ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 378 ทะเลสาบแอสฟัลท์

เพราะได้รับการยกย่องจากทั้งครอบครัวสเตราส์และวอลตัน ฉินสือโอวจึงดูโดดเด่นขึ้นมาเล็กน้อยในงานเลี้ยง
พวกผู้ดีไม่รู้ประวัติความเป็นมาของเขา แต่เมื่อได้เห็นบุคลิกภาพของเขากับวินนี่ พวกเขาก็พากันเข้ามาผูกมิตรด้วยเป็นอย่างดี ดังนั้นในงานเลี้ยงจึงมีผู้คนเข้ามาสนทนากับฉินสือโอวอย่างต่อเนื่อง
เพื่อป้องกันไม่ให้ฉินสือโอวหาคนที่สนใจในหัวข้อสนทนาเดียวกันในงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่เจอ เคอร์จึงได้เชิญหลางหล่าง เข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย ส่วนฉินสือโอวเองก็อยากคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านเปียโนชื่อดัง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีเวลาว่างเลย
กระทั่งงานเลี้ยงสิ้นสุดลง ฉินสือโอวก็นั่งรถลีมูซีนของครอบครัวสเตราส์ไปโรงแรมแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘เอเคเอ’
จากจุดนี้แสดงให้เห็นว่าครอบครัวสเตราส์ให้ความสนใจเขาเป็นพิเศษ อันที่จริงโรงแรมฮิลตันถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงซึ่งก็สามารถใช้เป็นที่พักอาศัยได้ แต่พวกเขาก็ให้ฉินสือโอวเปลี่ยนมาอยู่อีกที่
เคอร์อธิบายเหตุผลเอาไว้ว่า “ผมคิดว่าสำหรับคุณที่ชื่นชอบธรรมชาติแล้ว โรงแรมเอเคเอน่าจะเหมาะกว่านะครับ”
เมื่อฉินสือโอวถึงห้องที่โรงแรมก็เข้าใจทันทีว่าเพราะอะไรเคอร์ถึงพูดแบบนี้
ห้องสวีตตั้งอยู่ที่ชั้น 17 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของโรงแรมโดยแบ่งเป็น 2 โซนคือโซนด้านในและโซนด้านนอก สิ่งที่น่าตกใจคือนอกจากห้องน้ำและห้องรับแขกอยู่ด้านใน แต่ห้องนอนและห้องกินข้าวล้วนอยู่ที่ระเบียงด้านนอก
ระเบียงนี้มีพื้นที่กว่า 100 ตารางเมตร ตรงกลางมีเตียงกว้าง 2 เมตรตั้งอยู่ ด้านนอกห้องฝั่งที่ใกล้กับถนนก็มีเลานจ์กับโต๊ะกินข้าวตั้งอยู่เช่นกัน และจุดที่อยู่ใกล้ด้านในก็จะมีเตาผิงอยู่อีกอัน นอกจากนี้ที่หัวเตียงยังมีกล้องส่องทางไกลความละเอียดสูงอยู่ด้วย
ไม่แปลกใจที่เคอร์พูดว่าอยู่ที่แบบนี้แล้วจะรู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ แมนแฮตตันเป็นป่าที่ทำจากเหล็กและปูนซีเมนต์โดยสมบูรณ์ แต่เมื่อนอนอยู่ที่นี่และเงยหน้าขึ้นก็จะมองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ และหากต้องการมองดูให้ชัดเจนกว่านี้ก็ยังมีกล้องส่องทางไกลให้อีก
ฉินสือโอวโน้มตัวออกไปนอกระเบียงพลางมองทัศนียภาพยามค่ำคืนของนิวยอร์ก เขากับวินนี่นั่งอยู่ข้าง ๆ โต๊ะกินข้าวและกำลังดื่มพร้อมเพลิดเพลินไปกับยามค่ำคืนของนิวยอร์ก ช่างสบายใจจริงๆ
ทั้งสองคนคุยเล่นกันอยู่สักพักก็เริ่มอ่อนเพลีย ฉินสือโอวนอนอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของเตียง ดวงดาวที่ส่องแสงอยู่บนท้องฟ้ายามค่ำคืนเหมือนกำลังส่งพวกเขาเข้านอน
วันต่อมาฉินสือโอวลงไปกินข้าวที่ชั้นล่างแล้วคิดว่าห้องสวีตห้องนี้ราคา 1999 ดอลลาร์สหรัฐต่อคืนซึ่งแพงนิดหน่อย แต่ฉินสือโอวรู้สึกว่าค่อนข้างคุ้มค่า
“กลับบ้านไปแล้วเราตกแต่งห้องแบบนี้เอาไว้ในวิลล่าสักห้องเถอะ” ฉินสือโอวพูดกับวินนี่
วินนี่กลอกตาอันสวยงามของเธอแล้วพูดขึ้น “ที่วิลล่าคงตกแต่งแบบนี้ไม่ได้หรอก คงต้องสร้างห้องใหม่ขึ้นมาอีกห้อง”
“ห้องเด็กใช่ไหม?” ฉินสือโอวหยอกล้อ
วินนี่มองเขาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายแล้วพูดออกมา “ถ้าคุณอยากมีลูก ฉันก็ไม่ปฏิเสธนะ”
ฉินสือโอวรีบเปลี่ยนเรื่องทันที เขายังไม่พร้อมที่จะทำหน้าที่พ่อที่ดีตอนนี้
โชคดีที่เจมส์ คาเมรอนก็พักอยู่ที่โรงแรมแห่งนี้ ทั้งสองเจอกันที่ร้านอาหาร คาเมรอนให้ผู้ช่วยคุยโทรศัพท์แทน หลังจากนั้นเขาก็ส่งหนังสือเล่มหนึ่งให้ฉินสือโอวพร้อมกับรอยยิ้ม “นี่เป็นหนังสือที่มีคนให้ผมมาตอนที่ถ่ายทำเรื่อง ‘ไททานิก’ ในตอนนั้น ตอนนี้ผมให้คุณ”
ฉินสือโอวขอบคุณคาเมรอนและทิ้งที่อยู่ของตัวเองไว้ให้เขาพร้อมบอกเขาว่า ถ้าเขาต้องการใช้เวลาในวันหยุดต้องมาเที่ยวที่เกาะแฟร์เวล เขาจะไม่ผิดหวังแน่นอน
ฉินสือโอวที่อยู่บนเครื่องบินไม่มีอะไรทำจึงเริ่มอ่านหนังสือเล่มนั้น หนังสือมีชื่อว่า ‘ไม่มีทางจม’ ผู้เขียนชื่อ แดนนี่ อลัน บัตเลอร์ ทั้งเล่มบรรยายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเรือไททานิก
เนื้อหาด้านในบันทึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในอดีต ภายในใจของฉินสือโอวจึงรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
มีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่านอกจากผู้บริหารระดับสูงของไททานิกกว่า 50 คนที่สั่งให้ช่วยเหลือคนอื่นยังมีไลทิลเลอร์เจ้าหน้าที่หนุ่มคนที่สองที่มีชีวิตรอดมาได้ ส่วนคนอื่น ๆ ที่ช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอกว่าล้วนเสียชีวิตในหน้าที่ของตัวเอง
ฉินสือโอวอ่านหนังสือเล่มนี้แล้วรู้สึกหดหู่ใจอย่างมาก แต่หลังจากถึงเกาะแฟร์เวลและมองไปที่ฟาร์มปลาที่เจริญรุ่งเรือง จิตใจของเขาก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้กลุ่มก่อสร้างของวิลเข้าไปที่ฟาร์มปลาของมิสเตอร์รอทและเริ่มวางแผนเตรียมการสร้างเป็นสนามบินแล้ว รถบดถนนขนาดใหญ่ 2 คันกำลังทำงาน เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นไปทั่วพื้นที่เรียบสนิท
วิลเดินมาหาฉินสือโอวและส่งแผนการทำงานให้ฉินสือโอวดู กำหนดการการก่อสร้างสนามบินคือ 3 เดือนซึ่งจะเปิดทำการต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้าได้พอดิบพอดี
ฉินสือโอวจึงพูดว่าไม่มีปัญหาให้เริ่มทำงานได้เลย
วิลพูดว่าหลังจากพื้นถนนถูกทับจนเรียบก็จะราดยางมะตอยต่อ ถึงตอนนั้นพวกเขาจะไปทะเลสาบแอสฟัลท์เพื่อขนยางมะตอยมาจำนวนหนึ่งแล้วทำการราดยางได้ทันที
ฉินสือโอวถามด้วยความสงสัย “ยางมะตอยไม่ใช่ผลผลิตทางอุตสาหกรรมเคมีเหรอ? ทำไมถึงมีอยู่ในทะเลสาบแอสฟัลท์ด้วยล่ะ?”
วิลยิ้มตอบ “ธรรมชาติเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก ในทะเลสาบแอสฟัลท์ทั้งหมดเป็นยางมะตอยธรรมชาติ เพียงแค่ใช้วิธีการง่ายๆ ในการขุดขึ้นมาก็ใช้ได้แล้ว คุณไม่เคยเห็นเหรอครับ? ก็สถานที่แปลก ๆ ที่อยู่ใกล้กับอ่าวฮัดสันไงครับ”
ฉินสือโอวยังไม่เคยเห็นทะเลสาบแอสฟัลท์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของจริง แต่ไหนแต่ไรเขาคิดว่ายางมะตอยเป็นผลผลิตที่กลั่นมาจากถ่านโค้กหรือน้ำมัน วิลจึงชวนเขาไปด้วยซึ่งเขาก็ตอบตกลงทันที
หลังจากนั้น 2 วันวิลก็เช่าเรือบรรทุกสินค้าหนึ่งพันตันมาเพื่อเตรียมตัวไปอ่าวฮัดสันโดยมีฉินสือโอวก็ตามไปด้วย
เขารู้มาก่อนนิดหน่อยแล้วว่าที่จริงทั่วโลกยังมีทะเลสาบแอสฟัลท์ตามธรรมชาติเหลืออยู่อีกมาก ทางชายฝั่งทะเลแคริบเบียนและอินโดนีเซียมีเยอะที่สุด โดยเฉพาะทะเลสาบพิตช์ที่อยู่ทางชายฝั่งทะเลแคริบเบียนตอนใต้นั้นมีขนาดใหญ่ที่สุด
ทะเลสาบแอสฟัลท์ที่พวกเขาต้องไปครั้งนี้มีชื่อว่า ‘Guccidada Clay Lake’ Guccidada เป็นคำชนพื้นเมืองอเมริกันหมายถึงประตูที่นำไปสู่ขุมนรก ส่วนความหมายของทะเลสาบดินเหนียวก็ง่ายมาก เมื่อก่อนชาวอินเดียนแดงไม่รู้ว่ายางมะตอยคืออะไร พวกเขาคิดว่านี่คือดินเหนียวชนิดหนึ่งจึงตั้งชื่อแบบนี้
พื้นที่ของทะเลสาบแห่งนี้มีมากกว่า 20 เฮกตาร์ เพราะอยู่ค่อนไปทางเหนือ ดังนั้นเมื่อถึงฤดูหนาวหิมะจะตกลงมาปกคลุมรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันจนหมด ทำให้บางครั้งก็มีพวกสัตว์ป่าหลงเข้าไปและถูกยางมะตอยดูดกลืนลงไป
ชาวอินเดียนแดงเมื่อก่อนไม่รู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และคิดว่าพวกมันหายตัวไปยังขุมนรก ดังนั้นที่นี่จึงถูกเรียกว่า ‘ประตูที่นำไปสู่ขุมนรก’
ตอนนี้ประตูสู่ขุมนรกแห่งนี้ถูกใช้ประโยชน์โดยมนุษย์และกลายเป็นสถานที่ชั้นดีในการผลิตยางมะตอยไปแล้ว
เมื่อถึงที่ตั้งของ Guccidada ฉินสือโอวมองไปทางไหนก็รู้สึกว่าที่แห่งนี้ช่างใหญ่โตโอ่อ่ามากจริง ๆ ทะเลสาบสีดำเงางามเหมือนอ่างแลคเกอร์สีดำขนาดใหญ่และละเอียดอ่อนซึ่งถูกฝังอยู่บนผืนดิน
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวขั้วโลกเหนือจะมีอากาศหนาวมาก ผิวของทะเลสาบแอสฟัลท์ส่วนมากจะเรียบและแข็ง ไม่เพียงคนจะสามารถเดินได้ แต่ยังสามารถขับรถบนนั้นได้อีกด้วย รถตักดินและรถบรรทุกหลายคันก็ทำงานกันอย่างต่อเนื่องอยู่บนนั้นเช่นกัน
อย่างไรก็ตามใจกลางทะเลสาบเป็นจุดที่เปราะบางที่สุดและเป็นจุดที่อันตรายเป็นอย่างมาก เพราะตรงนั้นมียางมะตอยไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน หากไม่ระวังจนตกลงไปจะเป็นปัญหาได้
แคนาดามีพื้นที่กว้างใหญ่ทำให้ต้องสร้างถนนเป็นจำนวนมาก ทะเลสาบแอสฟัลท์แห่งนี้จึงเป็นที่ที่มีส่วนช่วยในการสร้างถนนอย่างมาก วิลอธิบายกับฉินสือโอวว่าปกติทะเลสาบแห่งนี้จะสามารถผลิตยางมะตอยได้ 150 ตันต่อวันเลยทีเดียว
ถัดจากทะเลสาบแอสฟัลท์ไป 4-5 กิโลเมตรจะมีหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่มีสภาพเหมือนถูกทิ้งร้าง หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ใกล้ทะเลสาบแอสฟัลท์จึงใช้เป็นสถานที่กินข้าว ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นคนงานในโรงงาน นอกจากนี้ยังมีบริการด้านการท่องเที่ยวอีกด้วย
ฉินสือโอวกับวิลจองโรงแรมไว้แล้ว หลังจากไปถึงที่นั่นเจ้าของโรงแรมก็มองเขาด้วยรอยยิ้มและเอ่ยปากถามออกมา “คุณมาท่องเที่ยวที่นี่เหรอครับ? ไม่ทราบว่าต้องการบริการอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าครับ?”
เมื่อได้ยินดังนั้นฉินสือโอวก็ยิ้มพร้อมกับส่ายหัวไปมา “ไม่ครับ ผมไม่ต้องการ ผมมาเพื่อซื้อยางมะตอยของที่นี่ ไม่ได้มาเที่ยวเล่น”
วิลอธิบายให้เขาฟัง “บริการพิเศษที่เถ้าแก่พูดถึงก็หมายถึงโรงงานยางมะตอยนั่นแหละครับ ฉิน คุณต้องคิดเยอะเกินไปแน่ๆ”
ฉินสือโอวที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองปล่อยไก่ก็รีบแก้ตัวออกไปทันที “โอเค โอเค ฉันต้องการบริการพิเศษ”
…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset