากนั้นก็เพราะว่าพวกเขารู้ว่ามหาสมุทรแอตแลนติกนั้นเป็นแหล่งพันธุ์ปลาขนาดใหญ่ การตกปลาทะเลที่เกาะเตียวหยูและการยิงปลาคาร์ฟเอเชียถือเป็นสองกิจกรรมที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
กอร์ดอนรับปากกามาเตรียมเขียนข้อความบนกระดาษแข็ง แต่มิเชลถามขึ้นมาก่อนว่า “นายเขียนภาษาจีนเป็นเหรอ?”
“ทำไมต้องเขียนภาษาจีนด้วย?”
“คนโง่ พวกเราจะขายของให้ใครกันล่ะ? จะขายให้กับพวกลุงป้าน้าอาในเมืองเหรอ?”
“อ่า นายมันเป็นเด็กโง่ ชาวต่างชาติที่มาเที่ยวเหล่านี้ นายคิดว่าพวกเขาไม่รู้ภาษาอังกฤษหรือไง?”
“พวกเขารู้ภาษาอังกฤษ แต่พวกเขาอยากจะซื้อของจากพ่อค้าที่ได้ภาษาจีนมากกว่า ฉันกล้าพนันด้วยเลย!”
เด็กทั้งสองคนนั้นเถียงกันอย่างดุเดือดเสียงดัง ส่วนพ่อค้าแผงลอยที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มตะโกนขึ้นมาเช่นกัน
“ขายปลิงทะเล มีใบเสร็จ…”
“เมเปิลไซรัปไม่ผสมน้ำ มีใบเสร็จ…”
“ปลาแห้ง หอยเชลล์อบแห้ง หมึกกระดองอบแห้ง กุ้งตัวใหญ่ๆ มีใบเสร็จ…”
‘มีใบเสร็จ’ สามคำนี้ เป็นสิ่งที่พวกไกด์สอนเหล่าพ่อค้าพูด คำสามคำนั้นเป็นภาษาจีนทั้งหมด เป็นกลุ่มคำที่ถูกพูดออกมาด้วยสำเนียงปักกิ่ง
แต่ว่าประโยคนั้นสามารถใช้งานได้เป็นอย่างดีเลย เมื่อเหล่าพ่อค้าตะโกนสามคำนั้นออกมา การซื้อขายที่ร้านของพวกเขานั้นก็เพิ่มขึ้นถึงร้อยละแปดสิบ นั่นก็เพราะว่าเหล่าชาวต่างชาติที่มาเที่ยวนั้น หลายคนเป็นข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
“เฮ้อ ฉันว่าพวกนายอย่าไปสู้กับพวกเขาเลย จะไปร้านอาหารของปู่ฮิคสันกับฉันไหม?” ฉินสือโอวพูดตัดบทเด็กๆ ที่กำลังเถียงกันอยู่
“ไม่ไปครับ/ค่ะ พวกเราจะหาเงินครับ/ค่ะ” เด็กๆ ตอบออกมาเป็นเสียงเดียวกันทันที
ฉินสือโอวโบกมือปัดไม่สนใจ แล้วพาพ่อแม่และอื่นๆ ออกมาจากตรงนั้น แม่ของฉินสือโอวรู้สึกไม่สบายใจ จึงถามออกมาด้วยความกังวลว่า “ถ้าเด็กๆ โดนคนแปลกหน้าจับไปจะทำอย่างไร? ไม่ได้นะ เสี่ยวโอว ลูกต้องพาพวกเขามาด้วยนะ”
ฉินสือโอวชี้ไปยังหู่จือและเป้าจือที่นอนอยู่ข้างๆ เด็กๆ “แม่ ไม่ต้องกังวลไปหรอก มีพวกมันสองตัวอยู่ ใครก็ทำอะไรเด็กๆ ไม่ได้ อีกอย่างถ้าถูกลักพาตัวไปก็ดีสิ ปกติเด็กพวกนี้ปกติโหวกเหวกโวยวายจะตาย พวกโจรคงทนไม่ได้หรอก”
แต่แม่ของเขาก็ยังคงเป็นกังวลอยู่ เมื่อเห็นฉินสือโอวทักทายกับผู้คนในเมืองที่ตั้งร้านค้ารอบๆ อย่างเป็นมิตร แม่ของเขาจึงค่อยๆ ยิ้มออกมาได้อย่างสบายใจ แต่ว่าก็ยังคงเอาโทรศัพท์มือถือของลูกเขยไปให้เสี่ยวฮุยอยู่ดี
ถนนสายหลักของเมืองเล็กๆ แห่งนี้นั้นไม่ได้ยาวมาก ไม่นานพวกเขาก็เดินมาจนถึงร้านอาหารของคุณลุงฮิคสัน ชายสูงวัยสวมหมวกและชุดพ่อครัวสีขาวรออยู่แล้วที่ด้านนอก ท่าทางแสดงอย่างชัดเจนว่ากำลังรอพวกเขาอยู่ด้วยความตื่นเต้น
ลุงฮิคสันเป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลประโยชน์จากการที่เมืองนี้ถูกเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เขาเป็นพ่อครัวที่มีฝีมือดีที่สุดในเมืองนี้ เขาชำนาญด้านอาหารตะวันตกแต่ก็มีความเข้าใจในอาหารจีนด้วยเช่นกัน เขาเป็นคนที่ทั้งเข้าใจคนอื่นและใจดี เขามักจะคุยกับลูกค้าด้วยท่าทางเป็นมิตรและอารมณ์ดีตลอดเวลา เพราะแบบนี้จึงทำให้ร้านอาหารของเขานั้นขายดีเป็นอย่างมาก
ถึงขนาดที่ว่าในเว็บไซต์ท่องเที่ยวของประเทศจีนที่เขียนแนะนำเกี่ยวกับเกาะแฟร์เวลนั้น มีคนแนะนำว่าการมากินอาหารที่ร้านของคุณลุงฮิคสันเป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่ห้ามพลาด
เมื่อเห็นฉินสือโอวและคนอื่นๆ ใบหน้าของคุณลุงฮิคสันก็แสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที เขารีบเข้าไปกอดพวกของฉินสือโอว
ตอนนี้ครอบครัวของฉินสือโอวเริ่มคุ้นชินกับการทักทายแบบชาวตะวันตกแล้ว แต่เรื่องการสื่อสารนั้นยังไม่ค่อยสะดวก ยังคงต้องคอยให้ฉินสือโอวและวินนี่คอยช่วยแปลอยู่ข้างๆ
คุณลุงฮิคสันเชิญทุกคนเข้าร้าน บ่ายวันนี้ไม่มีลูกค้า เพราะเขานำป้ายที่เขียนว่า ‘มีแขก ห้ามรบกวน’ ออกไปแขวนไว้ที่ด้านนอกประตู บ่งบอกถึงความเอาแต่ใจของตน
ฉินสือโอวรู้สึกผิดขึ้นมานิดหน่อย นอกจากครั้งนี้แล้ว เขาก็เคยเห็นชายสูงวัยคนนี้แขวนป้ายแบบนั้นที่นอกร้านเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นคือตอนที่เขาเชิญวินนี่มาทานอาหารที่ร้านนี้ครั้งแรก ชายสูงวัยปิดร้านของตัวเองเพื่อจัดเตรียมอาหารเย็นใต้แสงเทียนให้เขาโดยเฉพาะ
เพื่อที่จะได้เจอกับทุกคนในครั้งนี้ คุณลุงฮิคสันก็ได้เตรียมขนมไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้ฟักทองสอดไส้ชีส เค้กแยมโรลไส้แยมมะม่วง พุดดิ้งนมถั่วเหลือง คุกกี้ช็อกโกแลตไส้มะม่วง เกาลัดนอร์ธอเมริกาคั่ว ลูกแพร์เชื่อมเมเปิลไซรัป และพายเเครอทเผ็ดหวาน เขาทำของหวานพวกนี้ออกมาอย่างประณีต ทำให้ขนมมีสีสันและกลิ่นหอมน่ากิน
พ่อแม่ของฉินสือโอวเคยเห็นของหวานพวกนี้ในโทรทัศน์ พวกเขาทั้งสองมองไปยังฉินสือโอวแล้วพูดออกมาเบาๆ ว่า “ขนมเยอะขนาดนี้ ชื่อเสียงของลุงสองนี่ใหญ่โตขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ถ้าพาเสี่ยวฮุยกับเด็กพวกนั้นมาด้วยก็ดีสิ เสี่ยวฮุยไม่เคยกินขนมพวกนี้เลย”
คุณลุงฮิคสันนำน้ำผลไม้ กาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆ ออกมาเสิร์ฟ เขาเช็ดมือด้วยผ้ากันเปื้อน พลางพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่รู้ว่าจะถูกปากทุกคนไหม แต่ว่าขนมเหล่านี้เป็นของที่เมื่อก่อนลุงฉินชอบกิน พวกคุณลองชิมดูสิ”
ฉินสือโอวแปลให้พ่อกับแม่ฟัง จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มคุยกัน
“พวกคุณเป็นหลานของลุงฉิน ใช่ไหม? ผมเคยได้ยินเรื่องของพวกคุณ มีอยู่สองสามปีที่พวกเขาคิดถึงพวกคุณมาก แต่พอผมบอกให้เขากลับไปเยี่ยมพวกคุณ เขาก็เอาแต่ส่ายหัว”
“อันที่จริงผมไม่เคยเจอคุณลุงรองเลย เพียงแต่รู้ว่ามีคนคนนี้อยู่ในครอบครัว ตอนที่ผมพึ่งเกิด ลุงรองก็ออกจากบ้านมานานแล้ว” พ่อของฉินสือโอวพูดขึ้นด้วยความสัตย์จริง
ฉินสือโอวทำสีหน้าสงสัย แล้วถามว่า “ทำไมปู่รองถึงทำแบบนั้นล่ะ? ทำไมผมไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
พ่อของเขาส่ายหน้าไปมา พลางพูดขึ้นว่า “พ่อก็ไม่ได้รู้อะไรมาก ดังนั้นคนที่บ้านจึงพูดถึงเขาน้อยมาก อันที่จริง ปู่ของแกน่ะมีพี่น้องสี่คน และเขาเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด”
“พี่น้องสี่คนเหรอ?” ดวงตาของฉินสือโอวเบิกกว้าง “ผมรู้จักปู่ของตัวเอง แล้วปู่อีกสามคนที่เหลือล่ะ?”
ฮิคสันถามขึ้นมาว่าพวกเขากำลังคุยอะไรกันอยู่ ฉินสือโอวจึงแปลให้อีกฝ่ายฟัง พ่อของเขาส่ายหัวไปมา แล้วบอกว่าดูเหมือนว่าพี่น้องทั้งสี่คนนั้นจะมีเรื่องขัดแย้งกันใหญ่โต เขาก็ได้ยินเรื่องนี้มาจากย่าของฉินสือโอว ตราบใดที่ปู่ยังอยู่ในบ้าน ใครก็ห้ามเอ่ยชื่อของพี่น้องทั้งสามคนของเขาเด็ดขาด
คุณลุงฮิคสันนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดออกมาช้าๆ ว่า “ฉันก็รู้มานิดหน่อยเหมือนกัน เวลาที่เหล่าฉินดื่มหนักจนเมาเขาก็มักจะพูดเรื่องนี้กับฉันสองสามประโยค”
ฉินสือโอวรีบเข้าร่วมการสนทนาในครั้งนี้ทันที เรื่องที่เขาได้ยินเกี่ยวกับปู่รองคนนี้นั้น ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน
“ดูเหมือนว่าพวกเขาสี่คนพี่น้องได้รับของขวัญล้ำค่าชิ้นหนึ่งมา ตอนนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่สองพอดี บ้านเกิดของพวกเขาโดนทหารญี่ปุ่นบุกรุก เพราะของล้ำค่าชิ้นนั้นพวกเขาจึงหนีออกมาได้ มีปู่ของนายคนหนึ่ง ยอมจำนนต่อพวกทหารญี่ปุ่น เพราะของล้ำค่าชิ้นนั้นทำให้พี่ใหญ่ของพวกเขาถูกฆ่าตาย หลังจากนั้นเหล่าฉินก็ได้พาของชิ้นนั้นมายังเมืองแฟร์เวล และไม่ได้กลับไปบ้านเกิดอีกเลย”
เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่ลุงฮิคสันเล่า ฉินสือโอวก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา จากที่ลุงฮิคสันเล่านั้น ดูเหมือนว่าบรรพบุรุษของเขาจะมีเรื่องเล่าที่เป็นตำนานจริงๆ
เขาเกือบจะแน่ใจแล้วว่าของล้ำค่าชิ้นนั้นก็คือหัวใจโพไซดอนที่ตอนนี้อยู่ในร่างกายของเขา
แต่ว่า ทำไมปู่รองถึงไม่กลับไปยังบ้านเกิดกันนะ? ทำไมปู่ของเขาถึงไม่ยอมพูดเรื่องราวของพี่น้องของตนเองกันนะ? ปู่ใหญ่ถูกฆ่า ปู่รองตายที่แคนาดา แล้วปู่สามล่ะ? ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องของเขาเลยล่ะ?
ฉินสือโอวเก็บเรื่องที่เขาสงสัยไว้ในใจเงียบๆ ไม่ว่าพ่อแม่ของเขาหรือแม้แต่คุณลุงฮิคสันก็ไม่สามารถไขความกระจ่างได้ คนที่รู้เรื่องราวทั้งหมดนั้นคงจะมีเพียงย่าของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่ย่าของเขาก็ได้จากโลกนี้ไปเสียแล้ว
นอกจากนี้ เรื่องที่ทำให้ฉินสือโอวเสียดายเป็นที่สุดก็คือ ปู่กับย่าของเขานั้นเป็นคนแก่ที่ไม่รู้หนังสือ ดังนั้นเมื่อพวกเขาจากโลกนี้ไป จึงไม่มีข้อมูลอะไรที่จะสามารถอธิบายเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงได้เลย
ความสงสัยมากมายนี้ ฉินสือโอวรู้สึกว่าเขาไม่มีทางที่จะหาคำตอบได้อย่างแน่นอน
…………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset