ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 469 การรบกันของเด็กๆ

อาหารมื้อค่ำมีหลากหลายเมนูมาก ทั้งไส้กรอกนึ่ง หัวไชเท้าตุ๋นซี่โครง ซี่โครงน้ำแดง เห็ดหอมตุ๋นไก่ เนื้ออบต้นหอม ซี่โครงทอด ถั่วแขกผัดแห้ง มันฝรั่งซอยผัดเปรี้ยวเผ็ด ไข่เยี่ยวม้าราดพริกสด แผ่นไข่ทอดใส่หัวหอม ปลาอินทรีบั้งตุ๋น พริกหยวกผัดเนื้อเส้น ยำแตงกวา แมงกะพรุนผัดผักกาดขาว เสิร์ฟพร้อมกับซุปเนื้อแพะชามใหญ่
อาหารพวกนี้ไม่ได้ใช้เทคนิคในการทำอะไรมากมาย และก็ไม่ได้เป็นอาหารหรูหราอะไร แต่นี่คืออาหารที่ทำกินกันในช่วงฤดูหนาวของทางตอนเหนือของประเทศจีน ทักษะการฟันดาบที่เก่งกาจไม่ได้อยู่ที่คมดาบ แต่อยู่ที่การฝึกฝนของผู้ใช้ต่างหาก
พ่อของฉินสือโอวหยิบเหล้าขาวสองขวดออกมาจากห้องนอน ฉินสือโอวมองดูทีหนึ่ง เฮ้ย นี่เป็นเหล้าเหมาไถนี่นา
 “พ่อครับ ตั้งแต่เมื่อไรกันที่พ่อยอมซื้อเหล้าแพงขนาดนี้น่ะ?” ฉินสือโอวถามพร้อมหัวเราะ
พ่อของฉินสือโอวหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “ถึงฉันจะอยากซื้อก็ซื้อไม่ได้หรอก จะให้ฉันไปซื้อที่ไหนล่ะ? นี่ต้องขอบคุณแกนะ เหล้านี่เป็นของที่เพื่อนนักเรียนของแกที่ปักกิ่งส่งมาให้น่ะ เป็นเหล้าที่ดีจริงๆ ฉันดื่มไปแก้วเล็กๆ แก้วหนึ่ง รสชาติเข้มข้นมากเลย”
 “พ่อแกน่ะตะกละ แค่ได้เห็นเหล้าบุหรี่ก็ละสายตาไม่ได้แล้ว” แม่ของฉินสือโอวมองค้อนทีหนึ่ง
ฉินสือโอวรินเหล้าให้กับเออร์บักกับเบิร์ด เบิร์ดดมครู่หนึ่งก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เหล้าขาวกลั่นเหรอครับ?”
 “ใช่แล้ว ดื่มให้เต็มที่เลยนะ ถ้าดื่มเยอะไปก็แค่ไปนอน มาที่นี่ก็เหมือนกับอยู่หอพักนั่นแหละ ไม่ต้องเกรงใจฉันนะ” ฉินสือโอวพูด
มื้ออาหารพร้อมหน้าพร้อมตามื้อแรก ฉินสือโอวกินอย่างดีใจสุดขีด
คนทั้งครอบครัวอยู่กินข้าวพร้อมหน้ากันและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน คนแก่ร่างกายแข็งแรง เด็กๆ ก็น่ารัก ใต้โต๊ะยังมีลูกหมาวิ่งเล่นไปมา ฉินสือโอวไม่ได้มีความทะเยอะทะยานอะไรมากมาย ขอแค่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้ไปตลอดชีวิตก็พอแล้ว
หลังตื่นนอนวันที่สอง ฉินสือโอวลงจากเตียง เห็นพ่อกับแม่ตื่นอยู่ก่อนแล้ว และกำลังวุ่นอยู่กับการนวดแป้งเพื่อจะทำแป้งห่อเกี๊ยวน้ำ
ฉินสือโอวถามอย่างสงสัยว่า “พ่อแม่ครับ วันนี้ไม่ใช่วันตงจื้อสักหน่อย จะห่อเกี๊ยวทำไมครับ?”
แม่ของฉินสือโอวหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “เมื่อก่อนนายชอบกินเกี๊ยวกุ้ยช่ายอ่อนที่สุดไม่ใช่เหรอ? กลับมาก็กินเยอะหน่อยแล้วกัน กลับไปนิวฟันด์แลนด์แล้วคงหากินไม่ได้แล้วนะ”
ฉินสือโอวหัวเราะอย่างอ่อนโยน แล้วก็ไปช่วยพ่อแม่นวดแผ่นแป้งห่อเกี๊ยว ตั้งแต่เด็กเขาก็ถูกคุณพ่อบังคับให้ทำงานบ้าน ทำอาหาร ดังนั้นเขาจึงทำงานพวกนี้เป็นทั้งหมด
พอเขาลงมือทำเท่านั้น พ่อของฉินสือโอวมองแล้วก็พยักหน้า พูดว่า “อืม นวดได้ดีเลยทีเดียว”
ฉินสือโอวจึงตอบกลับไปประโยคหนึ่งว่า “ก็ได้พ่อนี่แหละที่บังคับจนผมทำเป็น”
พอพ่อของฉินสือโอวได้ฟังคำพูดเขาแล้ว ก็ห่อเหี่ยวใจขึ้นมาทันที “ตอนนั้นพ่อเองก็ไม่มีทางเลือก ฉันกับแม่แกรู้สึกว่าบ้านเราไม่ได้มีเงิน หน้าตาแกเองก็ไม่ได้หล่อเหลาอะไร ถ้ายังไม่ฝึกทำงานบ้านอีก อีกหน่อยคงหาเมียไม่ได้แน่”
ฉินสือโอว “…”
เมื่อกินมื้อเช้าแล้ว ฉินสือโอวก็อยู่บ้านคุยเป็นเพื่อนกับพ่อแม่ เสี่ยวฮุยวิ่งออกมา บอกว่าจะพาเชอร์ลี่ย์กับพาวลิสออกไปเล่นกันในหมู่บ้าน
พวกเชอร์ลี่ย์รู้สึกว่าประเทศจีนเต็มไปด้วยความพิศวง การให้เสี่ยวฮุยพาไปเล่นก็ดีเหมือนกัน ฉินสือโอวจึงไม่พูดอะไรแค่พยักหน้าอนุญาตเท่านั้น
จากนั้นเด็กห้าคนกับหมาอีกสามตัวจึงออกจากบ้านไปอย่างมีความสุข
หมู่บ้านตระกูลฉินถือเป็นหมู่บ้านระดับกลางในเมืองนี้ มีทั้งหมดหกร้อยกว่าครัวเรือน หมู่บ้านอยู่ตรงตีนเขาพอดี ดังนั้นภูมิประเทศของเมืองจึงค่อนข้างขรุขระ ตรงฝั่งตะวันออกจะสูงนิดหนึ่ง ส่วนตรงฝั่งตะวันตกจะเตี้ยลงหน่อย
หน้าหมู่บ้านคือแม่น้ำไป๋หลง ด้านหลังคือผืนป่าและสวนผลไม้ของคนในหมู่บ้าน น่าเสียดายที่ตอนนี้เป็นฤดูหนาว ไม่อย่างนั้นทั้งหมู่บ้านจะเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวดอกไม้แดงที่สวยสดงดงามดูมีชีวิตชีวามาก
แต่ฤดูหนาวนั้นจะไม่ค่อยมีที่ไหนให้ไปเที่ยวได้ จะมีก็แต่ลานนวดข้าวใหญ่ข้างหลังหมู่บ้านเท่านั้นที่กลายเป็นสวนสนุกของพวกเด็กๆ ตอนฉินสือโอวเด็กก็มักจะไปเล่นที่ลานนี้ในช่วงฤดูหนาวเหมือนกัน เด็กๆ ทุกคนพากันมาลื่นล้ม ดีดลูกแก้ว ปาหิมะกันที่นี่ สนุกมากเลย
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทุกๆ บ้านต่างก็มีทีวี แม้แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ยังมีกันแทบจะทุกบ้าน หรือแม้แต่บ้านที่ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ก็มีสมาร์ตโฟนกัน พอมีเกมคอมพิวเตอร์ให้เล่นแล้ว แล้วใครจะยอมทนหนาวไปเล่นที่ลานนวดข้าวกันอีก?
เสี่ยวฮุยพาเพื่อนๆ เดินเล่นกันสักพัก เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรให้เล่นได้เลย จึงพาพวกเขาไปที่ลานนวดข้าว อย่างน้อยลานนวดข้าวก็มีกองเปลือกข้าวโพดที่ตั้งเป็นสามเหลี่ยมอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศ สามารถใช้มาเล่นซ่อนหาได้
แต่สำหรับคนที่มีส่วนสูงหนึ่งเมตรหกถึงหนึ่งเมตรเจ็ดอย่างเชอร์ลี่ย์กับพาวลิสนั้น การเล่นซ่อนหาค่อนข้างจะน่าเบื่อไปนิด พาวลิสจึงยักไหล่อยากปฏิเสธ เชอร์ลี่ย์กะพริบตา ดึงตัวเขาไว้แล้วพูดว่า “เอาน่า พวกเราเล่นซ่อนหากันก็ดีนะ พวกเธอซ่อนเถอะ เดี๋ยวฉันเป็นคนหาเอง”
พวกเสี่ยวฮุยจึงไม่คิดอะไรมากอีก จากนั้นเด็กผู้ชายทั้งหลายก็รีบมุดเข้าไปในกองฟางพวกนั้นอย่างไร้เดียงสา เพราะคิดว่าตัวเองหาที่ซ่อนได้ดีแล้ว แต่เชอร์ลี่ย์เพียงแค่โบกมือเรียกหู่จือกับเป้าจือเท่านั้น ทีนี้ไม่ว่าใครก็หนีไม่พ้น
เล่นไปได้สักพัก พวกของเสี่ยวฮุยก็ทนไม่ไหวแล้ว เพราะไม่ว่าจะซ่อนอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ แล้วจะสนุกกันได้อย่างไร? จึงเป็นธรรมดาที่ไม่อยากเล่นต่อ
พาวลิสเดาออกว่าเชอร์ลี่ย์แอบเล่นขี้โกง แต่สาวตาโตคนนี้กลับยักไหล่อย่างไม่แคร์ ใช่แล้ว ชั้นอยากเล่นแบบนี้ จะทำไมล่ะ?
ขณะที่กำลังเบื่ออยู่นั้น หูของหู่จือกับเป้าจือก็ตั้งขึ้นมา จ้องไปทางสวนผลไม้ จากนั้นก็พุ่งตัวออกไปตามๆ กัน
 “เกิดอะไรขึ้น?” เสี่ยวฮุยตกใจขึ้นมา
แลบราดอร์สองตัว ตัวหนึ่งวิ่งไล่ไปตรงๆ อีกตัวก็ไล่อ้อมไปอีกทาง ไม่นานกระต่ายสีเทาตัวหนึ่งก็ถูกไล่ต้อนออกมาจากสวนผลไม้
ทั้งที่จะประกบตัวกระต่ายได้แล้วแท้ๆ แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงเห่าของสุนัขตัวใหญ่ดังออกมาจากสวนผลไม้ ตามด้วยชายวัยรุ่นห้าหกคนที่พาเยอรมันเชเพิร์ดหลายตัวก็มาปรากฏตัวขึ้น
เยอรมันเชเพิร์ดที่ปรากฏตัวออกมากะทันหันนั้น ไม่ได้สร้างความกดดันให้กับหู่จือกับเป้าจือแต่อย่างใด ทั้งสองตัวทำภารกิจสำเร็จแล้ว กระต่ายที่วิ่งต้อนได้ถูกคาบอยู่ในปากเรียบร้อย พวกมันจึงวิ่งโต๋เต๋กลับไปยื่นกระต่ายให้กับเชอร์ลี่ย์
เชอร์ลี่ย์เป็นคนดูแลเสี่ยวฮุย จึงยื่นกระต่ายป่าตัวนั้นให้เขาแล้วพูดว่า “ตอนบ่ายเอาไปให้คุณยายนะ ถ้าเอาไปย่างกิน รสชาติดีมากเลย”
 “เฮ้ พวกเธอทำอะไรน่ะ? เมื่อกี้มีคนเข้ามาในสวนผลไม้บ้านฉันใช่ไหม?” ชายวัยรุ่นที่ตัวสูงผอมคนหนึ่งถามด้วยเสียงแข็ง ชายวัยรุ่นข้างๆ ดึงตัวเขาทีหนึ่ง ชี้ไปที่พวกของเชอร์ลี่ย์แล้วพูดอย่างประหลาดใจว่า “ดูสิ ต้าเป่า เด็กต่างชาติ”
ชายวัยรุ่นมองไปที่เด็กผู้หญิงตาใสแป๋วกับพวกพาวลิสสามคน อึ้งไปพักหนึ่ง แล้วถามว่า “พวกเธอเป็นคนต่างชาติเหรอ?”
เชอร์ลี่ย์ยักไหล่เบาๆ เธอรู้สึกว่าชายวัยรุ่นพวกนี้ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก จึงผิวปากเรียกหู่จือและเป้าจือเพื่อจะพาพวกมันกลับไป
ชายวัยรุ่นไม่พอใจ คนผอมสูงจึงคว้ามือแย่งกระต่ายไปจากเสี่ยวฮุย แล้วพูดว่า “กระต่ายตัวนี้ถูกจับได้ที่สวนผลไม้ของบ้านฉัน พวกเธอยังคิดจะเอามันกลับไปอีกเหรอ?”
เสี่ยวฮุยเป็นคนขี้กลัว จึงพูดเสียงเบาว่า “พวกเราไม่ได้…”
เมื่อเห็นเสี่ยวฮุยถูกชายวัยรุ่นแกล้ง เชอร์ลี่ย์ที่ถือว่าตัวเองเป็นพี่ใหญ่จึงโกรธแล้วเข้าไปแย่งกระต่ายมา ตะโกนว่า “นี่ไม่ใช่ของบ้านพวกเธอ โอเคไหม? มันเป็นของข้างทาง พวกเราจับได้ตรงข้างทางต่างหาก!”
“พวกเธอมาจากหมู่บ้านไหนกัน? ทำไมไม่เคยเห็นมาก่อนเลย? พวกเธอต้องเคยเข้าไปแน่นอน ไม่อย่างนั้นหู่จือของฉันคงไม่เห่าเสียงดังแบบนี้หรอก” ชายผอมสูงพูดตัดบทเสี่ยวฮุย
เชอร์ลี่ย์ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “หู่จือบ้านนายเหรอ? หู่จือเป็นของพวกเรา จะเป็นของพวกนายได้ยังไงกัน?”
 “อย่ามามั่วนะ กระต่ายนี้ต้องถูกจับได้ที่สวนผลไม้บ้านฉันแน่นอน งั้นก็ต้องเป็นของบ้านฉันสิ”
 “ช่างเถอะน่า ต้าเป่า กระต่ายถูกเขาจับได้ข้างทางนะ จะเป็นของบ้านนายได้ไงกัน” ชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่ทนมองต่อไม่ไหวพูดทวงความยุติธรรมให้
เมื่อกี้ตอนที่ชายวัยรุ่นต้าเป่าที่ถูกเชอร์ลี่ย์แย่งกระต่ายไปก็รู้สึกเสียหน้ามากอยู่แล้ว ตอนนี้เพื่อนยังมาเข้าข้างคนอื่นอีก เขาจึงโกรธขึ้นมาทันที ชี้ไปเชอร์ลี่ย์แล้วตะโกนว่า “เชอะ ไอ้พวกชาวต่างชาติพวกนี้สามหาวเสียจริง! เอากระต่ายมาให้ฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะปล่อยหมาไปกัดพวกเธอ!”
แม้พวกพาวลิสจะไม่เข้าใจคำพูดทั้งหมด แต่ก็พอรู้ได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้มาดี จึงรีบถามออกไปเสียงแข็งทันทีว่า “เฮ้ย พวกนายน่ะ อยากมีเรื่องเหรอ? กับเด็กผู้หญิงน่ะต้องทำตัวเป็นสุภาพบุรุษนะ โอเคไหม?”
…………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset