ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 356 ปลาปากแตรอันแปลกประหลาด

สนทนาจบ ฉินสือโอวก็นึกถึงจดหมายที่เจอพร้อมกับภาพเขียนขึ้นมาได้ จึงเอาออกมาแล้วถามว่า “สายตาของใครค่อนข้างดี มาดูจดหมายนี้หน่อย ผมเชื่อว่าจดหมายฉบับนี้ก็เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งเหมือนกัน”
ภาษาที่ใช้บนจดหมายฉบับนี้เหมือนจะเป็นภาษาอังกฤษ แต่ตัวหนังสือหวัดเกินไป ภาษาฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษสมัยใหม่ไม่เหมือนกัน ฉินสือโอวดูไม่ค่อยออก ดังนั้นจึงปล่อยเอาไว้ตลอด
เบลครับไปดูสักครู่แล้วบอกว่า “อ๋อ นี่เป็นภาษาดัทช์ เป็นตระกูลภาษาอินโด-ยูโรเปียน กลุ่มภาษาเจอร์แมนิก สาขาภาษาเจอร์แมนิกตะวันตก มันเป็นภาษาระหว่างภาษาเยอรมันและภาษาอังกฤษในสาขาภาษาเจอร์แมนิกตะวันตก เป็นภาษาที่ใกล้เคียงภาษาอังกฤษมากกว่าภาษาใดๆ หืม…”
อยู่ๆ เบลคก็ขมวดคิ้วขึ้น เขาอ่านจดหมายนี้อย่างละเอียด จากนั้นก็เงยหน้าหัวเราะดีใจขึ้นมา “ฉิน นายพูดถูกแล้ว นี่เป็นสมบัติชิ้นหนึ่งจริงๆ ! นี่เป็นจดหมายที่เขียนโดยแวนโก๊ะ เขาเขียนถึงธีโอน้องชาย!”
ได้ยินดังนี้ เชเชฟสกีและคนอื่นต่างก็ล้อมกันขึ้นมา ฉินสือโอวดูไม่เข้าใจ จึงให้เบลคอ่านให้เขาฟัง
“น้องชายที่รัก สบายดีไหม ตอนนี้ฉันอยู่ที่เมืองอาร์ลส์ในภาคใต้ของฝรั่งเศส…”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะน้องชายของฉัน ตอนนี้ฉันสบายดีทุกอย่าง อาศัยอยู่ที่โบสถ์เบเนดิกต์ในมงต์มาจูร์…”
“ที่นี่เป็นสถานที่ที่สวยงามที่หนึ่ง เมื่อวานตอนที่พระอาทิตย์ตก ฉันอยู่ที่ทุ่งหญ้าแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยก้อนหิน ที่นั่นมีต้นโอ๊กที่เตี้ยและคดงอขึ้น บนภูเขาที่ห่างไกลมีโบราณสถานแห่งหนึ่งอยู่ ในหุบเขามีทุ่งข้าวสาลีปลูก มันช่างโรแมนติกเหลือเกิน ที่มอนติเซลลี พระอาทิตย์สาดส่องประกายแสงสีเหลืองทองไปยังพุ่มไม้และพื้นดิน ทุกอย่างถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีทอง ลายเส้นพวกนี้ช่างสวยงามมากมาย เผยให้เห็นทิวทัศน์ทั้งหมดอันสูงสง่าดึงดูดผู้คน…”
“จิตวิญญาณของฉันได้รับแรงบันดาลใจ ฉันจะวาดภาพเพื่อมันภาพหนึ่ง และฉันได้วาดภาพนี้เสร็จแล้ว แต่ว่าฉันไม่ค่อยพอใจนัก การใช้สีไม่ค่อยดีนัก สไตล์ของภาพก็ค่อนข้างมืดไปหน่อย แต่ว่าน้องชายของฉัน ตอนนี้ฉันดีใจมาก การสร้างภาพนี้ขึ้นที่มงต์มาจูร์ครั้งนี้ทำให้ฉันเข้าใจอะไรได้มากมาย…”
“เชื่อฉันเถอะ น้องชายของฉัน พี่ชายของนายกำลังจะได้กลายเป็นศิลปินใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกคนหนึ่งแล้ว! ขอให้พระเจ้าคุ้มครองนาย ขอให้นายมีความสุขสุขภาพแข็งแรงตลอดไป จิตวิญญาณของฉันจะอยู่เคียงข้างนายตลอดไป อาเมน วินเซนต์ แวนโก๊ะ”
เบลคอ่านอย่างช้าๆ คนอื่นๆ ต่างก็ฟังกันอย่างเงียบสงบ ฉินสือโอวหลับตาลง เห็นชายวัยกลางคนที่โดดเดี่ยวคนหนึ่งยืนอยู่บนทุ่งหญ้าเวลาที่พระอาทิตย์กำลังตก ด้านหน้าของเขา ซ้ายมีต้นโอ๊ก ขวามีทุ่งข้าวสาลี
ดังประโยคนั้นที่ว่า ซ้ายนรก ขวาสวรรค์…
อ่านเนื้อหาในจดหมายจบ เบลคนำจดหมายวางไว้บนภาพอย่างระมัดระวัง แล้วเอ่ยว่า “แวนโก๊ะพูดถูก เขาได้เริ่มยุคสมัยใหม่ของสไตล์การเขียนภาพขึ้นมาหลังจากภาพนี้ และได้กลายเป็นจิตรกรใหญ่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกแล้วจริงๆ แต่เสียดายที่เขารอไม่ถึง ถ้าหากเขาสามารถมีความอดทนได้อย่างปิกาโซ รออีกสักสิบปี เขาก็จะได้เห็นฉากที่เขาได้รับการเคารพนับถือจากศิลปินทั่วทุกมุมโลก!”
สุดท้ายทุกคนออกจากห้องใต้ดิน เชเชฟสกีบอกกับฉินสือโอวว่า “มีจดหมายฉบับนี้แล้ว ตัวตนของภาพนั้นก็ไม่มีข้อกังขาอะไรอีก ตอนนี้สิ่งที่คุณจะต้องพิจารณาก็คือจะขายมันออกไปหรือเก็บสะสมมันไว้ อย่างอื่นไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
เบลคและบิลลี่มองไปยังฉินสือโอว ทั้งสองไม่ใช่คนเห็นแก่เงินอะไร เบลคเกลี้ยกล่อมว่า “ฉิน เก็บสะสมมันไว้เถอะ มูลค่าของภาพนี้จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่ อีกอย่างมันยังมีความหมายพิเศษ นี่เป็นผลงานแห่งการเปลี่ยนแปลงของแวนโก๊ะ…”
 “ช่วยพวกเราประมูลความพิเศษนี้ออกไปในราคาสูงได้หรือเปล่า?” ฉินสือโอวยิ้มถาม
เก็บสะสมภาพนี้? ช่างเถอะ เดิมทีที่บ้านก็มีขโมยอยู่แล้ว ถ้าแขวนภาพที่มีมูลค่าสี่ห้าสิบล้านเอาไว้อีกก็เท่ากับว่าจับตัวเองไปย่างบนไฟน่ะสิ เขาไม่ทำแบบนี้แน่นอน
สำหรับการเอาไปฝากไว้กับธนาคารหรือพิพิธภัณฑ์เหรอ? ถ้าอย่างนั้นทำไมไม่เปลี่ยนเป็นเงินเก็บไว้ล่ะ? รอมูลค่าของภาพนี้เพิ่มขึ้น ไม่ ฉินสือโอวยอมขายภาพนี้ไปแล้วไปลงทุนกับฟาร์มปลาดีกว่า มูลค่าของฟาร์มปลาเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอีก
ได้ยินฉินสือโอวพูดอย่างนี้ เบลคและบิลลี่ก็ยิ้มขึ้นมาทันที ขอบคุณพระเจ้า จะได้เงินส่วนแบ่งแล้ว
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ ฉินสือโอวจัดการเรื่องที่พักให้กับทุกคน ตอนนี้ที่พักในหมู่บ้านค่อนข้างจำกัด แต่ว่าหลายคนก็เริ่มใช้ความคิดแล้ว เกือบทุกครัวเรือนในหมู่บ้านต่างเปิดให้บริการที่พัก ให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสประสบการณ์วิถีชีวิตในหมู่บ้านอเมริกาเหนือที่แท้จริง มีความคล้ายคลึงกับบ้านสวนในประเทศ
ฉินสือโอวหาโรงแรมค่อนข้างสะดวก เพราะว่าตอนนี้เขาค่อนข้างมีหน้ามีตาในหมู่บ้าน
กลับถึงบ้าน ฉินสือโอวนอนลงบนเตียงแล้วปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปที่ฟาร์มปลา การท่องไปในทะเลพร้อมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้กลายเป็นความสนุกอีกหนึ่งอย่างของเขาไปแล้ว
แรงงานหมึกกล้วยได้มาถึงบริเวณใกล้ซากเรือไททานิกแล้ว ฉินสือโอวให้พวกมันเลือกสถานที่อยู่เอง หลังจากนั้นถึงค่อยๆ เก็บกวาดเรือไททานิก
ภายใต้การปรับปรุงของพลังงานโพไซดอน พวกหมึกกล้วยมีพลังล้นเหลือ การเติบโตรวดเร็ว ตอนที่เห็นพวกมันครั้งแรก หนวดหมึกกล้วยพวกนี้ใหญ่สุดก็ยาวแค่เมตรกว่าๆ เท่านั้น ตอนนี้โดยเฉลี่ยก็ยาวสองเมตรกว่าแล้ว มีบางตัวยาวถึงสามเมตรกว่าเลย
ฉินสือโอวคิด จะมีสักวันไหมที่หมึกกล้วยพวกนี้จะกลายเป็นหมึกยักษ์?
ถ้าเป็นแบบนั้นก็ยิ่งใหญ่ไปแล้ว หมึกกล้วยห้าร้อยตัว หนวดของแต่ละตัวต่างก็มีความยาวยี่สิบสามสิบเมตร แบบนั้นถึงจะเจอเข้ากับเรือรบก็ยังสามารถสู้ได้เลย
จิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมาถึงฟาร์มปลา ฉินสือโอวเจอเข้ากับปลาเทราต์สายรุ้งฝูงหนึ่ง พวกมันกำลังว่ายกลับมาจากแม่น้ำ ปลาพันธุ์นี้เหมือนกันกับปลาแซลมอนแปซิฟิก ต่างก็เกิดในแม่น้ำแต่เติบโตในทะเล ฤดูใบไม้ร่วงของทุกปีก็จะอพยพไปตามแม่น้ำเพื่อผสมพันธุ์และวางไข่ จากนั้นก็กลับสู่ทะเลอีกครั้งก่อนฤดูหนาวจะมาถึง
ทะเลในหน้าหนาวอบอุ่นว่าในแม่น้ำมาก เหมาะกับการอยู่รอดของปลาพวกนี้
เห็นปลาแซลมอนแปซิฟิกเล็กฝูงใหญ่นี้ตามอยู่ข้างหลัง ฉินสือโอวแผ่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปเล็กน้อย เรียกงูเหลือมทะเลออกมาสองตัวเพื่อมาทำการคุ้มครอง
ถ้าหากไม่มีการคุ้มครอง ปลาเทราต์เล็กพวกนี้ก็เป็นได้แค่อาหารของปลาค็อดใหญ่และปลาทูน่าครีบน้ำเงิน ไม่กี่วันก็ถูกกินจนเรียบหมด
มาถึงบริเวณแนวปะการัง ปลาเทราต์เล็กพวกนี้ตามอยู่ข้างๆ ฉินสือโอว พวกมันแหวกว่ายอย่างมีความสุข
มีสิ่งมีชีวิตคล้ายพืชน้ำความยาวประมาณครึ่งเมตรกว่าลอยปล่อยหางลงอยู่บนน้ำทะเล ตอนแรกฉินสือโอวก็ไม่ได้สังเกตอะไร แต่เขาพบว่าส่วนหัวของสิ่งมีชีวิตพวกนี้เปลี่ยนสีได้ มันเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงคล้ายกับปลาเทราต์สายรุ้งเล็ก
กิ้งก่าเปลี่ยนสีในทะเล? ฉินสือโอวรู้สึกสนใจขึ้นมา
พืชน้ำเหล่านี้ลอยจนถึงฝูงปลาเทราต์เล็ก ถัดมาสงครามการล่าอาหารก็เริ่มต้นขึ้น ‘พืชน้ำ’ พวกนี้เริ่มขยับตัว มันอ้าปากที่มีสีใกล้เคียงกับปลาเทราต์เล็กแล้วกลืนปลาเล็กรอบข้างเข้าไป
นี่คือปลาปากแตรสินะ? ฉินสือโอวเห็นวิธีการหาอาหารของพวกมันก็เดาออกแล้ว ปลาปากแตรรูปร่างเรียวยาว ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณแนวปะการัง จากนั้นก็ปลอมตัวเป็นปะการังหรือสาหร่ายเพื่อหาอาหาร
ฉินสือโอวไม่ได้ไล่ปลาปากแตรไป นี่เป็นห่วงโซ่อาหารในท้องทะเล ไม่นานหลังจากนั้นก็มาถึงน่านน้ำตื้น พบเข้ากับปลาตัวอ่อนลักษณะคล้ายปลาไหลฝูงหนึ่งใต้ทะเล ฉินสือโอวคิดว่าพวกมันเป็นปลาไหลอเมริกันเลยไม่ได้สนใจ
เขาวนดูสักพักไม่ได้พบปัญหาอะไร จึงตามเฮยป้าหวังไปเที่ยวเล่นในทะเลลึกต่อ
วันที่สอง เบลคไปหาฉินสือโอว หารือปัญหาเรื่องการจัดการกับภาพเขียนของแวนโก๊ะ แน่นอนว่าต้องจัดการประมูลอยู่แล้ว แต่ว่าตอนนี้ไม่มีโอกาสอะไรที่เหมาะสมเลย อีกเดี๋ยวก็จะกลางเดือนพฤศจิกายนแล้ว งานประมูลขนาดใหญ่ของฤดูใบไม้ร่วงต่างก็สิ้นสุดหมดแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นก็รองานประมูลฤดูใบไม้ผลิปีหน้าเถอะ” ฉินสือโอวไม่ได้รีบร้อนใช้เงิน “บริษัทจัดประมูลริชชี่ของพวกนายมีงานประมูลฤดูใบไม้ผลิในเดือนเมษายนใช่ไหม?”
เบลคและบิลลี่รู้สึกว่าแบบนี้ยิ่งดี จึงตกปากรับคำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จากนั้นเบลคก็จากไปพร้อมกับภาพ แม้ว่าจะยังห่างจากเวลางานประมูลอีกนาน แต่ว่าตอนนี้ก็ต้องเริ่มงานโปรโมตโฆษณาแล้ว
โฆษณายิ่งเยอะราคายิ่งสูง
…………………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset