ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 349 ภาพประวัติศาสตร์

ปลิงทะเลไม่เป็นอะไร ฉินสือโอวจึงวางใจ ตรวจตราตามปกติรอบฟาร์มปลารอบหนึ่ง เขาจึงไปหาเฮยป้าหวัง
เฮยป้าหวังเข้าสู่น่านน้ำลึกหลายวันแล้ว ฉินสือโอวไม่ค่อยสนใจมันเท่าไรนัก เพราะมันไม่มีทางมีอันตรายแน่นอน เดิมทีแล้วฉลามขาวก็เป็นหนึ่งในผู้ยิ่งใหญ่แห่งท้องทะเล นอกเสียจากว่าจะเจอเข้ากับเทพสงครามแห่งทะเลวาฬเพชฌฆาต หมึกยักษ์และหมึกโคลอสซัลใต้ทะเล ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครที่จะจัดการพวกมันได้
อีกอย่าง เฮยป้าหวังยังผ่านการดัดแปลงจากพลังโพไซดอนอีก ถึงแม้จะเจอเข้ากับวาฬเพชฌฆาตก็สามารถสู้ได้บ้าง แม้ว่าอาจจะไม่ชนะ แต่ด้วยความฉลาดของมันก็สามารถหนีเอาตัวรอดได้แน่นอน
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนส่งไปยังเพรียงตีนเต่าบนหน้าผากของเฮยป้าหวัง ฉินสือโอวเห็นพืชจำนวนมากเหมือนดอกไม้ปรากฏอยู่ภายหน้า
พืชเหล่านี้ลอยพลิ้วไหวอยู่ใต้ทะเล ร่างกายอ่อนนุ่ม พวกมันมีก้านยาวประมาณครึ่งเมตรจนถึงหนึ่งเมตร รูปร่างห้าแฉกแบ่งออกเป็นหลายๆ ข้อส่วน แต่ละส่วนต่างก็มีกิ่งม้วนขึ้น บนสุดของกิ่งม้วนเป็นดอกตูม ราวกับเป็นดอกลิลลี่ที่กำลังเบ่งบาน
ฉินสือโอวมองดูด้วยความสนใจ จากนั้นก็นึกได้ทันที ให้ตายสิ นี่มันคือพลับพลึงทะเลสินะ?
นี่ยังเป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้เห็นสัตว์ที่มหัศจรรย์แบบนี้ ใช่แล้ว สิ่งที่มองไปแล้วเหมือนกับดอกไม้นี้ไม่ใช่พืชแต่เป็นสัตว์ และยังเป็นญาติห่างๆ กับปลิงทะเลขั้วโลกเหนือ ต่างก็เป็นสัตว์ที่มีผิวหนังเป็นหนาม
ยืนยันแล้วว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นคือพลับพลึงทะเล ฉินสือโอวจึงรู้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในทะเลลึกแล้ว เพราะว่าสภาวะแวดล้อมที่พลับพลึงทะเลอาศัยจะอยู่คือใต้ทะเลลึกทั้งสิ้น
เฮยป้าหวังสังเกตเห็นเหล่าพลับพลึงทะเลก็ขยับเข้าไปใกล้ นำร่างกายที่ใหญ่ยักษ์กดไปยังด้านบน
พอเฮยป้าหวังเข้าใกล้ตัวเอง เหล่าพลับพลึงทะเลก็เริ่มขยับตัว
ตรงใจกลางด้านล่างเป็นปากของพวกมัน รอบๆ ปากมีการแตกแขนงขึ้นห้าแขนงนั่นเป็นแขนของพวกมัน แต่ละแขนมีแขนงเล็กๆ แตกออกมาเหมือนขนนก นั่นคือแขนเล็กของพวกมัน
พลับพลึงทะเลขยายแขนเล็กใหญ่ออกไป ด้านในแขนพวกนี้ต่างก็มีร่องเล็กๆ ใหญ่ๆ ภายในร่องนี้มีนิ้วที่นุ่มและยืดหยุ่นขึ้นอยู่สองข้าง เวลาที่ขยายออกก็เหมือนกับดอกลิลลี่ ติดเข้าไปกับร่างกายของเฮยป้าหวัง จับพวกแพลงก์ตอนและปรสิตที่อยู่อาศัยอยู่ภายนอกลงมา
ด้วยการทำแบบนี้ พลับพลึงทะเลช่วยทำความสะอาดร่างกายเฮยป้าหวัง เฮยป้าหวังนำอาหารมาให้กับพลับพลึงทะเล ทั้งสองฝ่ายพึ่งพาอาศัยอยู่ร่วมกัน ต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ
เฮยป้าหวังกลิ้งอยู่ในกลุ่มพลับพลึงสักพักหนึ่ง ปรสิตบนร่างก็ถูกทำความสะอาดไปพอสมควรแล้ว มันจึงสะบัดหางว่ายจากไปอย่างสบายตัว
ว่ายอยู่ในทะเลอย่างไม่มีเป้าหมาย หมึกกล้วยขนาดใหญ่หลายตัวปรากฏอยู่ในสายตา หลังจากที่เฮยป้าหวังเห็นพวกมันก็ราวกับแปลงร่างเป็นตอร์ปิโด พุ่งเข้าไปอย่างแรง อ้าปากกลืนอย่างบ้าคลั่ง
หนวดหมึกกล้วยพวกนี้ต่างก็มีความยาวเมตรสองเมตร ขนาดตัวใหญ่ก็เหมือนกัน พวกมันไม่ยอมถูกจับโดยละม่อม เด้งออกอย่างต่อเนื่องจากนั้นก็ปีนป่ายไปบนร่างของเฮยป้าหวัง
หนวดของหมึกกล้วยบางตัวแทงไปยังดวงตาของเฮยป้าหวัง บางตัวก็แทงไปยังจมูก คิดไม่ถึงว่าจะสู้จนถึงที่สุดเอาให้เฮยป้าหวังตาย
แต่พวกมันดูถูกเฮยป้าหวังเกินไปแล้ว
เฮยป้าหวังพุ่งไปยังทิศต้นลมไปกับหมึกกล้วยพวกนี้อย่างเร็ว สายน้ำพัดผ่านร่างหมึกกล้วย ทำให้พวกมันปีนป่ายไม่อยู่ร่วงลงมา เฮยป้าหวังกลับหลังอ้าปาก กินพวกหมึกกล้วยอันแสนอร่อยเข้าไปอย่างง่ายดาย
ว่ายออกไประยะทางหนึ่ง ฉินสือโอวไม่ได้พบเจออะไร จึงมองดูรอบข้างอย่างสนใจ สุดท้ายก็ว่ายไปอีกครึ่งชั่วโมงกว่า ด้านหน้าของเฮยป้าหวังค่อยๆ ปรากฏเงาร่างอันใหญ่โตร่างหนึ่ง!
เงาร่างนี้ค่อยๆ ปรากฏออกมา จากเล็กจนใหญ่ จากเลือนรางค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา…
เริ่มแรกฉินสือโอวคิดว่าเป็นโขดหินหนึ่งที่งอกออกมาในใต้ทะเล ใต้มหาสมุทรพบเจอโขดหินแบบนี้บ่อย มีเล็กมีใหญ่ ถ้าหากเงาร่างนี้เป็นโขดหิน ก็คงเป็นเพียงโขดหินเล็ก แต่มันกลับไม่ใช่โขดหิน แต่เป็นเรืออับปางลำหนึ่ง!
ใช่แล้ว นี่คือซากเรืออับปางลำหนึ่ง มองจากด้านหน้า เงาร่างของเรืออับปางนี้ใหญ่โตมาก ด้านข้างเอียงจมอยู่ใต้ทะเล แม้ว่าจะถูกปกคลุมไปด้วยสนิม แต่ก็หาใดเปรียบได้
อยู่ๆ ก็เจอเข้ากับซากเรืออับปางลำหนึ่ง ฉินสือโอวดีใจเป็นอันดับแรก เพราะว่านี่หมายถึงว่าเขาสามารถค้นหาเจอสมบัติ แต่ว่าหลังจากนั้นก็ใจเย็นลงได้ ที่นี่เป็นใต้ทะเลลึก อยากจะกู้ซากเรืออับปางในที่แบบนี้ นั่นเป็นเรื่องที่ลำบากมาก
สั่งการให้เฮยป้าหวังขยับเข้าไปใกล้ ฉินสือโอวพิจารณาซากเรืออับปางลำนี้อย่างละเอียด ด้านหน้าของเขาคือดาดฟ้ารูปสี่เหลี่ยมเก่า ดาดฟ้าที่กว้างขวางสามารถเห็นความรุ่งโรจน์ของวันวานรางๆ แต่ว่าปัจจุบันภายใต้แบคทีเรียกินเนื้อเหล็กและกระแสน้ำมหาสมุทรได้ปกคลุมด้วยสนิมรูปแท่งน้ำแข็ง
จากหัวเรือมองไม่เห็นอะไร แต่ว่ามองจากด้านข้าง กลับพบว่าซากเรืออับปางนี้มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ค้นหาอีกสักพัก บริเวณห่างไปประมาณ500เมตร ก็พบเข้ากับซากเรืออับปางอีกครึ่งหนึ่ง
น่าเกรงขามเหมือนกัน ผุพังเหมือนกัน แต่ละครึ่งของซากเรืออับปางต่างก็มีความยาว100กว่าเมตร โดยรวมแล้วทำขึ้นมาจากแผ่นเหล็กกล้า
แต่ไม่ว่าจะเป็นเหล็กที่แข็งยังไงก็ต้านทานการกัดกร่อนของกระแสน้ำมหาสมุทรและกาลเวลาไม่ได้ เรือลำนี้ถูกปกคลุมไปด้วยสนิมจนผุพังอย่างมาก ราวกับว่าขอแค่เฮยป้าหวังชนเข้าไปทีเดียวก็สามารถทำให้มันแยกออกเป็นชิ้นๆ ได้อย่างนั้น
ฉินสือโอววนรอบซากเรืออับปางรอบหนึ่งอยากรู้ชื่อและสถานะของเรือลำนี้ จากนั้นจะได้กลับไปตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องได้
แต่ว่าสนิมหนักเกินไป เหมือนกับเรือดังเคิลออสเตียส หาชื่อของมันจากภายนอกเรือไม่เจอเลย
แต่ตอนที่เขาว่ายไปถึงดาดฟ้าหัวเรือ กลับพบของแปลกประหลาดอย่างหนึ่งเข้า เป็นอุปกรณ์เหล็กกล้าอันหนึ่งรูปขั้นบันไดเล็กที่ภายนอกค่อนข้างเรียบลื่น
ของสิ่งนี้แค่ดูก็รู้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์อารยธรรมสมัยใหม่ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเรือลำนี้แน่นอน ยังไม่บอกว่าในเรือที่ถูกปกคลุมไปด้วยสนิมอุปกรณ์นี้เป็นสิ่งเดียวที่ไม่ขึ้นสนิม เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกที่โค้งมนของมัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่สามารถผลิตออกมาในเมื่อ100ปีก่อนได้
ขยับเข้าไปดูอีกนิด ฉินสือโอวก็เห็นถึงภาษาอังกฤษบรรทัดหนึ่งบนแผ่นป้ายข้างบนนั่น แท่นทดสอบเหล็กไทเทเนียมเรือไททานิก 2002…
“ให้ตายเถอะ!” ฉินสือโอวถึงกับพ่นคำหยาบออกมา ถ้าจนถึงตอนนี้แล้วเขายังไม่รู้ว่าเป็นเรืออะไร คงบอกได้แค่ว่าเขาโง่ นี่เป็นเรือไททานิกเรืออับปางที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก!
ข้อมูลของเรือลำนี้ไม่ต้องอธิบายอะไรมาก ฉินสือโอวเชื่อว่าทุกคนที่เคยดูภาพยนตร์ที่กำกับโดยเจมส์ คาเมรอน เรื่อง ‘เรือไททานิก’ ตัวเอกในมหากาพย์ความรักและภัยพิบัติทางทะเลที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่ต่างก็รู้กันทุกคน
ฉินสือโอวไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะพบเจอเข้ากับเรือลำนี้ที่เคยเป็นเรืออับปางในตำนานที่นี่ เขาเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาตรวจดูแผนที่ ก็พบว่าที่แท้ภัยพิบัติทางทะเลเกิดขึ้นไม่ไกลจากเกาะแฟร์เวล อยู่ทางทิศตะวันออก 500 กิโลเมตรของเกาะ
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้สังเกตถึงเลย ไม่อย่างนั้นคงมาตรวจดูซากเรืออับปางลำนี้ก่อนแล้ว เรือไททานิกเชียวนะ เป็นบอสใหญ่ที่ไม่รู้ว่าทำให้สาวน้อยใหญ่เสียน้ำตาไปกันเท่าไรในตอนนั้น เป็นที่สุดของซูเปอร์สตาร์ในบรรดาซากเรืออับปางในมหาสมุทร
วนอยู่รอบเรือไททานิกสักพัก ฉินสือโอวตัดสินใจให้พวกหมึกกล้วยเข้าไปตรวจดูข้างใน แน่นอนว่าครั้งนี้ไม่ใช่แค่ชมดูซากเรือแล้ว อีกอย่างซากเรือลำหนึ่งที่แทบจะถูกทำลายจากสนิมมีอะไรน่าดูกัน?
สิ่งที่เขาจะทำ ก็คือจะหาดูว่าซากเรือลำนี้ยังมีสมบัติอะไรอีก
หน้าจอคอมพิวเตอร์ ฉินสือโอวตรวจสอบดูข้อมูลเกี่ยวกับซากเรือนี้ ทำให้เขารู้สึกท้อแท้นิดหนึ่ง เพราะในปี 1985 นักสำรวจโรเบิร์ต บัลลาร์ด ก็นำทีมสำรวจค้นพบเข้ากับซากเรือแล้ว
และในปี 1994 บริษัทอาร์เอ็มเอสไททานิกอิงก์ เป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในกอบกู้ซากเรือไททานิกแต่เพียงผู้เดียว เห็นทีบนเรือคงไม่มีอะไรหลงเหลือแล้ว สมบัติเองก็คงถูกคนพวกนั้นกอบกู้ไปหมด
แต่แค่มองไปเรื่อยๆ ฉินสือโอวก็มีความสุขแล้ว
……………………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset