ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 436 เสน่ห์ของท่าเรือ

นี่เป็นขั้นตอนทั่วไปของบาร์ระบำเปลื้องผ้าในอเมริกาเหนือ พอนักเต้นสาวผมทองลงจากเวทีไปแล้วก็มาถึงช่วงทำกำไร คือการ Table-Dance หรือที่แปลว่าเต้นบนโต๊ะนั่นเอง
ฉินสือโอวรู้สึกว่าแปลแบบนี้ไม่ค่อยถูกเท่าไร เพราะเหล่าสาวนักเต้นไม่ได้เต้นบนโต๊ะกัน แต่ไปนั่งอยู่บนตัวคนแทน
ตอนสาวนักเต้นถอยออกมา บูลก็หยิบม้วนธนบัตรสกุลดอลลาร์ส่งให้เธอ ครั้งนี้เป็นสิบดอลลาร์คงเพราะบรรยากาศครึกครื้นพาไป
ฉินสือโอวหัวเราะขณะมองชาวประมงเจ้าเล่ห์พวกนี้ แลนซ์ทำท่าบอกให้เขามาด้วย ฉินสือโอวยังคงส่ายหน้า ไม่ใช่เขาไม่มีอารมณ์เที่ยว เรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่การค้าประเวณีเป็นแค่ลูกเล่นของบาร์เท่านั้น ต่อให้วินนี่รู้ก็ไม่ได้ว่าอะไร
แต่ตอนนี้มุมมองเขากว้างขึ้นแล้ว สาวผมทองพวกนี้มองไกลๆ ก็หุ่นดีอยู่หรอก ทว่าพอดูใกล้ๆ จะเห็นว่าผิวหยาบกร้าน ใบหน้าไม่เนียนละเอียด จึงไม่เพียงพอทำให้เขาสนใจได้
ฉินสือโอวปฏิเสธ แลนซ์เลยลุกไปเอง เขาเก็บยาสูบดึงนักเต้นสาวขายาวคนหนึ่งมาถามว่า “เฮ้ หวานใจ Private-Dance ไหม?”
ได้ยินดังนั้นฉินสือโอวก็แทบสำลักเบียร์ เขาเข้าใจมาตลอดว่าแลนซ์เป็นคนซื่อๆ ที่แท้ลึกๆ ก็เป็นคนร้ายกาจไม่น้อย
คำว่า Private-Dance ฉินสือโอวไม่รู้จะแปลความหมายยังไง ที่ประเทศจีนจะใช้คำว่า ‘ลัมบาด้า’ แต่ก็ยังไม่ตรงเสียทีเดียว เพราะการเต้นนี้เทียบกับลัมบาด้าของจีนแล้วน่าตื่นเต้นกว่าเยอะ!
แลนซ์และชาวประมงอีกสองคนต่างพานักเต้นสาวไปตรงมุมร้านที่มีโคมไฟสลัวกับโซฟาตัวหนึ่ง พวกชาวประมงนั่งพิงโซฟา โดยนักเต้นบริการให้พวกเขาเป็นเวลาหนึ่งเพลง
แน่นอนว่า ตั้งแต่ต้นจนจบเสื้อผ้าบนตัวของชาวประมงยังอยู่ครบ ซึ่งถือว่าทำตามกฎ
ถ้าระหว่างนั้นพวกเขาทำมือเท้าขยุกขยิกคิดอยากฉวยโอกาส ในครั้งแรกพวกนักเต้นจะแค่ผลักออก แต่หากมีรอบสองพวกเธอก็จะหยุดให้บริการแล้วเก็บค่าปรับแทน
ฉินสือโอวไปถามมา ได้ความว่าเพลงหนึ่งได้ครั้งละห้าสิบดอลลาร์ เทียบกับธุรกิจขายเนื้อปลาแล้วยังทำเงินได้มากกว่าอีก!
เที่ยวเล่นจนเที่ยงคืน พวกชาวประมงถึงยอมวางแก้วเบียร์ด้วยความเมาและเตรียมตัวกลับ
สุดท้ายแลนซ์ก็ดึงฉินสือโอวมาบอกว่า “กัปตัน คุณให้พวกเรามาห้าพันดอลลาร์แล้วมันเหลือพันกว่า ผมให้คืนครับ!”
ฉินสือโอวโบกมือปฏิเสธตอบ “ฉันบอกแล้วว่าเลี้ยง เพราะงั้นที่เหลือนายก็เก็บไว้เถอะ เอาไว้ใช้เที่ยวต่อ”
ฉินสือโอวนึกว่าทุกคนจะพาสาวกลับจากบาร์มากัน บาร์เทนเดอร์ได้แนะนำสาวนักเต้นพาร์ทไทม์ไว้ให้ ถ้ามองตาแล้วถูกใจ ราคารับได้ก็สามารถพากลับโรงแรมได้เลย
ปรากฏพวกชาวประมงถือมาแต่เบียร์เต็มมือ ไม่ได้พาผู้หญิงไปด้วย
ฉินสือโอวถามด้วยความแปลกใจ บูลที่เดิมเป็นคนตรงไปตรงมาหงุดหงิดง่ายดันยกยิ้มอย่างสุขุมตอบว่า “ที่พวกเราเพิ่งใช้เที่ยวเล่นไปล้วนเป็นเงินที่คุณเลี้ยงทั้งนั้น ถ้าเกิดพาสาวมาพวกเราก็ต้องจ่ายเองสิ ซึ่งไม่คุ้มหรอก”
เมื่อพวกเขากล่าวเช่นนั้น ฉินสือโอวก็กะพริบตาปริบๆ ท่าทางตอนแรกตัวเองจะคิดผิดไป ที่แท้แนวคิดการใช้จ่ายของคนแคนาดาเองก็ไม่ได้บ้าบอไปเสียหมด พวกเขาค่อนข้างหักห้ามใจได้ดีทีเดียว
กลับมาถึงโรงแรมเซนต์เจมส์ ฉินสือโอวก็ทำการแบ่งห้องให้ทุกคน
หนึ่งคนต่อหนึ่งห้อง ทีนี้ไม่ว่าคุณจะกรนกัดฟันหรือละเมอพูดไปเรื่อย ก็ทำได้เต็มที่แถมยังหลับได้สบาย
รุ่งเช้าหกโมงครึ่งฉินสือโอวล้างหน้าบ้วนปากก่อนออกไป พวกชาวประมงยังคงหลับสนิท เสียงกรนปานฟ้าถล่มที่ได้ยินจากประตู บ่งบอกว่าออกทะเลคราวนี้พวกเขาเหนื่อยกันขนาดไหน!
ฉินสือโอวตั้งใจจะไปเดินเล่นคนเดียว จึงไปวิ่งจ๊อกกิ้งที่ท่าเรือ ถือว่าได้ชมวิวไปออกกำลังกายไปด้วย
ท่าเรือสโนว์ดิคก็มาจากการขยายหมู่บ้านประมงแบบท่าเรือกลอสเตอร์ แต่ถ้าให้พูดตามตรงคือยังเป็นหมู่บ้านประมงที่การบริหารไม่ถึงมาตรฐานของเทศบาล
แต่เพราะโลจิสติกส์ของท่าเรือ การกู้ภัยทางน้ำและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว เศรษฐกิจจึงฟื้นตัวทำให้ขยายพื้นที่ได้มากขึ้น
ทั้งท่าเรือเต็มไปด้วยอาคารเล็กรูปทรงต่างๆ ไม่ว่าสไตล์ทันสมัยหรือแนวโบราณเรียบง่าย เมื่อพวกมันผสมผสานเข้าด้วยกัน ตอนฉินสือโอววิ่งผ่านบนถนนก็ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเข้าไปในทิวทัศน์ที่ราวกับภาพวาดประวัติศาสตร์
ไม่ว่าสไตล์ไหนอาคารพวกนี้ก็ได้สร้างภาพลักษณ์ให้กับท่าเรือและกลายเป็นจุดเด่นแห่งหนึ่งไป ตัวบ้านค่อนข้างลีบสูงเหมือนตัวเรือกลับหัว บนผนังวาดเป็นระลอกคลื่นสีฟ้าคราม ราวกั้นที่ขึ้นรูปอย่างสวยงาม ก็หน้าตาเหมือนอวนปลา…
เพราะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเฟื่องฟูขึ้น ทำให้ในท่าเรือมีร้านกาแฟ บาร์ ร้านอาหารเล็กๆ ฯลฯ จำนวนมาก
ทุกเช้า กลิ่นนมเข้มข้นของชีสผสมกลิ่นหอมหวานของเค้กทำเองจะอบอวลตามถนน และรสชาติแสนอร่อยจากความกลมกล่อมของปลากุ้ง ทำให้ท่าเรือเล็กๆ เต็มไปด้วยความอบอุ่นแบบครอบครัวช่วยลดความเงียบเหงาลงบ้าง
ตามถนน คนหาบเร่กำลังย่างปลาบนกระทะส่งกลิ่นหอมหวาน ขณะที่บาร์ปิดร้านอาหารก็เริ่มเปิด นายคนหนึ่งในร้านอาหารร้องเพลงชาวประมงอย่างร่าเริงพลางขนถังเบียร์สดลงจากรถส่งของดันเข้ามาในห้อง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับชีวิตวันหนึ่ง
พอวิ่งมาจนถึงข้างชายฝั่ง ฝูงนางนวลต่างส่งเสียงร้องระงมบินผ่านหมอกเหนือผิวน้ำ ไม่นานเงาร่างดุดันของนิมิตส์ก็ปรากฏขึ้น มันแผดเสียงบินฝ่าอากาศพุ่งไปทางนางนวลฝั่งฉินสือโอว ช่วยให้เขาสามารถออกกำลังต่อได้สะดวก
ตอนเช้ากับตอนเย็นล้วนเป็นเวลาที่ท่าเรือคึกคักที่สุด เพราะสองช่วงนี้มีเรือมาเทียบท่ามากที่สุดนั่นเอง เรือประมงมากมายออกทะเลไปทำงานตอนกลางคืนและมักกลับมาอีกทีตอนเช้า
เมื่อมีเรือเข้าเทียบท่าอยู่เรื่อยๆ ท่าเรือก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น เหล่าชาวประมงถามไถ่การเก็บเกี่ยวกันและกัน พนักงานบริษัทการประมงนำกล่องล็อบสเตอร์และปลาทะเลกล่องใหญ่มาชั่งน้ำหนักจ่ายเงิน
ทว่าก็ยังมีคนอีกเยอะที่กลับมามือเปล่า มื้อนี้ทะเลคงไม่เป็นใจนัก สำหรับชาวประมงส่วนใหญ่ ถ้าอยากมีเงินเก็บก็ต้องออกทะเล ซึ่งก็ไม่ใช่ว่าจะทำเงินได้ง่ายๆ จะให้ออกทะเลครั้งเดียวแล้วได้มาห้าแสนกว่าแบบฉินสือโอว ยังเป็นไปได้ยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์เสียอีก!
ขณะฉินสือโอววิ่งออกจากท่าเรือ มีคนคิดว่าเขาเป็นนักท่องเที่ยวตะวันออกที่มาพักผ่อน จึงชี้บอกทางให้เขาวิ่งตามทางหลวงไปยังทิศใต้ด้วยความหวังดี
เขาวิ่งไปตามที่พวกชาวประมงบอกจนถึงบริเวณศูนย์กลางท่าเรือ ไม่นานก็มองเห็นสวนสาธารณะโรตารี มีรูปปั้นหินขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบริเวณต่างๆ ภายในสวนสาธารณะ
มันคือรูปปั้นเมนล็อบสเตอร์ยักษ์ ล็อบสเตอร์ยาว 10 เมตร กว้าง 4 เมตรครึ่ง สูง 1 เมตรครึ่ง ทั้งตัวทำมาจากทองเหลือง ดูน่าเกรงขามไม่ธรรมดา ยามแสงแดดสาดส่องก็เผยให้เห็นล็อบสเตอร์สีแดงเข้มแวววาว ชวนให้รู้สึกเหมือนมันกำลังถูกต้มทั้งเป็น
บนหัวล็อบสเตอร์มีรูปหล่อของกัปตันชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ชายคนนั้นยื่นมือมองไปด้านหน้า สีหน้าเคร่งขรึม
ฉินสือโอวหยุดเดินแล้วมองชื่นชมรูปปั้น คนหาบเร่ฉวยโอกาสทำธุรกิจ เข้ามาถามว่า “สนใจถ่ายรูปไหมครับ? หนึ่งรูปห้าดอลลาร์!”
ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ขาดแคลนเรื่องเงิน ฉินสือโอวจึงหยิบสิบดอลลาร์ยื่นให้คนหาบเร่ แล้วถ่ายรูปด่วนตรงด้านหน้าและด้านข้าง
คนหาบเร่บริการถ่ายให้อย่างดี ทั้งแสง เลือกมุมและเลือกฉากล้วนไร้ที่ติ ฉินสือโอวให้ทิปเขาอีกห้าดอลลาร์พร้อมกล่าวชมฝีมือการถ่ายภาพเขา
ได้ยินเขาชมดังนั้น คนหาบเร่ก็พูดทั้งสะอื้นว่า “ถ่ายรูปมาสามรุ่น ทั้งชีวิตพังเพราะกล้องเลนส์เดียว(SLR) เมื่อก่อนผมก็เคยเป็นช่างกล้องมืออาชีพแท้ๆ…”
…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset