ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 477 จมลงไป

ฉินสือโอวกวาดตามองไปทั่วทั้งสี่ทิศ ที่นี่ถือได้ว่าเป็นช่วงท้ายของตลาดนัดแล้ว ถึงที่นี่ก็แทบจะไม่มีแผงลอยแล้ว แต่รอบด้านยังคงอัดแน่นไปด้วยผู้คน
ถนนทั้งสองด้านเต็มไปด้วยรถจอดอยู่ ทั้งรถตู้และรถเก๋งต่างก็จอดเรียงรายอย่างไม่เป็นระเบียบ ช่องว่างระหว่างรถก็มีพวกรถมอเตอร์ไซต์ รถไฟฟ้าและจักรยานจอดอยู่ สรุปก็คือถ้าขับรถมาด้วย ก็คงต้องรอตลาดนัดเลิกเท่านั้นจึงจะขับรถออกไปได้
เขาเดินไปถามกับผู้หญิงคนนั้นว่า “คุณน้า หลานของคุณหายไปนานแค่ไหนแล้วครับ? ขอเวลาแบบละเอียดนะครับ! สักพักเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะมาแล้ว ผมจะได้บอกกับเขาให้ชัดเจน!”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘เจ้าหน้าที่ตำรวจ’ ผู้หญิงคนนั้นก็ได้สติขึ้นมาอีกนิด เธอปาดน้ำตาบนหน้าแล้วชี้ไปที่แผงลอยภาพตัดแปะที่อยู่ไม่ไกลแล้วพูดว่า “หายไปตรงนั้นแหละค่ะ ฉันก็ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้ว ฉันงงไปหมดแล้ว… น้องชาย ช่วยน้าหน่อยนะ ถ้าหลานหายไปจริงๆ น้าก็คงอยู่ต่อไม่ได้แล้วล่ะ!”
ระหว่างพูดอยู่ เธอก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมา แล้วรีบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบกระเป๋าเงินใบเก่าออกมา ในนั้นมีรูปครอบครัวอยู่ เขานำรูปยื่นให้กับฉินสือโอวแล้วพูดว่า “คนนี้ก็คือหลานของฉัน คนนี้ก็คือหลานของฉัน…”
ฉินสือโอวคำนวณคร่าวๆ สักพัก แผงลอยภาพตัดแปะอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร ผู้หญิงคนนี้เบียดมาที่นี่ก็คงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาที
สิบนาที การที่คนลักพาตัวจะออกจากตลาดนัดไปนั้นคงเป็นไปไม่ได้ นอกเสียจากว่าจะขับรถออกไป แต่การจะขับรถมาก็คงจะติดแหง่กอยู่ที่นี่ ยิ่งทำให้ไปไหนไม่ได้อีก งั้นก็คงไปไหนได้ไม่ไกล
ฉินสือโอวหยิบหมวกของเด็กในมือของผู้หญิงคนนั้น ปล่อยเป้าจือที่แบกไว้ในกระเป๋าออกมาแล้วก็ให้เบิร์ดปล่อยหู่จือออกมาด้วย เขานำหมวกให้เจ้าสองตัวนั้นดม จากนั้นก็ตบเบาๆ ไปที่ก้นของพวกมันให้พวกมันตามกลิ่นออกไป
หู่จือกับเป้าจือขยับจมูกอยู่พักใหญ่ กะพริบตาปริบๆ มองไปที่ฉินสือโอว แล้วก็มองไปรอบด้าน
ในกลุ่มคนที่มามุงดูมีคนตะโกนขึ้นว่า “ที่นี่คนเยอะขนาดนี้ จมูกของหมาต้องดีขนาดไหนกันถึงจะตามกลิ่นของเด็กเจอ?”
ฉินสือโอวเองก็รู้สึกไม่ค่อยมั่นใจกับวิธีนี้นัก หากว่าฉงต้าอยู่ที่นี่ด้วยก็คงดี ความสามารถการดมกลิ่นของฉงต้านั้นต่อให้เอาหู่จือกับเป้าจือมารวมกันก็เทียบไม่ได้เลย
แต่ว่าเจ้าแลบราดอร์ก็เก่งมากเหมือนกัน ก็เป็นถึงสุนัขที่ใช้ตรวจยาเสพติดของตำรวจสากลนี่นา อีกอย่างพวกมันก็ถูกพลังโพไซดอนทำให้แข็งแกร่งด้วยอีก
หู่จือกับเป้าจือดมกันสุดฤทธิ์ ฉินสือโอวลูบหัวพวกมันแล้วพูดว่า ‘เด็กดี’ ไม่หยุด ดมไปประมาณสิบกว่าวินาที ทั้งสองตัวหันหลังกลับ วิ่งไปทางที่โล่งทางด้านเหนือข้างหลังตลาดนัด
ชายวัยกลางคนในชุดสูทพูดออกมาอย่างงุนงงว่า “นี่หมายความว่าอะไร? พวกมันดมผิดหรือเปล่า พวกมันไปหาทางที่คุณพี่กับเด็กมากันเหรอ?”
ผู้หญิงเองก็ร้องไห้พร้อมพูดออกมาว่า “ไม่ใช่ทางเหนือ มีคนบอกว่าโดนคนอุ้มไปทางใต้นะ”
ฉินสือโอวรู้สึกลำบากใจ เพราะมีความน่าจะเป็นเหมือนที่พวกเขาพูด ที่หู่จือกับเป้าจือจะดมกลิ่นไปทางที่ผู้หญิงกับเด็กมา
แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าพวกมันจะดมกลิ่นของเด็กได้แล้วจริงๆ เพราะเมื่อกี้ทั้งหู่จือและเป้าจือต่างก็ไม่มีความลังเลเลย หากว่าเด็กไปทางทิศใต้จริงๆ งั้นทั้งทางทิศใต้และเหนือก็ต้องมีกลิ่นของเด็กคนนั้นทั้งสองที่ พวกมันก็ต้องลังเลสิถึงจะถูก
แต่ตอนนี้ ทั้งสองตัวต่างก็ไม่มีความลังเล แต่กลับวิ่งหันหลังกลับไปทางทิศเหนือพร้อมกันเลย
ฉินสือโอวให้วินนี่ดูแลพวกเด็กๆ เขาพาเบิร์ดวิ่งอ้อมตลาดนัดไปทางทิศเหนือตามหู่จือกับเป้าจือไป ชายหนุ่มและชายวัยกลางคนบางคนก็วิ่งตามไปด้วย
หู่จือกับเป้าจือแหงนหน้าดมกลิ่นตลอดทาง วิ่งสักพักก็หยุดส่งเสียงร้องให้กับฉินสือโอวแล้วก็ออกวิ่งต่อ เสียงร้องก็ถี่ขึ้นเรื่อยๆ
ในใจฉินสือโอวรู้สึกว่าได้เรื่องแล้ว จึงพูดกับพวกผู้ชายที่ตามมาว่า “ไม่ผิดแน่นอน เด็กถูกอุ้มไปทางทิศเหนือนี่แหละ!”
ตลาดนัดเป็นทางสี่แยก ยิ่งเข้าไปตรงกลางคนจะยิ่งเยอะ ถึงแม้ว่าจะวิ่งอ้อมร้านต่างๆ แล้วก็ยังคงวิ่งยากอยู่ดี
แต่ว่าหู่จือกับเป้าจือนั้นกระฉับกระเฉงมาก ตัวหนึ่งวิ่งนำอยู่ข้างหน้า อีกตัววิ่งอยู่ข้างหลังพาพวกฉินสือโอวไป ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตามมาด้วยเห็นอย่างนี้แล้วก็ทำเสียงประหลาดใจ ตะโกนบอกฉินสือโอวว่า “เจ้าสองตัวของคุณนี้พันธุ์อะไรครับ? ฉลาดมากเลย”
จากทางเข้าออกทางทิศใต้ของตลาดนัด หู่จือวิ่งไปถึงตรงกลางทางเข้า จากนั้นก็ทำท่าดมกลิ่นแล้วก็หยุดหมอบลงกับพื้น ไม่มีทีท่าเหมือนจะมาหาอะไรเลย
รอเป้าจือพาฉินสือโอวมาถึง หู่จือก็กระโดดลุกขึ้นมาทันที แล้ววิ่งไปที่ข้างหลังแผงขายผลไม้ตรงทางเข้าที่มีรถตู้ยี่ห้อจินเปยจอดอยู่ จากนั้นก็แหงนหน้าหอนไม่หยุด “อาววู้ๆ ๆ ๆ !”
เป้าจือที่ทำท่าดมกลิ่น ก็วิ่งอ้อมไปอีกทางจนถึงหน้ารถ ก็ส่งเสียงร้องตามด้วย
เมื่อได้เห็นหู่จือกับเป้าจือที่ส่งเสียงร้องโหยหวน ชายวัยรุ่นสองคนที่กำลังสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ รถตู้ก็แสดงสีหน้าที่แปลกประหลาดออกมา แล้วถามว่า “ให้ตายเถอะนี่มันหมาบ้าบ้านไหนกัน? เกิดอะไรขึ้น?”
ฉินสือโอวเดินเข้าไปพูดว่า “คุณเปิดประตูรถด้วยครับ พวกเราจะหาของหน่อย”
ชายวัยรุ่นในเสื้อกันหนาวสีแดงกลอกตาอย่างหนักแน่นแล้วพูดว่า “เปิดอะไร พวกเราไม่เคยรู้จักกัน นายจะมาหาอะไรในรถพวกเรากัน? หาเรื่องหรือไง?”
ชายวัยรุ่นอีกคนที่สวมเสื้อโค้ตอยู่ก็พูดปลอบออกมาว่า “เอาน่าๆ นายเก็บอารมณ์บ้างเถอะเจ้าสี่ อย่าเอะอะก็หาเรื่องชกต่อยเลย” เมื่อพูดปลอบแล้วเขาก็หันหัวไปทางฉินสือโอว ยื่นบุหรี่ให้มวนหนึ่ง “น้องชายทำอย่างนี้หมายความว่าอะไร? มาหาอะไรในรถของพวกเราเหรอ?”
หู่จือกับเป้าจือยังคงร้องไม่หยุด ฉินสือโอวจึงดีดนิ้ว ทั้งสองตัวก็รีบหุบปากทันที แล้วลุกขึ้นมาแล้วกระโจนไปที่ชายวัยรุ่นสองคนแทน
วัยรุ่นทั้งสองตกใจหน้าถอดสี รีบก้าวถอยหลังทันที ฉินสือโอวจึงรีบเข้าไปดึงประตูรถออก เขามั่นใจในตัวของหู่จือกับเป้าจือมาก ในเมื่อเป้าหมายได้รับการยืนยันแล้ว ก็ขี้เกียจมาพูดเรื่องหลักฐานแล้ว
แต่กลายเป็นว่าประตูรถถูกล็อกอยู่ ฉินสือโอวจึงออกแรงแขนทั้งสองสุดฤทธิ์ เสียง‘แกร๊ก’ ดังขึ้นพร้อมกับล็อกประตูที่หลุดออก ทำให้ประตูรถถูกเปิดออก
พอประตูรถเปิดออกก็เผยให้เห็นถึงใบหน้าตื่นกลัวของผู้หญิงคนหนึ่ง ในอ้อมกอดของผู้หญิงคนนั้นยังอุ้มเด็กที่กำลังนอนอยู่ด้วยคนหนึ่ง ขาวๆ อ้วนๆ ใบหน้าเนียนนุ่ม อายุประมาณสามขวบ หน้าตาเหมือนกับเด็กที่เขาเห็นในรูปถ่ายเมื่อกี้ไม่มีผิด
เมื่อเห็นฉินสือโอว ผู้หญิงคนนั้นก็ยื่นมือจะข่วนหน้าเขา แล้วตะโกนออกมาว่า “นายทำอะไร? ช่วยด้วย มีนักเลงจะมาหาเรื่องแล้ว…”
ฉินสือโอวผลักผู้หญิงออกแล้วรีบแย่งเด็กมา จากนั้นผู้หญิงคนนั้นที่มือยังถือหมวกเด็กอยู่ที่วิ่งตามมาอย่างทุลักทุเล พอเห็นหน้าเด็กที่ฉินสือโอวแย่งมาได้ก็ร้องไห้ออกมาสุดเสียงแล้วพุ่งเข้าไปหา รีบอุ้มเด็กมาไว้ในอ้อมกอดทันที จากนั้นก็ชี้นิ้วไปที่ชายวัยรุ่นที่ใส่เสื้อกันหนาวสีแดงแล้วพูดว่า “ไอ้คนไม่มีหัวใจคนนี้แหละที่บอกฉันว่าเด็กถูกอุ้มไปทางทิศใต้แล้ว…”
เมื่อเรื่องถูกแฉแล้ว ตอนนี้ชายวัยรุ่นสองคนจึงกลัวสุดขีด พวกเขาหยิบมีดสั้นออกมาจากเอวแล้วตะโกนออกมาว่า “ให้ตายเถอะ ใครกล้าเข้ามาข้าจะฆ่าทิ้งให้หมดเลย!”
เมื่อเห็นชายวัยรุ่นสองคนจ่อมีดไปที่ฉินสือโอว เบิร์ดขมวดคิ้วทีหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งเข้าไปหาทันที ชายวัยรุ่นคิดไม่ถึงว่าขนาดหยิบมีดออกมาแล้วยังควบคุมสถานการณ์ไม่อยู่ จึงตัดสินใจแทงมีดออกไป
การแทงมีดกะทันหันแบบนี้สำหรับเบิร์ดแล้วเป็นเรื่องเด็กๆ มาก เขาตาไวมือไวรีบคว้าข้อมือของวัยรุ่นคนนั้นไว้ จากนั้นก็รวบบิดข้อมือนั้น ‘แกร๊ก’ เสียงเดียวก็ทำให้อีกฝ่ายทรุดลงไปทันที จากนั้นเขาก็หลบหลีกการแทงมีดของวัยรุ่นอีกคนอย่างรวดเร็ว ระหว่างหันตัวกลับก็ฟาดขาลงไปที่ไหล่ของวัยรุ่นคนนั้น ทำเอาเขาทรุดลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นเลย!
รอบเดียวเท่านั้น น็อกเอาท์อีกแล้ว!
กลุ่มคนรอบๆ ที่มุงดูอยู่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้รู้ว่าเป็นพวกแก๊งลักพาตัวเท่านั้น คนทั้งกลุ่มก็เดือดขึ้นมา เจ้าของแผงขายผลไม้หยิบเปลือกทุเรียนที่แกะเอาเนื้อออกแล้วขว้างออกไป ด่าว่า “ไอ้สารเลวพวกนี้สมควรตีให้ตาย!”
ไม่ต้องรอให้ฉินสือโอวสั่ง เบิร์ดเตะมีดออกไปอีกทาง กลุ่มคนที่มุงดูก็รีบพุ่งเข้าไป ไม่นานชายวัยรุ่นสองคนและผู้หญิงวัยกลางคนก็ถูกทำให้จมลงไปในฝูงคน
……………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset