ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 448 ขายภาพวาดชื่อดัง

นอกจากการไว้ทุกข์ในช่วงกลางวันแล้ว ในช่วงเย็นเจ้าชายฮันรียังเป็นเจ้าภาพจัดงานประมูลเพื่อการกุศลขึ้นมาด้วย
ดูเหมือนอเมริกาเหนือจะทำได้ดีกว่าเขตยุโรปและเอเชีย ทุกครั้งที่พวกเขาจัดงานรำลึกอะไรขึ้นมาสักอย่าง ต่อมาก็จะมีการจัดงานประมูลเพื่อการกุศลขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเงินที่ได้จากการประมูลก็จะถูกผู้จัดงานประมูลนำไปใช้ตามวัตถุประสงค์
ไม่ว่าพวกนายทุนจะน่ารังเกียจหรือขูดรีดมูลค่าของผลงานมากแค่ไหน แต่สำหรับคนมีเงินส่วนมากในแคนาดาแล้ว ชื่อเสียงและหน้าที่ย่อมสำคัญมากกว่าทรัพย์สิน แน่นอนว่าเงินของคนพวกนั้นมีมากจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นต่อให้มีเงินเพิ่มมากขึ้นอีกก็คงเป็นเพียงแค่ตัวเลขสะสมสำหรับพวกเขาเท่านั้น
สินค้าที่ฉินสือโอวหยิบออกมาประมูลก็คือปลาพระจันทร์ที่เขาตกได้ในช่วงก่อนหน้านี้ เมื่อเขาลงมือทำเป็นตัวอย่างแล้ว หากไม่มีสัตว์ประหลาดแห่งท้องทะเลที่ยอดเยี่ยมก็คงไม่มีชาวประมงหน้าเก่าคนไหนกล้าใช้ปลาเป็นสินค้าประมูลได้อีก
ในงานประมูลฉินสือโอวเป็นได้เพียงตัวประกอบ เพราะตราบใดที่ยังมีพวกเศรษฐีอาหรับอยู่ โอกาสในการโอ้อวดจะเวียนมาถึงเขาได้เหรอ?
ปลาพระจันทร์ถูกอาฟิฟประมูลไปได้ ส่วนฉินสือโอวก็กำลังพิจารณากำไลทองคำขาวซึ่งเป็นผลงานของแคโรไลน์เพื่อนำไปเป็นของขวัญให้วินนี่
แต่ในขณะที่เขากำลังเตรียมเสนอราคา จู่ๆ กลิ่นหอมอบอวลก็ลอยมาตามลม ใครบางคนสะกิดเขาเบาๆ จนเขาต้องหันไปมองแล้วพบว่าคนคนนั้นก็คือเจ้าหญิงงโลลิต้าผู้มีดวงตางดงาม เจ้าหญิงกำลังมองมาที่เขาด้วยดวงตาเปล่งประกายพร้อมความสงสัยที่ฉายชัดอยู่ในดวงตาแวววาวคู่นั้น
“คุณเป็นกัปตันเรือเหรอคะ?” เจ้าหญิงซาลามาห์ถามออกมาเสียงเบา
ฉินสือโอวพยักหน้า “ครับ ผมมีเรือเล็กๆ อยู่ลำหนึ่ง นอกจากนี้ผมยังเป็นเจ้าของฟาร์มปลาที่เลี้ยงปลาเอาไว้เยอะแยะด้วยครับ”
“มีปลาเยอะแยะเลย? มีปลาอะไรบ้างคะ? มีฉลามไหม? ปลาโลมาล่ะ? แล้วก็วาฬตัวโตๆ ด้วย?” เจ้าหญิงซาลามาห์เบิกตาโตถามออกมา จมูกเล็กๆ ของเธอขยุกขยิกไปมา แถมริมฝีปากสีเชอร์รีก็ดูเอิบอิ่มจนเหมือนผลแอปริคอท
ฉินสือโอวพูดกลั้วหัวเราะ “มีฉลามกับวาฬครับ แถมวาฬยังเป็นวาฬเบลูกาที่สวยมากด้วย แต่ฟาร์มปลาของผมไม่มีปลาโลมาหรอกนะครับ เกรงว่าคงทำให้องค์หญิงผิดหวังแล้ว”
เจ้าหญิงซาลามาห์บิดนิ้วไปมา เมื่อเธอเห็นว่ามีคนกำลังพิจารณาเธอด้วยความสงสัยเธอก็ใช้ปลายเท้าของรองเท้าบูตเล็กๆ เคาะลงไปบนพื้นแล้วเดินจากไปช้าๆ ด้วยใบหน้าที่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นสร้อยข้อมือก็เริ่มเปิดประมูล ฉินสือโอวสามารถชิงสร้อยข้อมือเส้นนั้นมาได้ในราคา 45,000 เหรียญ หลังจากงานเลี้ยงในช่วงเย็นสิ้นสุดลงเขาก็กลับไปยังโรงแรม วินนี่ยื่นข้อมือออกมาอย่างมีความสุข ฉินสือโอวได้แต่ยักไหล่แล้วพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมา “ไม่ ผมไม่ได้ให้คุณสักหน่อย”
“จะเอาไปให้เจ้าหญิงองค์น้อยหรือไง?” วินนี่ถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
ฉินสือโอวอุ้มหู่จือขึ้นมาแล้วพูดออกไป “ทำไมไม่เอามันให้หู่จือล่ะ?”
“คุณอยากจะรัดคอเจ้าเด็กนี่ให้ตายหรือไงคะ?” วินนี่ทำท่าเหมือนจะเอาสร้อยข้อมือไปสวมให้หู่จือ จนทำให้มันตกใจวิ่งหนีไปทันทีเพราะมันไม่อยากถูกสายจูงล่ามเอาไว้
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังหยอกล้อกันไปมาอาฟิฟก็โทรเข้ามาหาเขาเพื่อชวนเขาไปฟิตเนสของโรงแรม
หลังจากฉินสือโอวไปถึงเขาก็พบว่าบริเวณด้านนอกฟิตเนสมีบอดี้การ์ดสวมชุดดำยืนอยู่ประมาณ 4 คน 2 คนในนั้นเป็นชายวัยกลางคนผิวขาวขณะที่อีก 2 คนเป็นชาวตะวันออกกลางไว้หนวดเครา
เป็นอย่างที่คาดไว้ หลังจากเข้าไปในฟิตเนสแล้วนอกจากอาฟิฟก็ยังมีเจ้าชายฮันรีอยู่ด้วย
เจ้าชายฮันรีกำลังเปลือยอกชกกระสอบทรายจนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อรางๆ ยามที่เขาขยับร่างกาย คงเป็นเหมือนอย่างที่พวกสื่อพูดเอาไว้ เจ้าชายหัวแข็งเปลี่ยนแปลงไปเมื่ออยู่ในกองทัพ เขาคงได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง
“มาชกด้วยกันไหมครับ?” เจ้าชายฮันรีส่งสัญญาณให้ฉินสือโอวสวมอุปกรณ์ชกมวย
ฉินสือโอวปฏิเสธ “ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่เคยชกมวยมาก่อน คงเป็นคู่ต่อสู้ให้คุณไม่ได้หรอก”
เจ้าชายฮันรีพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมา “คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ ผมชวนคุณมาชกกระสอบทรายด้วยกันต่างหาก”
ถ้าเป็นแบบนี้ฉินสือโอวก็ไม่ปฏิเสธ นีลเซ็นและเบิร์ดเคยสอนศิลปะการชกมวยในกองทัพให้เขามาก่อน ในฟาร์มปลาเองก็มีกระสอบทราย เวลาไม่มีอะไรทำฉินสือโอวก็จะไปชกมันเรียกเหงื่อเล่นๆ เหมือนกัน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกระสอบทรายที่แกว่งไปมา ฉินสือโอวก็ขยับไหล่เหมือนกำลังทำท่าทางหลอกล่อก่อนจะแย็บหมัดพุ่งเข้าไปด้านหน้าอย่างรุนแรง
เมื่อหมัดขวาถูกปล่อยออกไปหมัดซ้ายก็ตามมาติดๆ แล้วพุ่งออกไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง!
หลังจากโจมตีออกไปอย่างต่อเนื่องอีกหลายที กระสอบทรายที่ถูกโจมตีก็กระเด็นกระดอนไปมา ฉินสือโอวขยับเท้าไล่ตามไปทางด้านซ้ายของกระสอบทรายอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้หมัดซ้ายและหมัดขวาถูกปล่อยออกไปพร้อมๆ กัน ร่างกายของเขาขยับไปมาเป็นเงาวูบไหวแล้วโจมตีเข้าใส่กระสอบทรายรวดเร็วเหมือนพายุจนมันสั่นไปมาไม่หยุด!
เมื่อเห็นว่าฉินสือโอวรัวหมัดใส่กระสอบทรายจนมันน่าสงสารมากแค่ไหน เจ้าชายฮันรีก็ได้แต่เบิกตามองเขาอย่างโง่งมก่อนจะหันไปพูดกับอาฟิฟที่อยู่ข้างๆ “พี่ผมบอกว่าคนจีนชอบถ่อมตัว แล้วนี่มันอะไรกันเนี่ย”
อาฟิฟที่เตรียมจะแสดงฝีมือสวมเสื้อผ้าที่เพิ่งถอดออกไปเงียบๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกขายหน้า
หมัดของฉินสือโอวไม่มีทักษะอะไรมากมาย แต่เมื่อนำข้อดีของการระเบิดพลังหมัด การก้าวเท้า ความเร็วและความพลิ้วไหวของปลายเท้ามารวมกัน ต่อให้ไม่มีทักษะใดๆ ก็ยังสามารถปลดปล่อยการชกมวยอันยอดเยี่ยมออกมาได้
หลังจากออกกำลังกายไปสักพัก ฉินสือโอวที่เริ่มมีเหงื่อออกก็หยุดมือลงแล้วหันไปพูดคุยกับเจ้าชายทั้งสอง เจ้าชายฮันรีไม่ค่อยสนิทกับเขาเท่าไร นอกจากนี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่นับว่ามีฐานะเท่าเทียมกัน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสนิทสนมกับฉินสือโอว ด้วยเหตุนี้หลังจากเขาพูดคุยไปได้ไม่กี่ประโยคเขาก็บอกลาแล้วปล่อยให้อาฟิฟและฉินสือโอวอยู่ด้วยกันต่อ
เมื่อเจ้าชายฮันรีจากไปแล้วอาฟิฟก็พูดขึ้นมา “ผมกับเฮนรีเพิ่งพบกันได้ไม่กี่ครั้ง เขากับลูกพี่ลูกน้องของผมรวมไปถึงฮามานแดนพี่ชายของเจ้าหญิงซาลามาห์มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว พวกเขาเป็นเพื่อนสมัยเรียนที่โรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์”
โรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์อาจไม่ได้มีชื่อเสียงมากมายในหมู่คนจีน แต่มันมีชื่อเสียงโด่งดังมากในแถบยุโรปและยังได้ชื่อว่าเป็น ‘โรงเรียนทหารแห่งสหราชอาณาจักร’ ด้วย สถานที่แห่งนี้เชี่ยวชาญในการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของประเทศอังกฤษ ดังนั้นชนชั้นสูงในอังกฤษเกือบ 50% จึงเคยศึกษาอยู่ที่นั่นมาก่อน
แน่นอนว่าหากเล่าว่าชนชั้นสูงเหล่านั้นได้เรียนรู้อะไรในโรงเรียนทหารบ้าง ฉินสือโอวคงไม่เชื่อ แต่เขาก็เป็นแฟนทหารตัวยง ดังนั้นเขาย่อมรู้ดีว่าเรื่องของทหารเป็นเรื่องน่าเบื่อและสิ้นเปลืองพลังงานอย่างหนึ่งสำหรับคนธรรมดา
เมื่อพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่หลายประโยค หัวข้อของทั้งสองคนก็เปลี่ยนไปเป็นการสะสมงานศิลปะ อาฟิฟถามว่าเขามีของสะสมที่น่าสนใจบ้างหรือเปล่า ฉินสือโอวหัวใจกระตุกวูบแล้วพูดขึ้นมา “ผมไม่ได้มีของดีอะไรหรอกครับ แต่ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่มีภาพเขียนอาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์ของวิลเลียมด้วย ภาพนั้นดูไม่เลวเลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของฉินสือโอว อาฟิฟก็รู้สึกแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้วถามออกมาทันที “ฉินสือโอว คุณบอกว่าอาทิตย์อัสดงที่มงต์มาจูร์อย่างนั้นเหรอ ภาพนั้นเป็นของเพื่อนคุณเหรอครับ? เมื่อไม่นานมานี้ภาพนั้นสร้างพายุลูกใหญ่ขึ้นในวงการนักสะสมเลยนะครับ มีนักสะสมหลายคนรู้สึกตื่นเต้นกันมากเมื่อได้ยินชื่อของมัน”
“รวมถึงคุณด้วยหรือเปล่าครับ?”
“แน่นอนว่าต้องรวมผมด้วยสิ ถ้าเป็นไปได้ผมก็หวังว่าผมจะได้ซื้อภาพนั้นมา ส่วนเรื่องราคาก็ให้เพื่อนของคุณเสนอมาเลย”
ฉินสือโอวส่งสัญญาณให้อาฟิฟรอสักครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ไปโทรศัพท์หาบิลลี่และเบลคเพื่อบอกกล่าวข้อเสนอของอาฟิฟให้พวกเขาทราบ
บิลลี่ไม่อยากขาย เขาให้เหตุผลว่าบริษัทได้ทุ่มเททรัพยากรและบุคคลไปเป็นจำนวนมากเพื่อโฆษณาให้ภาพนี้ขายได้ในราคาสูง ดังนั้นหากเขาขายมันเป็นการส่วนตัวในตอนนี้ก็เท่ากับว่าเขาละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำมาก่อนหน้านี้ไปจนหมด
แต่เบลคไม่สนใจ เขากล่าวว่า “พวกเราเสียแรงโฆษณาไปตั้งเยอะขนาดนั้น นี่เพื่อน ไม่ใช่ว่าพวกเราอยากขายมันในราคาดีๆ หรอกเหรอ? ถามเขาดูสิ เขายอมจ่าย 50 ล้านดอลลาร์เพื่อมันหรือเปล่า? ถ้าเขายอมจ่ายก็ขายมันให้เขาซะ!”
………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset