ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 431 เปิดประตูสู่ความสำเร็จ

ถ้าไม่มีกระแสลมหนาว ลมทะเลในอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ก็ไม่ถือว่าแรงเท่าไร
อ่าวไม่เหมือนทะเลที่มีลมพัดผ่านรอบด้าน มันเหมือนกับอ่างน้ำขนาดใหญ่ ที่ลมภายนอกถูกกำแพงอ่างบังไว้
อย่างไรก็ตาม การปะทะกับกระแสลมหนาวก็เป็นปัญหาเช่นกัน
เพราะท้องฟ้าอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์จะมีกระแสลมอุ่นจากนิวฟันด์แลนด์พัดมาตลอดปี ซึ่งพอลมนี้มาเจอกับกระแสลมหนาวก็จะเกิดพายุไซโคลนที่ทรงพลังขึ้น พายุไซโคลนที่หมุนวนไปทั่ว‘อ่าง’แต่ไม่สามารถหาทางออกไปได้ย่อมเปลี่ยนเป็นเฮอร์ริเคนในที่สุด
หลังกลายเป็นเฮอร์ริเคนมันจะเคลื่อนที่ไปตามความกดอากาศ ตั้งแต่ทะเลไปยังพื้นดิน และสุดท้ายก็หายไป
นี่คือสาเหตุการเกิดพายุน่าสะพรึงในอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์เมื่อคืนนั่นเอง แล้วหนึ่งวันต่อมาพายุก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉินสือโอวยืนอยู่ตรงหัวเรือพร้อมกาแฟร้อนแก้วหนึ่งในมือ รู้สึกเหงาเล็กน้อย ได้มาค้างคืนที่อ่าวก็ไม่เลวเหมือนกัน
ส่วนใหญ่แรงลมในอ่าวจะไม่แรง เรือประมงเลยลอยบนน้ำแบบไม่โคลงเคลงเท่าไร นอกจากนี้ลมกลางคืนของอ่าวค่อนข้างร้อนชื้นแม้อยู่ช่วงฤดูหนาว ฉินสือโอวจึงไม่ต้องทรมานกับอากาศนัก
ชาร์คคอยคุมหางเสือ ส่วนคนอื่นๆ ไปคัดแยกปลาที่จับได้ในถังน้ำแข็ง
สักพักบูลก็วิ่งตุบๆ เข้ามา ในมือถือปลาไหลทะเลตัวหนึ่งมาให้ฉินสือโอว พร้อมกล่าวว่า “เจ้านี่เป็นหนึ่งในอาหารที่นกฟรีเกตชอบมากที่สุด พวกเราเลยคิดว่านิมิตส์น่าจะชอบมันครับ”
ฉินสือโอวตบบ่าบูลพลางเอ่ยขอบคุณ วิธีรับมือพวกชายฉกรรจ์ที่ดีที่สุด คือชนะใจพวกเขา แล้วเขาจะเชื่อฟังคุณอย่างสุดใจ
ฉินสือโอววางปลาไหลทะเลยาวครึ่งเมตรลง แล้วหยิบมีดสั้นสองเล่มขึ้นมาหั่นมันฉัวะฉัวะเป็นสี่ส่วน
เขาผิวปากเรียกนิมิตส์ที่กำลังบินอยู่เหนือเรือประมง ฉินสือโอวโยนชิ้นเนื้อปลาไหลแบบให้อาหารสุนัข ซึ่งนิมิตส์ก็รับแต่ละชิ้นได้อย่างแม่นยำ และร่อนลงมากินบนรั้วข้างเรือ
“เป็นนกที่เก่งอะไรอย่างนี้!” บูลเอ่ยชมนิมิตส์ที่ดูเชื่อฟังคำสั่งมาก
ฉินสือโอวลูบนิมิตส์อย่างอ่อนโยน แม้เจ้าหนุ่มนี่จะเคร่งขรึมไม่เข้าหาใครง่ายๆ ตลอด แต่พอยามคับขันมันก็จะรีบโผล่มาช่วยเสมอ
พวกชาวประมงแยกปลาต่อกระทั่งเที่ยงคืนครึ่งถึงเสร็จ ในอวนมีล็อบสเตอร์ตัวใหญ่บางส่วนที่ฉวยโอกาสมาล่าเหยื่อแล้วโดนจับมาด้วย ฉินสือโอวนำไปยังห้องครัวเพื่อช่วยพวกเขาทำมื้อดึก
เนื่องจากราคาของล็อบสเตอร์พุ่งสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นฤดูหนาว แม้เป็นของใกล้ชายฝั่งจากเดิมราคาสิบกว่าดอลลาร์ยังเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยดอลลาร์ขึ้นไป ดังนั้นแม้แต่พวกแลนซ์ที่เป็นชาวประมงก็ยังไม่กินของพวกนี้
ด้วยเหตุนี้ฉินสือโอวจึงตั้งใจทำกุ้งล็อบสเตอร์เป็นพิเศษ
ล็อบสเตอร์ที่ติดมาในอวนมีทั้งหมดสิบเจ็ดสิบแปดตัว เขาเอามาทำครึ่งหนึ่ง เป็นกุ้งตัวใหญ่ทั้งหมด ส่วนพวกที่ตัวเล็กเกินไปก็เตรียมปล่อยกลับลงทะเล
ชาร์คเห็นอย่างนั้นก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่จำเป็นแล้ว ด้วยมลภาวะแบคทีเรียในอ่าว ล็อบสเตอร์พวกนี้ถึงปล่อยไปก็คงอยู่ได้ไม่นาน สู้เอาไปไปใส่ในซุปสตูยังดีกว่า”
ทางอเมริกาเหนือมีการจำกัดความต้องการในการจับล็อบสเตอร์แต่ละตัวอย่างเข้มงวด อเมริกาจะตรวจสอบโดยวัดเป็นรายตัว หลังขึ้นฝั่งมาล็อบสเตอร์ทุกตัวต้องผ่านการวัดความยาว ถ้าความยาวไม่ถึงเกณฑ์จะไม่สามารถจับได้ ส่วนแคนาดาใช้วิธีชั่งน้ำหนักซึ่งง่ายและเร็วกว่า ถ้าน้ำหนักไม่ถึงครึ่งปอนด์ก็ไม่สามารถจับได้
ทว่าเดิมพวกชาวประมงแคนาดาไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นคนดีทำตามกฎ เช่นบางครั้งเวลาจับกุ้งก้ามแดงได้ พวกเขาจะเอากลับไปด้วยเพราะถึงอย่างไรก็ขายไม่ได้ เลยเอามาทำซุปกินเองหรือส่งให้เพื่อนบ้านแทน
ฉินสือโอวชอบกินอาหารทะเล ปกติก็เคยศึกษาวิธีทำเล่นๆ มาบ้าง ครั้งนี้เขาใช้วิธีปรุงล็อบสเตอร์สองแบบ
แบบแรกคือวิธีต้มล็อบสเตอร์แอตแลนติกแบบดั้งเดิม นำกุ้งมาล้างให้สะอาดก่อนแล้วนำไปต้มในน้ำเกลือง่ายๆ จากนั้นก็นำเนื้อกุ้งมาจิ้มกินกับครีมซอสที่ผสมไว้ถ้วยหนึ่ง
เนื้อกุ้งรสชาติเหมือนกันหมด ฉินสือโอวจึงเพิ่มลูกเล่นในครีมซอส โดยใส่มะนาว กระเทียม ซอสถั่วเหลือง แบล็กเบอร์รีและอื่นๆ ลงไปด้วย
นี่เป็นวิธีกินล็อบสเตอร์ของคนแคนาดา พวกเขาคิดว่าวัตถุดิบที่ดีควรปรุงอย่างง่ายๆ เพื่อให้คงรสชาติดั้งเดิมของมัน
ส่วนวิธีปรุงอีกแบบก็ไม่ยาก ตอนฉินสือโอวอยู่ที่บ้านวินนี่ช่วงคริสต์มาสก็กินอย่างนี้ คือนำล็อบสเตอร์ไปนึ่งเล็กน้อย ใช้มีดคมๆ หั่นครึ่งแล้วไปอบในเตาอบ
สิ่งสำคัญในการอบล็อบสเตอร์คือเครื่องปรุง หลังแกะเปลือกกุ้งแล้วต้องใส่เครื่องปรุงที่ตัวเองชอบลงไปด้วย แลนซ์อยากให้ปรุงรสแบบครีม บูลอยากได้เผ็ดแบบเกาหลี ชาร์คชอบซอสมะเขือเทศ คนที่เหลือก็พากันบอกแบบที่ตัวเองต้องการ
นอกจากซอส ฉินสือโอวยังใส่ถั่วพิสตาชิโอ วอลนัทบดกับเกล็ดขนมปังและส่วนผสมอื่นๆ ที่เตรียมมาลงไปด้วย
เพราะการอบล็อบสเตอร์นั้นเสียเวลากว่า ฉินสือโอวจึงทำเมนูนี้ก่อน หลังพวกชาวประมงเสร็จงานก็มารวมตัวกันในห้องทานอาหาร เขาจึงเริ่มต้มล็อบสเตอร์ ซึ่งเสร็จอย่างรวดเร็ว ยิ่งหน้าหนาวไม่จำเป็นต้องทำทั้งหมดก่อน ทำไปกินไปดีที่สุด ร้อนๆ กำลังดี
พอเห็นฉินสือโอวกำลังจะจับกุ้งใส่น้ำเกลือไปตรงๆ บูลก็เข้ามาห้ามไว้ แล้วจับให้กุ้งหันหลังตอนใส่ลงไปแทน เขาหัวเราะพลางเอ่ยว่า “ทำอย่างนี้ล็อบสเตอร์จะหลับทันที พอพวกมันนอนแล้ว จะได้ไม่ต้องเจ็บปวดนัก”
แลนซ์และพวกพากันพยักหน้า พวกเขาชอบใช้วิธีนี้กันทั้งนั้น เป็นความจริงที่ว่าแค่จับล็อบสเตอร์หงายให้เปลือกด้านหลังลงมันก็หลับแล้ว
ฉินสือโอวไม่สนใจวิธีนี้เท่าไรจึงเอ่ยว่า “ขอโทษทีพวก เมนล็อบสเตอร์ไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดหรอก พวกมันไม่มีสมอง มีแค่รากศูนย์กลางประสาทที่กระจายอยู่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เลยไม่รู้สึกเจ็บ ไม่งั้นพวกมันจะก้าวร้าวขนาดนี้ได้ยังไง?”
ราวกับแลนซ์ดูช่างเสแสร้งกว่าเดิม เมื่อเขาเอ่ยว่า “กัปตัน ที่นิวฟันด์แลนด์เรามีประโยคสแลงหนึ่งกล่าวว่า ‘การหลับระหว่างตายจะนำพาดวงวิญญาณเข้าใกล้สวรรค์ยิ่งขึ้น’ เพราะอย่างนี้พวกเราเลยต้มล็อบสเตอร์ที่หลับแล้วเท่านั้นครับ”
ฉินสือโอวหลุดหัวเราะ ยกนิ้วโป้งให้เขาพร้อมกล่าวชมว่า ‘ไอ้คนดีเอ้ย’ จากนั้นก็จัดการต้มตามแบบที่พวกเขาบอก
ในห้องอาหารแลนซ์และคนอื่นๆ หัวเราะพูดคุยพลางแกะกุ้งกินด้วยท่าทางองอาจ ไม่ได้ใช้มีดกับส้อมเหมือนพนักงานออฟฟิศหรือนักวิจัย แต่ใช้มือฉีกเนื้อกุ้งจิ้มซอสกินกับขนมปัง พลางเคี้ยวเสียงดังแทน
หลังกินดื่มจนพอแล้วก็เข้านอน พวกชาวประมงรีบทำเวลา ตรงเข้าห้องตัวเองทันที
วันที่สองฉินสือโอวถึงเข้าใจว่าทำไมการออกทะเลมาจับกุ้งถึงเหน็ดเหนื่อยนัก ฤดูหนาวอันหนาวเหน็บ ฟ้ายังไม่ทันสาง พอตีห้าครึ่งกว่าพวกชาวประมงก็ต้องตื่นมาเตรียมทำงานแล้ว
ทำให้ตอนนี้พวกเขาได้นอนกันแค่สี่ชั่วโมงครึ่ง
พอขับเรือมาจอดยังจุดที่ตั้งเสาทุ่นเตือนไว้ เหล่าชาวประมงก็เริ่มงานต่อ
แลนซ์ใช้ตะขอเกี่ยวลูกทุ่นยางขึ้นมาแก้ปลายเชือกพวน ยึดไว้กับรอกไฟฟ้า และเปิดมอเตอร์ดึงเชือกพวนขึ้นมา
ซึ่งมีผู้ชำนาญคอยจับเชือกไว้ โดยบูลและคนอื่นๆ ที่แข็งแรงยืนประจำอยู่ตามหัวท้ายเรือ เชือกพวนดึงขึ้นมาได้หนึ่งร้อยสี่สิบกว่าเมตร ก็ปรากฏกรงดักกุ้งที่มีเจ้าตัวใหญ่
ชาวประมงทุกคนแทบกลั้นหายใจขณะมองดูกรงที่พวกเขาจับมา
พอกรงดักเริ่มขึ้นมา บูลกับอีกสองคนก็รีบผลัดกันดึงผลัดกันจับเชือกพวนลากอย่างรวดเร็ว
ภายใต้แสงที่เริ่มสาดส่อง มีล็อบสเตอร์ตัวใหญ่สี่ตัวอยู่ในกรงดักกุ้ง ทุกตัวล้วนยาวประมาณยี่สิบเซนติเมตร หนักไม่น้อยกว่าหนึ่งกิโลกรัม เป็นล็อบสเตอร์ยักษ์ของแท้!
“โอ้ว!” เห็นดังนั้นกลุ่มชาวประมงก็พากันโห่ร้อง ไม่คิดว่าการใช้กรงดักกุ้งจะได้ผลดีขนาดนี้ นี่ไม่ใช่แค่ดีธรรมดาแล้ว แต่ยอดเยี่ยมไปเลยต่างหาก!
…………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset