ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 393 สร้อยมุกปะการังแดง

มีปอหลัวที่มาเฝ้ายามด้วยตัวเอง โรงเรือนเพาะปลูกก็ปลอดภัยขึ้นแล้ว หู่จือกับเป้าจือก็พร้อมจะเป็นกำลังเสริมอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ ฉินสือโอวยังได้เพิ่มความปลอดภัยสองชั้น เขาเลี้ยงฝูงห่านขาวไว้ที่หน้าทางเข้า ถ้าฝูงกวางเข้ามาใกล้ ก็เตรียมตัวรับมือกับอารมณ์รุนแรงของห่านขาวได้เลย
ความจริงข้อนี้ได้รับการยืนยันแล้ว การจัดการของเขานับว่าฉลาดหลักแหลมมาก ในตอนกลางคืนของวันถัดมาก็มีฝูงกวางเข้ามาใกล้ฟาร์มปลาอีกครั้ง พอฝูงห่านขาวที่กำลังหลับใหลถูกเสียงดังเอะอะปลุกให้ตื่นขึ้นมา
พวกห่านขาวโมโหร้ายก็ร้องแควกๆ แล้วเปิดสงครามไล่ล่าโจมตีฝูงกวางทันที และพวกมันยังคว้าเอาชัยชนะมาได้อย่างงดงาม
หลังจากจัดการโรงเรือนเพาะปลูกเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็ไม่ได้ไปจัดการอะไรกับมันอีก ในตอนกลางคืนเขาจึงควบคุมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้ไปที่ฟาร์มปลา
ไข่มุกสีดำสองร้อยหกสิบเม็ดถูกเก็บไว้ในแอ่งเล็กๆ ใต้แนวปะการังอย่างปลอดภัย ฉินสือโอวยังไม่ได้นำพวกมันขึ้นมาเนื่องจากความล่าช้า
นั่นก็เพราะว่าตอนที่เขาโทรศัพท์ไปหาเบลคเพื่อถามเรื่องการทำเครื่องประดับจากไข่มุกแบบครบชุด เบลคบอกเขาว่า ตามมาตรฐานแล้วของแบบนี้ต้องมีไข่มุกสามร้อยเม็ดขึ้นไป สองร้อยหกสิบเม็ดก็พอใช้ แต่จะไม่สมบูรณ์แบบ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงลองดูอีกครั้ง ไข่มุกสีดำในหอยนางรมลอยตัวใหญ่อีกหลายตัวใกล้จะใช้ได้แล้ว ดังนั้นหลายสิบวันมานี้ เขาจึงถ่ายทอดพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปอย่างสุดพลังอยู่โดยตลอด เพียงเพื่อที่จะได้ไข่มุกมา
ในที่สุด ครั้งนี้พอเขาลองค้นหอยนางรมลอยดูอีกครั้ง ฉินสือโอวก็เก็บไข่มุกสีดำได้ถึงสามร้อยเม็ดแล้ว
เขานำไข่มุกสีดำทั้งหมดมารวมไว้ในที่เดียวกัน หลังจากนั้นฉินสือโอวก็ค่อยออกไปสำรวจฟาร์มปลาต่อ
สิ่งที่เขาเจอเป็นอย่างแรกก็คือฝูงปลาแฮ็กฟิช พอดีกับที่ปลาค็อดตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่ไม่รู้ว่าถูกปลาทูน่าครีบน้ำเงินหรือฉลามกลืนลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง ร่างอีกครึ่งซีกที่เหลืออยู่ก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าพวกปลาแฮ็กฟิช ทันใดนั้นฝูงหมาป่าแห่งท้องทะเลก็พากันว่ายเข้าไปแล้วเริ่มแย่งอาหารกันทันที
ได้สัมผัสกับปลาแฮ็กฟิชมานานแล้ว แต่ฉินสือโอวเพิ่งจะสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของปลาพวกนี้ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกมันถึงมีชื่อเรียกที่ดูโหดร้ายอย่างหมาป่าแห่งท้องทะเล ตอนที่ปลาแฮ็กฟิชล่าเหยื่อพวกมันจะตะกละตะกลามมาก พวกมันสามารถกินไปด้วยขับถ่ายไปด้วยได้ ภายในหนึ่งชั่วโมงก็สามารถกินเนื้อปลาที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าตัวเองถึงสองเท่าได้จนหมด!
เนื่องจากมีอาหารการกินที่ดี จำนวนประชากรของฝูงปลาแฮ็กฟิชจึงขยายขึ้นอีก ส่วนปลาแลมป์เพรย์กลับค่อนข้างน่าสงสาร ช่วงก่อนหน้านี้มันถูกจับขึ้นไปขายอย่างน่าเวทนา จนถึงตอนนี้จำนวนปลาก็ยังไม่ฟื้นคืนมา ในท้องทะเลแทบจะเหลือแต่ลูกปลาอยู่แล้ว
จริงๆ แล้วปลาแลมป์เพรย์มีชื่อเรียกในภาษาจีนอีกชื่อหนึ่งว่าปลาแปดตา ข้างลำตัวของมันทั้งสองข้างจะมีรูเล็กๆ อยู่ข้างละแปดรู ชาวประมงสมัยก่อนไม่รู้ นึกว่าเป็นดวงตาของมัน จึงเรียกมันว่าปลาแปดตา ต่อมาเมื่อนักสมุทรศาสตร์ได้ทำการวิจัย ก็พบว่ารูเล็กๆ ทั้งแปดรูนี้มีแค่รูแรกที่เป็นดวงตา ส่วนที่เหลือก็คือแก้มของมัน จึงทำให้พวกมันมีชื่อว่าปลาเจ็ดแก้ม (ในภาษาจีน)
หลังจากสำรวจดูปลาแฮ็กฟิชแล้ว ต่อมาฉินสือโอวก็เพิ่มพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้กับพวกปลาแลมป์เพรย์ ปลาชนิดนี้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูง เป็นที่ต้องการมากในนิวยอร์ก ถ้าหากเพาะเลี้ยงไว้เป็นพันธุ์ปลาทางเศรษฐกิจก็ไม่เลวเลย
เพื่อที่จะเพาะเลี้ยงปลาแลมป์เพรย์ ฉินสือโอวจึงใช้จิตสำนึกนำปลาจำพวกค็อดกับปลากะพงเข้ามายังบริเวณน่านน้ำที่เป็นที่อยู่อาศัยของพวกมัน เพราะเขาตั้งใจจะทำให้เกิดการเติบโตแบบปรสิต
ปลาแลมป์เพรย์ดูดเลือดส่วนปลาแฮ็กฟิชก็กินเนื้อ ฉินสือโอวพาพวกมันมารวมอยู่ด้วยกันได้อย่างประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
ตอนนี้จุดสำคัญของฟาร์มปลาก็คือเมนล็อบสเตอร์กับปลิงทะเล ฉินสือโอวว่ายวนไปรอบๆ ฟาร์มปลา ก็พบว่ากุ้งมังกรพวกนี้ค่อนข้างแปลกประหลาด
กุ้งมังกรหนึ่งแสนตัวจากล็อตแรกที่ยังมีชีวิตเหลือรอดอยู่ เนื่องจากถูกพวกสัตว์น้ำจำพวกปลาล่าเป็นอาหารทำให้ทุกวันนี้เหลืออยู่แค่เจ็ดหมื่นแปดหมื่นตัวเท่านั้น เปลือกบนลำตัวของกุ้งมังกรพวกนี้มีสีเจ็ดสีที่แวววาวสวยงาม ดูเหมือนกับท้องฟ้าในยามค่ำคืนที่ถูกระบายสีลงไปอย่างไรอย่างนั้น
กุ้งมังกรที่ถูกนำมาทีหลังพวกนี้ ถึงแม้ว่าจะได้รับพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเท่าไรนัก ยังเป็นสีเขียวอ่อนอมน้ำเงินดูทึมๆ อยู่เหมือนเดิม
ตอนนี้ขนาดตัวของพวกมันยังเล็กเกินไป ขณะที่อยู่ในฟาร์มปลาจึงถูกข่มเหงรังแก ปลากินเนื้อแทบทุกชนิดก็ล้วนแต่ล่าพวกมันเป็นอาหาร พอได้โอกาสปูราชินีก็จะจับพวกมันกินเป็นอาหารเช่นกัน
ลูกกุ้งมังกรเมนล็อบสเตอร์ก็ใช่ว่าจะไม่มีสมอง ส่วนมากพวกมันจะพากันมุดเข้าไปอยู่ในทรายใต้ท้องทะเล ยังไงซะในฟาร์มปลาก็มีแพลงก์ตอนกับสาหร่ายทะเลอยู่ตั้งเยอะแยะ อาหารก็อุดมสมบูรณ์ พวกมันไม่มีทางอดตายแน่นอน
ในฟาร์มปลาของฉินสือโอว สาหร่ายทะเลก็คือพืชพันธุ์ที่มีประโยชน์มากที่สุด พวกมันทำให้ฉินสือโอวรู้สึกพึงพอใจที่สุดแล้ว ของพวกนี้ถึงจะนับว่าเป็นรากฐานของฟาร์มปลา
สาหร่ายทะเลไม่เพียงแต่สามารถเป็นอาหารให้กับสัตว์น้ำ แต่ยังสามารถสังเคราะห์แสงและปล่อยแก๊สออกซิเจนเข้าสู่น้ำทะเลได้อีกเป็นจำนวนมาก สัตว์น้ำก็เหมือนกันกับสัตว์บก จำเป็นต้องใช้แก๊สออกซิเจนในการดำรงชีวิต และยิ่งมีแก๊สออกซิเจนมากเท่าไรชีวิตของพวกมันก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยพลังทำให้ยิ่งเจ็บป่วยได้ยากเท่านั้น
พวกปลิงทะเลอยู่กันอย่างเงียบสงบ พวกมันเกาะอยู่กับโขดหินอย่างเชื่องๆ ค่อยๆ แอบขยับตัวอย่างช้าๆ เนิบๆ ในบางครั้งก็จะกินพวกทราย สาหร่ายทะเลกับหนอนเข้าไป ใช้ชีวิตอย่างอิ่มเอม สัตว์จำพวกกุ้งกับปลาในฟาร์มปลาก็ไม่ได้สนใจพวกมัน
เรื่องนี้ต้องขอบคุณวิถีชีวิตของปลิงทะเล พวกมันใช้ชีวิตด้วยการเกาะติดกับโขดหินอย่างเหนียวแน่น สีของลำตัวก็ขมุกขมัว คล้ายกันกับสีของโขดหิน ปลาทะเลส่วนมากสายตาไม่ดี จึงทำให้แยกพวกมันออกจากโขดหินได้ยาก ดังนั้นจึงไม่มีทางเจาะจงล่าพวกมันเป็นอาหารแน่นอน
ปลาเเซลมอนแปซิฟิกฝูงใหญ่กำลังว่ายลอยไปลอยมาอยู่ในน้ำ ฝูงปลาแซลมอนชินูกเป็นตัวแทนของพวกมัน ปลาพวกนี้เติบโตได้ดีมาก อ้วนท้วมสมบูรณ์กันทุกตัว ฉินสือโอวคิดไว้แล้วว่า หลังจากเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิเขาจะจับปลาแซลมอนชินูกเพื่อหาเงินก้อนแรก ปลาชนิดนี้ต้องได้ราคาสูงแน่นอน
หลังจากสำรวจรอบๆ ฟาร์มปลาแล้ว ฉินสือโอวก็วว่ายไปทางกลุ่มกรรมกรไร้กระดูก หรือก็คือทางฝั่งเรือไททานิกนั่นเอง
สำหรับฉินสือโอวแล้วเรืออับปางขนาดมหึมาลำนี้มีแรงดึงดูดแต่ก็ไร้ค่า แน่นอนว่า ห้องเคบินในหัวเรือมีของดีๆ อยู่ ซึ่งจะเห็นได้จากกล่องทั้งสามใบที่เขานำออกมาเมื่อก่อนหน้านั้น
ในกล่องทั้งสามใบนอกจากใบที่มีไวโอลินธรรมดาที่ไร้ราคาใบนั้น อีกสองใบที่เหลือใบก็มีหนึ่งที่ทำให้เขาได้รับมิตรภาพจากตระกูลสเตราส์ ส่วนอีกใบก็นำผลกำไรมาให้เขาอีกหลายสิบล้าน
ทว่า เรือไททานิกมีชื่อเสียงมากเกินไป สมบัติส่วนมากที่อยู่ด้านในก็มีชื่อเสียงโด่งดัง คาดว่าพองมขึ้นมาจากทะเลแล้วก็คงจะมีคนจำมันได้อย่างง่ายดาย ถ้าเป็นแบบนั้นก็คงจะเอาออกไปขายไม่ได้แน่ๆ
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ฉินสือโอวก็ถือว่าเรือไททานิกเป็นสมบัติส่วนตัวที่เขาแสนจะหวงแหนอยู่ดี เรือลำนี้อับปางลงในเขตน้ำลึก 3400 เมตร บริษัทรับกู้ซากเรือทั่วๆ ไปคงไม่มีศักยภาพพอที่จะนำของออกจากเรือ
พวกหมึกกล้วยรุกล้ำเข้าไปทุกซอกทุกมุมของซากเรืออับปาง พวกมันย้ายของชิ้นเล็กๆ ที่สามารถย้ายได้ออกมาจนหมดแล้ว ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นอุปกรณ์สำหรับรับประทานอาหารกับเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยสนิม กล่องใบใหญ่มีน้ำหนักมากเกินไป พวกมันจึงเคลื่อนย้ายไม่ไหว
ฉินสือโอวลองเข้าไปดู อุปกรณ์สำหรับรับประทานอาหารพวกนี้มีจำนวนไม่น้อยที่ทำมาจากแร่เงิน ถึงแม้ว่าจะจมอยู่ในน้ำมาร้อยปีแล้ว แต่ก็ยังส่งประกายวิบวับออกมาเป็นริ้วๆ น่าเสียดาย ที่ด้านบนสลักสัญลักษณ์ของเรือไททานิกเอาไว้ นอกจากตลาดมืดแล้ว ก็คงไม่มีใครรับซื้อพวกมัน
มีเครื่องประดับบางส่วนที่ค่อนข้างน่าสนใจ ฉินสือโอวเห็นกล่องใบหนึ่งที่ถูกเปิดออก ด้านในมีไข่มุกสีแดงขนาดเท่ากับนิ้วโป้งอยู่หนึ่งเส้น ไข่มุกพวกนี้มีขนาดเท่ากันทุกเม็ด สีแดงสวยสด มีความกลมกลึงเป็นอย่างมาก แค่มองดูก็รู้ว่าเป็นอัญมณี
ตอนนี้ฉินสือโอวไม่ได้ขาดความรู้เกี่ยวกับวัตถุโบราณเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เมื่อลองสังเกตดูเขาก็สามารถวิเคราะห์ตัวตนของไข่มุกเส้นนี้ออกมาได้ มันไม่ได้ทำมาจากทับทิมหรือหินโมรา แต่คล้ายว่าจะทำมาจากปะการังสีแดง
สาเหตุที่เขาวินิจฉัยเช่นนี้ ก็เพราะว่าที่น่านน้ำในเขตแนวปะการังของฟาร์มปลาก็มีปะการังสีแดงผืนใหญ่อยู่หนึ่งผืน มันสวยงามมาก คล้ายกันกับไข่มุกพวกนี้อยู่มากทีเดียว ด้านนอกมีเยื่อหุ้มเซลล์ตามธรรมชาติอยู่หนึ่งชั้น สีแดงของมันเป็นเฉดที่ค่อนข้างเข้ม ไม่ใช่สีแดงสดใสเหมือนทับทิม
ถึงแม้ว่าปะการังสีแดงจะสวยไม่เท่าทับทิมกับหินโมราสีแดง ทว่าก็เป็นของค่อนข้างล้ำค่า โดยเฉพาะในพระไตรปิฎก ที่ยกย่องให้เป็นหนึ่งในเจ็ดอัญมณีของพุทธศาสนา มีคุณสมบัติของมนต์อาถรรพ์และนับเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเคารพ
ฉินสือโอวมองดูไข่มุกปะการังสีแดงเส้นนี้ ก็รู้สึกว่ามันคล้ายกับสร้อยมุกของขุนนางในราชสำนักสมัยราชวงศ์ชิง เมื่อไม่เจอของที่ดีกว่านี้แล้ว ฉินสือโอวก็ควบคุมหมึกกล้วยตัวหนึ่งให้ม้วนสร้อยไข่มุกปะการังสีแดงเส้นนี้กลับไปกับเขา
…………………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset