ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 352 จดหมายถึงบ้าน

เห็นกล่องทั้งสามใบ บิลลี่ถามอย่างระมัดระวังว่า “นี่หามาจากที่ไหนกัน?”
ฉินสือโอวไม่อยากปิดบังบิลลี่ เขาสังเกตเห็นเมื่อวานตอนที่เยี่ยมชมเรือไททานิก บนเรือลำนี้มีของมากมายต่างก็มีป้ายที่เขียนไว้ว่า ‘ไวท์ สตาร์ ไลน์’ ในฐานะเจ้าของเรือไททานิก บริษัทไวต์สตาร์ไลน์นำเงาของตัวเองมาไว้บนทุกซอกมุมบนเรือ
แม้ว่าฉินสือโอวจะไม่บอก รอจนบิลลี่เห็นสัญลักษณ์ของบริษัทไวต์สตาร์ไลน์ เขาเองก็คงรู้ถึงที่มาของของพวกนี้
เพราะว่า เรือไททานิกเป็นเรืออับปางลำเดียวที่มีสมบัติของบริษัทไวต์สตาร์ไลน์ หลังจากนั้นบริษัทนี้ก็ถูกซื้อโดยบริษัทขนส่งระหว่างประเทศไอเอ็มเอ็มของจูเนียส เพียร์พอนต์ มอร์แกน ดังนั้นสัญลักษณ์ของทั้งหมดเรือจึงถูกเปลี่ยนเป็นไอเอ็มเอ็ม
เพราะฉะนั้นฉินสือโอวเลยบอกว่า “นี่เป็นของจากเรือไททานิก ช่วงนี้วาฬตัวน้อยของฉันไปที่นั่นมาแล้วเอาของพวกนี้มาให้ฉันด้วย”
“เรือไททานิก?” บิลลี่ประหลาดใจ “วาฬตัวน้อยของนายสามารถเอาของออกมาจากที่นั่น? โอ้พระเจ้า รู้มูลค่าของสมบัติที่จมอยู่ที่นั่นไหม? บริษัทของพวกเราเคยร่วมมือกับสี่บริษัทกู้ซากเรืออับปางขนาดใหญ่ในการประเมินมูลค่าของมันในปี 2008 อย่างน้อยก็สองหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐเชียวนะ!”
ฉินสือโอวพูดอย่างหงุดหงิดว่า “แล้วจะมีประโยชน์อะไร? วาฬน้อยร่างกายใหญ่เกินไป มีหลายที่ที่มันเข้าไปไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเข้าไปได้ มันก็ไม่สามารถเอากลับมาหมดได้ อย่าลืมล่ะมันเป็นแค่วาฬตัวหนึ่ง”
“วาฬที่ฉลาด” บิลลี่พูดอย่างคึกคักอารมณ์ดีว่า “ฉันรักมันที่สุดเลย”
เครื่องสุญญากาศไม่ได้เติมก๊าซอาร์กอนเข้าไปตรงๆ แต่ว่าเติมก๊าซไนโตรเจนเพื่อปรับสมดุล ฉินสือโอวบังคับ ไม่นานก๊าซไนโตรเจนก็ถูกปล่อยออกมาจากรูเล็กๆ 200 กระจายอยู่ภายในนั้นอย่างทั่วถึง
เมื่อความเข้มข้นของก๊าซไนโตรเจนสูงถึงระดับที่กำหนดเอาไว้ ระบบก็จะตัดการส่งก๊าซไนโตรเจนโดยอัตโนมัติ ตอนนี้ได้เวลาเริ่มปล่อยก๊าซอาร์กอน บิลลี่ก็จะได้เปิดกล่องพวกนี้แล้ว
เขาค่อยๆ เปิดกล่องที่มีขนาดพอๆ กับโทรทัศน์อย่างระมัดระวังที่สุดออก หลังจากเปิดกล่องข้างในเป็นจดหมายที่วิจิตรบรรจงจำนวนหนึ่ง ขอบทองเคลือบด้วยพาติน่า
หลังจากที่บิลลี่เห็นก็เริ่มอธิบายให้กับฉินสือโอวฟัง “คนเขียนจดหมายฉบับนี้ต้องเป็นคนรวยแน่ๆ กระดาษชนิดนี้ผลิตโดยโรงงานผลิตกระดาษเอ็กซ์ไอพีในปี 1890 ขอบทั้งสี่ข้างเคลือบด้วยพาติน่า ดังนั้นจึงไม่ฉีกขาดง่ายๆ โดยทั่วไปแล้วใช้สำหรับบันทึกเรื่องสำคัญๆ ”
สวมถุงมือแล้วเปิดจดหมายออก บิลลี่หาชื่อลงนามเจอ ข้างบนนั้นมีตัวอักษรสง่างามบรรทัดหนึ่ง Nathan-Straus
พอเห็นชื่อนี้ บิลลี่ถึงกับอึ้งไปเลย เขาหันหน้าไปแล้วบอกว่า “นาธาน สเตราส์ พวกเราคงไม่โชคดีขนาดนี้ใช่ไหม?”
“นี่เป็นจดหมายของนาธาน สเตราส์? เขียนให้กับใคร?”ฉินสือโอวเองก็อึ้งไปเหมือนกัน
นาธาน สเตราส์เป็นใครกัน? พูดถึงฐานะหนึ่งที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงของเขา นั่นก็คือผู้ก่อตั้งห้างสรรพสินค้าเมซีส์ บริษัทที่มีชื่อเสียงของประเทศสหรัฐอเมริกา
ในปี 1924 ห้างสรรพสินค้านี้เคยถูกประชาสัมพันธ์ว่าเป็น “ห้างร้านที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ตอนที่เปิดกิจการในถนนอเวนิวที่ 7 แม้ว่าโครงสร้างจะธรรมดา แต่ว่าก็สาขาย่อยมากกว่า 1000 ร้าน ช่วงนี้มันถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 417 จาก 500 บริษัทที่รวยที่สุดในโลก
แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่ทำให้นาธาน สเตราส์โด่งดังมีชื่อเสียงคือเรือไททานิก ตอนนั้นเขากับภรรยาก็อยู่ในเรือลำนี้ด้วย ตอนที่เรือชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็ง คุณนายสเตราส์ถูกส่งขึ้นเรือกู้ชีพหมายเลข 8 ในทันที ในเวลาเดียวกันก็มีกะลาสีบอกกับคุณสเตราส์อายุ 67 ว่า “พวกเราคิดว่าคุณสามารถขึ้นเรือไปก่อน ไม่มีใครจะคัดค้านชายชราที่มีชื่อเสียงเรื่องความมีเมตตาอย่างคุณขึ้นเรือหรอก…”
มีคนย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ หลังได้คำยืนยันจากกะลาสี คุณสเตราส์ตอบกลับอย่างแน่วแน่ว่า “ผมจะไม่มีทางขึ้นเรือกู้ชีพก่อนผู้ชายคนอื่นแน่นอน เหมือนกับที่กัปตันเรือบอกเอาไว้ว่า เด็กและผู้หญิงไปก่อน”
พอเห็นสามีไม่ยอมขึ้นเรือ คุณนายสเตราส์ที่ขึ้นเรือไปแล้วก็กลับใจกลับมาอยู่ด้วยกันกับคุณสเตราส์ด้วย “พวกเราอาศัยอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ คุณไปที่ไหนฉันก็ไปด้วย!”
แบบนี้ นางยกตำแหน่งบนเรือให้กับสาวใช้คนหนึ่งไป ยังเอาเสื้อขนกันหนาวของตัวเองให้สาวใช้คนนั้นไปด้วย “ฉันไม่มีวันได้ใช้มันแล้ว ขอให้มันสามารถช่วยให้เธอข้ามผ่านคืนอันหนาวเหน็บนี้ไปได้ด้วยนะ!”
จากนั้น สามีภรรยาชราคู่นี้ก็เดินไปนั่งลงที่เก้าอี้บนดาดฟ้า ข้ามผ่านช่วงเวลาสุดท้ายอย่างสงบด้วยสองมือที่กุมกันแน่น
เรื่องราวนี้ก็ถูกถ่ายทอดในภาพยนตร์เรื่อง ‘เรือไททานิก’ ของคาเมรอนด้วยเหมือนกัน เป็นฉากที่ซึ้งกินใจที่สุดฉากหนึ่งในภาพยนตร์ ‘นิวยอร์กไทม์’ เคยนำเรื่องนี้จัดเข้า ‘สิบเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ที่สามารถแสดงถึงความเป็นสุภาพบุรุษและความเป็นชายชาตรี’
เห็นได้ชัดว่า ถ้าหากจดหมายฉบับนี้นาธาน สเตราส์เป็นคนเขียนบนเรือไททานิกจริงล่ะก็ นั่นจะมีมูลค่ามากแค่ไหน!
เนื่องจากถูกปิดผนึกไว้เป็นอย่างดีบวกกับผลของเครื่องสุญญากาศอาร์กอนนี้ เนื้อหาในจดหมายชัดเจน บิลลี่และฉินสือโอวยื่นหน้าเข้าไปดูด้วยกัน ยิ่งดูยิ่งดีใจ
จากเนื้อหาที่ดูแล้ว นี่เป็นจดหมายที่สเตราส์เขียนเองจริงๆ และยังเป็นจดหมายถึงบ้าน นี่เป็นจดหมายที่เขาเขียนให้กับลูกชายคนรองริชาร์ด  สเตราส์ที่กำลังขยายธุรกิจในลอนดอน ณ เวลานั้น ซึ่งตั้งใจจะจัดส่งเมื่อถึงนิวยอร์ก แต่เสียดาย ตามการชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งของเรือไททานิก จดหมายฉบับนี้ก็จมลงใต้มหาสมุทรแอตแลนติกไปพร้อมกับเจ้านายของมัน
ภายในจดหมาย สเตราส์บอกกับลูกชายคนรองว่า ‘เศรษฐกิจของอเมริกาเจริญและมีศักยภาพ แม้ว่าศูนย์กลางของโลกนี้จะอยู่ที่ทวีปยุโรป แต่ก็ยิ่งต้องเห็นความสำคัญของตลาดในอเมริกา นั่นถึงเป็นตลาดการค้าที่มีการผลิตมากกว่าการบริโภคที่แท้จริงเป็นต้น’
จดหมายมีทั้งหมดแปดหน้า ที่น่ามหัศจรรย์คือเหมือนกับว่าเขารู้ล่วงหน้าว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน ในจดหมายถึงบ้านฉบับนี้ยังพูดถึงความรู้ทั้งชีวิตเกี่ยวกับธุรกิจขายปลีก พูดถึงวิธีการพัฒนาธุรกิจขายปลีกทั้งหมดสิบด้านจากข้อมูลพื้นหลังของสินค้า รูปลักษณ์ภายนอกของสินค้า ส่วนผสมของสินค้า กระบวนการผลิต การใช้งานสินค้า การบริการและความคงทน การบำรุงรักษาและใช้งานสินค้า ราคาและประวัติของรูปแบบบริษัทและกลยุทธ์ การแข่งขันของสินค้า
อ่านจดหมายฉบับนี้จบ บิลลี่หันไปถามกับฉินสือโอวว่า “นี่จะต้องเป็นจดหมายถึงบ้านที่สำคัญมากฉบับหนึ่งแน่ พวกเราจะจัดการอย่างไรดี?”
ฉินสือโอวคิดสักพักแล้วพูดว่า “วางไว้ก่อนเถอะ ดูต่อดีกว่าข้างในกล่องที่เหลืออีกอีกสองกล่องมีอะไรอยู่”
จอแสดงผลดิจิตอลแอลอีดีแสดงอุณหภูมิ ความชื้นและความหนาแน่นของก๊าซในตอนนี้ของเครื่องสุญญากาศกำลังเหมาะสมกับการเก็บรักษาวัสดุที่เป็นกระดาษ ดังนั้นบิลลี่จึงนำจดหมายวางไปข้างๆ เปิดกล่องที่ใหญ่ที่สุดออกมา
นี่เป็นตู้นิรภัยที่หนักมากตู้หนึ่ง แต่ว่าตอนนี้ถูกกัดกร่อนจนพังหมดแล้ว บิลลี่ใช้ชะแลงเคาะทีเดียวตู้ก็เปิดออกแล้ว จากนั้นก็มีก้อนสีเทาดำก้อนเล็กๆ ใหญ่ๆ ปรากฏออกมาจากข้างใน
บิลลี่ขยี้ก้อนหนึ่งแล้วลองดมดู คาดเดาว่า “สิ่งนี้เหมือนเป็นถ่านกำมะถัน 100 ปีก่อนค่อนข้างนิยมใช้ในการเขียนภาพสีน้ำมัน สารดูดความชื้นของรูปปั้น ข้างในน่าจะมีผลงานศิลปะชิ้นหนึ่งอยู่”
เขาพูดไปพลางเก็บกวาดไปพลาง เมื่อก่อนถ่านกำมะถันเหล่านี้น่าจะเป็นผง ตอนนี้ต่างจับตัวกันเป็นก้อน เก็บกวาดจนไปถึงตรงกลาง ม้วนภาพหนึ่งที่ถูกห่อหุ้มอย่างดีด้วยฟิล์มพลาสติกภาพหนึ่งก็ปรากฏอยู่ภายในกล่อง
บิลลี่ยิ่งระวังมากขึ้นในการหยิบมันขึ้นมา เปิดฟิล์มพลาสติกออก ข้างในเป็นผ้าลินินหนาๆ แบบนี้เขาก็มั่นใจแล้ว “ข้างในนี้เป็นภาพสีน้ำมันภาพหนึ่ง ถ่านกำมะถันบวกกับฟิล์มพลาสติกบวกกับผ้าลินิน ต้องเป็นภาพสีน้ำมันแน่…”
ยิ่งพูด น้ำเสียงของเขายิ่งสั่นเครือ เหล่านักธุรกิจที่ร่ำรวยใช้วิธีการรัดกุมขนาดนี้ในการเก็บรักษาภาพสีน้ำมันภาพหนึ่งบนเรือไททานิก มูลค่าของมันจะต่ำไหม?
………………………………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset