ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 471 ตกปลาเดียวดายท่ามกลางหิมะโปรย

ตกดึกเหวินซูพาลูกชายมา ดูจากตาที่บวมเป่งอย่างกับลูกท้อของชายวัยรุ่นผอมสูงต้าเป่า สงสัยกลับบ้านไปคงถูกคุณพ่อสั่งสอนไปยกใหญ่แน่ๆ เพราะเด็กผู้ชายในหมู่บ้านที่ร้องไห้หนักขนาดนี้นั้นมีน้อยมาก
เงินชดเชยถึงมือแล้ว งั้นฝั่งตัวเองก็ต้องแสดงความรับผิดชอบด้วย เหวินซูจึงพาลูกชายมาที่บ้านเพื่อขอโทษเชอร์ลี่ย์กับเด็กๆ ทั้งห้าคน
ต้าเป่าพูดขอโทษด้วยเสียงสะอื้น เชอร์ลี่ย์ที่เห็นผู้ชายคนหนึ่งร้องไห้ขนาดนี้ก็ใจอ่อน บอกเขาว่าไม่เป็นไรฉันยกโทษให้เธอแล้ว
ฉินสือโอวพยักหน้าพูดว่า “แบบนี้สิถึงจะถูก เด็กๆ อยู่ด้วยกันก็ไม่ควรจะมีเรื่องชกต่อยกับด่ากันนะ อีกอย่าง เรื่องนี้ก็ถือเป็นบทเรียนของเธอนะ ต่อไปอย่าเห็นว่าคนอื่นตัวเล็กอายุน้อยกว่าก็จะรังแกคนอื่น รู้ไหม?”
หู่จือกับเป้าจือที่ยังคงแยกเขี้ยวใส่ต้าเป่าอยู่นั้นได้เผยให้เห็นถึงเขี้ยวสีขาวเงาวับ ทำเอาขาทั้งสองข้างของเด็กวัยรุ่นที่อยู่ชั้นมัธยมต้นสั่นระริก เพราะเขารู้ว่าหมาสองตัวนี้เก่งแค่ไหน!
นอกจากขอโทษแล้ว เหวินซูยังมาที่นี่เพื่อมอบเนื้อหมาให้ด้วย เขาบอกว่าหมาสองตัวนั้นได้เอาไปจัดการแล้ว นี่ก็เลยนำเนื้อหมาบ้านมาให้เสี่ยวโอวกับคนแคนาดาชิมด้วย
คนชนบทนั้นไม่ค่อยพิถีพิถันนัก หมาที่เลี้ยงในบ้านนอกเสียจากว่าเลี้ยงมานานจนกลายเป็นหมาแก่หรือไม่ก็หมาที่เลี้ยงมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วนั้น ตัวอื่นๆ พอตายแล้วก็จะเอาเนื้อมากิน ยิ่งกับหมาตัวใหญ่ที่ซื้อมาเพราะจะเอามาเฝ้าสวนผลไม้แบบนี้แล้วยิ่งไม่มีความสัมพันธ์อะไรด้วยอยู่แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่ว่าตายแล้วจะนำไปฝัง น่าเสียดายเนื้อพวกนั้นแย่
ระหว่างพวกเด็กๆ แล้วไม่ได้มีทิฐิอะไรมาก คืนนั้นมีหิมะใหญ่ตกลงมา วันที่สองจึงมีหิมะหนาปกคลุมไปทั่วทั้งถนน เด็กหลายคนจึงทิ้งเกมที่บ้านแล้ววิ่งออกไปเล่นกัน
ต้าเป่าเดินมาหาที่บ้านอย่างประหม่า ถามเสี่ยวฮุยกับเชอร์ลี่ย์ว่าพวกเขาจะออกไปเล่นกับเขาไหม ฉินสือโอวโบกมือไปมา ให้พวกเด็กๆ ออกไปเล่นกันให้สนุก
แม่ของฉินสือโอวรีบเอาเสื้อขนเป็ดออกมาสวมให้เด็กๆ ทีละคน ปากก็พูดเตือนไม่หยุดว่าอย่าทะเลาะกัน อย่าด่ากันแล้วก็อย่าถอดเสื้อด้วย
ฉินสือโอวรีบหยุดไว้ แล้วพูดว่า “แม่ครับ พวกเขาออกไปเล่นกันนะครับ ทั้งวิ่งทั้งกระโดดทั้งซนกัน แม่ให้พวกเขาใส่เสื้อหนาขนาดนี้ทำไมกัน?”
แม่ของฉินสือโอวจ้องตาเขม็งแล้วพูดว่า “ข้างนอกยังมีหิมะตกอยู่เลย หนาวขนาดนี้ไม่ใส่เสื้อกันหนาวได้อย่างไร?”
ฉินสือโอวปัดมืออย่างไม่ใส่ใจ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ อากาศของนิวฟันด์แลนด์หนาวกว่าที่นี่มาก ตอนพวกเขาออกไปเล่นก็ใส่แค่เสื้อกีฬาแค่นั้น อีกอย่าง ถ้าหนาวจริงๆ พวกเขาจะไม่กลับบ้านมาบอกว่าหนาวหรืออย่างไร? พวกเขาไม่ใช่เด็กเล็กๆ แล้วนะครับ”
แม่ของฉินสือโอวยังอยากพูดต่อ แต่พ่อของฉินสือโอวที่เดินจูงหมูกลับมาปัดมือแล้วพูดว่า “เอาน่าๆ เสี่ยวโอวกับเสี่ยวเวยต่างก็เคยเข้ามหาวิทยาลัยนะ จะเลี้ยงเด็กสู้เธอไม่ได้เลยเหรอ? ให้พวกเขาไปเล่นเถอะ”
เสี่ยวฮุยรีบไปตามน้ำทันที “ผมก็จะถอดด้วย! ใส่แบบนี้วิ่งไม่ไหว!”
แม่ของฉินสือโอวยังคงพึมพำว่าการได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเกี่ยวอะไรกับการเลี้ยงเด็กกัน แต่ก็ยอมให้เสี่ยวฮุยถอดเสื้อขนเป็ดออกเปลี่ยนไปใส่เสื้อแจ็กเกตให้แทน
เสี่ยวฮุยยิ้มอย่างดีใจ เหตุผลที่เขาไม่อยากใส่เสื้อขนเป็ดก็เพราะเขาอยากใส่เสื้อผ้าสวยๆ ที่ป้าสะใภ้ซื้อมาฝากจากต่างประเทศนั่นเอง
เสื้อที่วินนี่ซื้อมาฝากเสี่ยวฮุยนั้นถือว่าลงทุนมากเลย เพราะเป็นเสื้อสีล้วนของแบรนด์คาลวินไคลน์คิดส์จากอเมริกา นี่เป็นหนึ่งในแบรนด์เสื้อผ้าเด็กที่ดีที่สุดของอเมริกาเหนือ บริษัท CKK ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1968 จนถึงปัจจุบัน และถูกเรียกว่าเป็นตัวแทนของแบรนด์เสื้อผ้าเด็กตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เสื้อผ้าเด็กที่ออกแบบมานั้นผสมผสานระหว่างแฟชั่นสไตล์อเมริกันของ CK แต่ก็ยังคงอยู่ซึ่งความน่ารักไร้เดียงสาแบบเด็กๆ ไว้ด้วย
เชอร์ลี่ย์แต่งตัวง่ายๆ เธอสวมเสื้อยีนกับรองเท้าหนัง ทำให้ไม่มีมาดคุณหนูใสตาเหลืออยู่แล้ว แต่เปี่ยมไปด้วยมาดสาวห้าวที่กระฉับกระเฉงแทน
ฉินสือโอวเห็นพ่อหิ้วหัวหมูเข้าไปในห้องครัว จึงถามว่าเอามาจากที่ไหน
พ่อของฉินสือโอวหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “ที่บ้านหัวหน้าหมู่บ้านคุณลุงห้าของแกฆ่าหมูเพื่อไหว้ปีใหม่ มีทั้งหมดสองหัว ฉันเลยไปขอมาหัวหนึ่งน่ะ”
ฉินสือโอวตบบ่าพ่อแล้วพูดว่า “แหม ตอนนี้พ่อเป็นที่นับหน้าถือตาแล้วนะ ขนาดหัวหมูยังขอซื้อมาได้เลยเหรอเนี่ย?”
ไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ที่บ้านเกิดของฉินสือโอวนั้นทุกคนต่างก็ชอบเนื้อหัวหมูกัน ตอนฆ่าหมูเพื่อไหว้ปีใหม่นั้นหัวหมูถือว่าเป็นส่วนที่มีค่ามากที่สุด ดังนั้นการจะไปขอซื้อหัวหมูจากบ้านคนอื่นมาได้นั้น ถือว่าตัวเองมีหน้ามีตามากทีเดียว
พ่อของฉินสือโอวทำหน้าหยิ่งผยอง พูดว่า “ไม่ได้ซื้อ แต่เขาให้มา”
แม่ของฉินสือโอวอธิบายว่า “ปีนี้พ่อแกไม่มีอะไรทำ จึงไปช่วยซ่อมบ้านคุณลุงห้าของแก คุณลุงห้าเขารู้ว่าแกกลับมาฉลองปีใหม่ที่บ้าน จึงตั้งใจพูดย้ำกับพ่อแกน่ะ ว่าถึงปีใหม่ตอนที่พวกเขาฆ่าหมูกันให้ไปเอาหัวหมูมาอันหนึ่งให้แกกิน”
วินนี่มองไปที่หัวหมูที่น่ากลัวนี่อย่างตกตะลึง แล้วใช้ภาษาอังกฤษพูดกับฉินสือโอวว่า “ถ้าคุณกินไอ้นี่เข้าไปแล้วห้ามขึ้นเตียงฉันเดือนหนึ่งเลยนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะให้เสี่ยวหลัวปอกัดคุณแน่”
ฉินสือโอวหัวเราะดีใจแล้วพูดว่า “ตอนนี้เสี่ยวหลัวปอกลัวผมยิ่งกว่าอะไร คุณคอยดูเถอะว่ามันจะกล้ากัดผมหรือเปล่า? ที่บ้านยังมีหมูป่าอีกหลายตัว เดี๋ยวผมจะไปจัดการเสียหน่อย ของแบบนี้อร่อยมากนะ”
วินนี่ส่ายหัวอย่างแรง กลิ่นหัวหอมกลิ่นซอสเธอยังพอรับได้ แต่การกินหัวหมูแบบนี้นั้นเธอรับไม่ได้จริงๆ
การจัดแจงหัวหมูค่อนข้างยุ่งยาก ฉินสือโอวเห็นวินนี่ไม่ค่อยชอบสิ่งนี้ จึงพาเธอไปเที่ยวในหมู่บ้าน แนะนำบ้านเกิดของตัวเองให้เธอ
เออร์บักที่ออกไปเดินเล่นแต่เช้าพาหู่จือกับเป้าจือกลับมา เมื่อเห็นฉินสือโอวออกบ้าน จึงพูดว่า “ฉิน แม่น้ำใหญ่หน้าหมู่บ้านของคุณไม่ได้แข็งเป็นน้ำแข็ง พวกเราไปตกปลากันดีไหม?”
ฉินสือโอวถามพ่อแม่อย่างแปลกใจ นี่ก็เดือนสิบสองแล้วทำไมถึงยังไม่เป็นน้ำแข็งอีก?
พ่อของฉินสือโอวถอนหายใจแล้วพูดว่า “แกไม่รู้อะไร ปีนี้ที่นี่ถือว่าเป็นหนาวอุ่น! เฮ้อ ดูหิมะที่ตกวันนี้สิ นี่น่ะความจริงเป็นหิมะแรกของปีนะ! ดูท่าแล้วช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลินี้ก็คงยังไปทำสวนไม่ได้แน่”
ฉินสือโอวไม่สนใจ ยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องทำแล้วกัน ที่บ้านก็ไม่ได้ขัดสนนี่?”
พ่อของฉินสือโอวส่ายหัว จุดนี้เขาไม่เถียงกับลูกชาย คนหนุ่มจะมาเข้าใจความรู้สึกของคนแก่ที่มีต่อการทำไร่ทำนามาทั้งชีวิตได้อย่างไร?
การไปตกปลาตอนหิมะตกแม้จะแปลกไปบ้าง แต่เมื่อคืนฉินสือโอวได้ใช้พลังโพไซดอนไปสำรวจดูในแม่น้ำไป๋หลงแล้ว ในแม่น้ำมีปลาตัวอ้วนไม่น้อยเลย สามารถไปตกมาตุ๋นเป็นซุปมาดื่มได้
ดังนั้นเขาจึงไปหาหมวกงอบมาสองใบให้วินนี่กับเออร์บัก ที่บ้านมีเบ็ดตกปลาอยู่แล้ว เขาจึงใช้น้ำมันผสมกับแป้งโปรตีนทำเป็นเหยื่อ แล้วก็พาทั้งสองคนออกจากบ้านไป
ข้างนอกหิมะตกไม่หนักแล้ว มีตกลงมาบ้างประปรายเท่านั้น ไม่กระทบต่อการตกปลา
ระหว่างเดินอยู่บนถนนในหมู่บ้าน ฉินสือโอวรู้สึกหดหู่เล็กน้อย พูดขึ้นมาว่า “เมื่อก่อนผมมักจะคิดว่าหมู่บ้านนั้นใหญ่มาก เขตอำเภอยิ่งใหญ่กว่า แต่ตอนนี้พอลองมองกลับมาดู ความจริงที่นี่นั้นเล็กมากจริงๆ ถนนแคบ บ้านก็เตี้ย”
เขาส่ายหัวไปมา ตอนจากบ้านไปที่อื่น เขามักรู้สึกว่าบ้านเกิดนั้นดีไปเสียหมด แต่พอได้กลับมาจริงๆ เขากลับรู้สึกว่าบ้านเกิดนั้นไม่เหมือนกับที่ตัวเองคิดไว้ ว่าเป็นที่ที่สามารถเอาไว้หลบลมหลบฝนของเขาได้ บ้านเกิดที่สวยงามนั้นก็คงมีแต่ในใจเท่านั้น
เพราะการขุดคลองและการจัดการของรัฐบาล แม่น้ำไป๋หลงในตอนนี้สะอาดกว่าเมื่อก่อนมาก ฉินสือโอวยืนอยู่บนเขื่อนหันกลับไปมองหมู่บ้าน ที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีขาว ทำให้มองไม่เห็นหลังคาสีแดงกับกำแพงสีขาวแล้ว
เสี่ยวหลัวปอหดตัวอยู่ในอ้อมกอดของวินนี่อย่างออดอ้อน ฉินสือโอวจับมันไปไว้บนพื้น มันมองไปที่พื้นโคลนอย่างรังเกียจ หาหินก้อนหนึ่งแล้วกระโดดขึ้นไป ยืนสั่นริกๆ อยู่บนนั้น
วินนี่อยากอุ้มมัน แต่ฉินสือโอวพูดว่า “เจ้าตัวนี้มันแสร้งทำน่ะ ตอนหิมะตกตอนอยู่ที่บ้านก็เห็นมันวิ่งเล่นไปทั่วกับหู่จือกับเป้าจือ ไม่เห็นมันจะสั่นเลย มันเป็นถึงหมาป่าอาร์กติกนะ ใช้ชีวิตอยู่บนเขาหิมะ”
หลัวปอสั่นไปสักพัก เมื่อเห็นวินนี่ไม่ยอมมาอุ้ม ก็โกรธจนใช้เล็บขุดหิมะออกแล้วนั่งลงไป
ฉินสือโอวหาหินที่ค่อนข้างมั่นคง นั่งอยู่บนนั้นสะบัดเบ็ดออกไปอย่างแรง สะบัดเหยื่อไปที่ตรงหน้าปลาลิ่นที่กำลังหาอาหารอยู่ใต้น้ำนั่น
……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset