ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 536 วิลล่าที่ขายไม่ออก

อัลเบิร์ตยืนอยู่บนชายหาดของฟาร์มปลาด้วยความฮึกเหิมพร้อมกับพุงใหญ่ๆ ของเขา น้ำทะเลในช่วงปลายเดือนเมษายนยังคงหนาวเย็นอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อเขามองไปยังน้ำทะเลสีฟ้าสดใสบวกกับทรายขาวราวหิมะ จึงตัดสินใจลงไปด้วยใจที่ห้าวหาญ
วันนี้เป็นวันที่วิลล่าของฟาร์มปลาแกธเธอริงวางฐานการก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อย วัสดุต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหิน ดิน ปูนและไม้ซุงที่สั่งไปก่อนหน้านั้นได้มาถึงแล้ว ขอเพียงแค่ขายวิลล่าได้ก็จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้เลย
ที่อเมริกาเหนือ ในการสร้างวิลล่าตากอากาศไม่ใช่ว่าสร้างเสร็จแล้วถึงค่อยประกาศขาย แต่จะต้องทำการจองก่อน เพราะลูกค้าที่จะซื้อต่างก็เป็นคนระดับสูงที่ค่อนข้างมีศักยภาพในธุรกิจ จึงจะสร้างตามความต้องการของลูกค้าเพราะพวกเขาจะมีความต้องการวางโครงและสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
นอกจากนี้ ในการเริ่มบุกเบิกสร้างวิลล่าถือว่าใช้เงินจำนวนมากอยู่ อีกทั้งอัลเบิร์ตก็เป็นพวกจับเสือมือเปล่าระดับสูงเลยก็ว่าได้ ที่เขาคิดจะทำก็คือประกาศขายวิลล่าก่อนแล้วพอได้เงินดาวน์ ถึงเอาเงินพวกนี้มาเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการสร้างก่อน จากนั้นค่อยไปกู้เงินที่ธนาคารอีกเล็กน้อย ขอแค่เขาได้เงินก็เป็นอันจบ
ในการขายวิลล่านั้นจะดูที่สภาพแวดล้อมและการบริการ ดังนั้นถึงยังไม่มีการสร้าง ลูกค้าดูแค่สภาพแวดล้อมรอบๆ ถ้าโอเคก็จ่ายตังค์เลย
อัลเบิร์ตที่ยืนอยู่บนชายหาดก็ชี้ไปยังชายฝั่งทะเลที่ยาวสุดลูกหูลูกตาแล้วพูดขึ้นว่า “ทุกท่าน เกาะแฟร์เวลของเรามีชายฝั่งทะเลแคนาดาตะวันออกที่ดีที่สุด ดูสิ วิวที่นี่สุดยอดขนาดไหน ลองคิดดูนะ ตอนมาพักผ่อนที่นี่ในช่วงฤดูร้อนดื่มแชมเปญพร้อมกับรับลมทะเล ยังจะมีอะไรดีไปกว่านี้ให้ดื่มด่ำอีกรึไง?”
“ฉันว่าไม่มีแล้วล่ะ” ผู้หญิงวัยกลางคนดูดีมีระดับคนหนึ่งหัวเราะอย่างมีความสุข แสดงให้เห็นว่าเธอพอใจกับหาดทรายนี้เป็นอย่างมาก
ลูกค้าบางคนก็พาลูกมาด้วย สิ่งที่เด็กชอบที่สุดก็คือทรายและน้ำ ชายหาดที่นี่ก็เติมเต็มความต้องการได้พอดี แล้วเด็กน้อยสองสามคนก็หยิบถังพลาสติกที่ทางฟาร์มปลาได้เตรียมไว้ให้ก่อนหน้านี้ออกมาเล่นทราย
มองดูความพึงพอใจของเหล่าลูกค้า อัลเบิร์ตก็ดีใจจนเนื้อเต้น เขานั้นได้คำนวณถึงยอดเงินมหาศาลไหลเข้าบัตรธนาคารของตัวเองแล้ว
พอช่วงบ่ายอากาศยังอยู่ในระดับที่พอดี หลังจากที่ทำใจห้าวหาญแล้วอัลเบิร์ตก็ถอดรองเท้าออก ดึงขากางเกงขึ้นเดินลงไปในน้ำ แล้วหันไปตะโกนเรียกเหล่าลูกค้า “คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง ดูนี่สิ น้ำทะเลที่นี่ไม่มีมลพิษเลย เดี๋ยวรอให้อากาศอุ่นแล้วพวกคุณก็สามารถพาครอบครัวมาเล่นเที่ยวเล่นที่นี่ได้อย่างเต็มที่เลยล่ะ…”
เวลานี้แหละที่ฉินสือโอวรอคอย ก่อนหน้านี้เป็นเพราะฟาร์มปลาแกธเธอริงกำลังปรับปรุง เพื่อป้องกันไม่ให้พวกมันได้รับบาดเจ็บ เขาจึงย้ายฝูงกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีไป แต่ตอนนี้ระดมพวกมันกลับมาใหม่อีกครั้ง
กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีสิบกว่าตัวไต่จากก้นทะเลขึ้นไปยังริมชายหาดด้วยความเร็วสูง เบิร์ดยังคงบรรยายอยู่ตรงนั้นด้วยความตื่นเต้นดีใจ จากนั้นกั้งตั๊กแตนตัวหนึ่งก็ได้ยกขาหน้าที่เหมือนค้อนขึ้นมาแล้วต่อยเขา
“…คิดดูนะ พวกคุณสามารถจัดปาร์ตี้บาร์บีคิว ปาร์ตี้วันเกิด หรือจะจัดงานจบการศึกษาที่นี่ได้ หันหน้าเข้าหาทะเล มีแสงแดดสว่างสดใสและลมโชยพัดมาอ่อนๆ …โอ๊ะ! โอ้ว! โอ๊ย! ก้อด…”
จู่ๆ เสียงฮึกเหิมของอัลเบิร์ตก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องแหลมน่าสงสารขึ้น มือทั้งสองข้างก็กุมขาขวาที่งอขึ้นส่วนเท้าก็กำลังกระทืบอยู่ในน้ำ
จากนั้นเด็กอ้วนประมาณสี่ห้าขวบคนหนึ่งก็เห็นกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีในน้ำ จึงยื่นมือลงไปจับด้วยความประหลาดใจ
ฉินสือโอวมีความแค้นกับอัลเบิร์ตมาเป็นเวลายาวนาน และเขาที่คิดจะทำให้พวกลูกค้าตกใจหนีก็จริง แต่ก็ไม่สามารถที่จะให้ความแค้นมาบดบังตาแล้วทำร้ายเด็กที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เขาจึงรีบสะกดกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีให้ดิ้นหนี
แต่เด็กน้อยผู้ชายกลับมือเร็วมาก เขากำกั้งตั๊กแตนตัวนี้เอาไว้แน่น ฉินสือโอวหมดหนทาง แต่เขาก็ไม่สามารถเสียมือสังหารของตัวเองไปได้ เขาเลยสะกดให้กั้งตั๊กแตนตัวนี้ใช้ก้ามที่แหลมคมแทงไปที่มือเด็กเล็กน้อย
เด็กน้อยผู้ชายรู้สึกเจ็บปวด เลยโยนกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีลงบนหาดทราย จากนั้นก็ยกมือน้อยๆ ที่เลือดกำลังไหล แล้วร้องไห้ออกมาซะยกใหญ่
สักพักตรงชายหาดก็เกิดความวุ่นวายขึ้น เจ็ดมือแปดเท้าของลูกน้องของอัลเบิร์ตจุ่มลงไปในน้ำเพื่อที่จะช่วยผู้จัดการใหญ่ของพวกเขาขึ้นมาจากน้ำ แล้วพ่อแม่ของเด็กก็อุ้มเด็กอ้วนขึ้นมาบนชายหาด ส่วนเด็กคนอื่นๆ ที่กำลังเล็กน้ำอยู่ก็โดนพ่อแม่ของเขาเรียกให้ขึ้นมา
พวกเด็กๆ ยังคงสบายดี แต่พวกพนักงานกลับโชคร้าย เพราะบริเวณรอบๆ ของอัลเบิร์ตมีฝูงกั้งตั๊กแตนกำลังซ่อนอยู่ พอพวกพนักงานลงไปในน้ำก็เหยียบโดนพวกมันเข้า พวกกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีที่อารมณ์ไม่ดี จึงรีบชูก้ามน้อยๆ ขึ้นแล้วต่อยไปที่พวกเขา
“โอ๊ะโอ๊ย! ก้อด! มายก้อด! ฉันโดนต่อยเท้าล่ะ!”
“แม่ง! บ้าเอ้ย! ในทะเลมีตัวบ้าอะไรอยู่เนี่ย?!”
“ใครลากฉันขึ้นไปได้บ้าง? เจ็บจะตายอยู่แล้วเนี่ย!”
พวกพนักงานจับเท้าแล้วร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนา ส่วนเด็กน้อยสองสามคนคิดว่าพวกเขากำลังหยอกล้อกันอยู่ ก็หัวเราะเยาะขึ้น เด็กอ้วนที่โดนกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีต่อยก็หยุดร้องไห้ พลางหัวเราะทั้งที่ปากดูดนิ้วที่เลือดออกอยู่
ดีที่ว่าพวกพนักงานนั้นสวมรองเท้าลงน้ำ ถึงแม้กั้งตั๊กแตนเจ็ดสีที่ต่อยเข้าที่ผิวรองเท้าจะรู้สึกเจ็บมากแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นอันตรายอะไร เมื่อเทียบกับอัลเบิร์ตยังถือว่าดีกว่ามาก
พวกพนักงานอดทนต่อความเจ็บปวดพร้อมกับลากอัลเบิร์ตขึ้นไปบนชายหาดด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ส่วนกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีตัวนั้นที่อยู่บนหาดทรายก็พลิกตัวอย่างคล่องแคล่ว หมุนติ้วๆ จากหาดทรายกลับลงไปในน้ำ จากนั้นสือโอวก็พาพวกมันจากไปในทันที
พอขึ้นฝั่งมาได้แล้ว พวกพนักงานก็ถอดถุงเท้าออก พอเห็นหลังเท้าที่บวมแดง เหล่าลูกค้าที่รุมมุงอยู่ก็เกิดอาการกลัวขึ้นในทันที แล้วก็มีคนถามขึ้นมาว่ามีอะไรอยู่ในน้ำ
ทางด้านหลังเท้าของอัลเบิร์ตมีเพียงแค่เขียวซ้ำเล็กน้อยเท่านั้น แต่กลับไม่บวมเป่งขึ้น ชายที่อยู่ในนั้นจึงนั่งลงยองๆ ดู และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมขึ้น “ได้รับบาดเจ็บเข้าไปถึงกระดูกแล้ว รีบนำส่งโรงพยาบาลด่วนเลย”
พนักงานคนหนึ่งจึงถามด้วยความสงสัยว่า “มันคงไม่ร้ายแรงขนาดนั้นใช่ไหม?”
ชายผู้นี้ยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ผมชื่อโอดอม กู๊ดแล็ค เป็นหมอ ถึงแม้วิชาเอกผมจะเป็นอายุรศาสตร์สมอง แต่เชื่อผมเถอะ ถ้าพูดถึงศัลยกรรมกระดูก ผมก็ถนัดมากเช่นกัน พวกคุณจะว่าผมหลงตัวเองก็ได้นะ แต่จริงๆ ผมถนัดทุกด้านนั่นแหละ”
ถ้าฉินสือโอวอยู่ที่นี่ก็คงจะดูออก หนุ่มวัยรุ่นคนนี้คือลูกชายของไคดิ กู๊ดแล็ค เจ้าของฟาร์มปลาบ้านเกิดของปลาค็อดคนก่อน หมอหนุ่มที่พูดโน้มน้าวให้พ่อของเขาขายฟาร์มปลาให้ฉินสือโอวคนนั้น
ถ้าพูดถึงอัลเบิร์ตในตอนนี้ปัญหาใหญ่ที่เจออยู่ตอนนี้ไม่ใช่การได้รับบาดเจ็บที่ฝ่าเท้า แต่เป็นการที่เหล่าลูกค้าไม่มีความสนใจในวิลล่านี้อีกต่อไป
เหล่าพ่อแม่ที่พาลูกมาด้วยคือกลุ่มแรก พวกเขาต้องขอลาอัลเบิร์ตไปก่อน พาลูกๆ ของเขากลับไปอย่างรีบร้อน ส่วนคนอื่นๆ ที่เห็นหลังเท้าของพนักงานบวมแดงกับฝ่าเท้าที่เหมือนกับโดนทุบของอัลเบิร์ต สีหน้าก็แสดงความหวาดกลัวออกมา จึงพากันพูดลาพอเป็นพิธีพลางเดินไปทางท่าเรือ
ไม่ต้องสงสัยเลย ผลงานของกั้งตั๊กแตนเจ็ดสีที่ไปทำให้ตกใจกลัวได้แสดงผลออกมาแล้ว ต่อไปพวกเขาคงไม่อยากที่มาซื้อที่นี่แล้วเท้าก็โดนต่อยโดยไร้เหตุผลเอาง่ายๆ …
ตอนนี้เท้าของอัลเบิร์ตชาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาฝืนยืนขึ้นพร้อมกับร้องออกไปว่า “เฮ้ ทุกคน พวกคุณฟังผมก่อน หาดทรายของพวกเรามีความปลอดภัยสูงอย่างแน่นอน…”
ผู้หญิงวัยกลางคนที่ก่อนหน้ายังพูดสนับสนุนในคำพูดของอัลเบิร์ตพูดตัดบทเขาขึ้น “ฉันยอมรับ มิสเตอร์สมิธ ที่นี่สวยมากจริงๆ แต่ที่นี่ยังปลอดภัยไม่พอ ดังนั้นฉันคงต้องขอตัว คราวหน้าถ้ามีโครงการวิลล่าริมชายหาดอีกค่อยติดต่อฉันมาละกันนะ”
สีหน้าของอัลเบิร์ตที่เปลี่ยนจากแดงเป็นซีด แล้วเปลี่ยนมาแดงอีกรอบหลังจากนั้นจึงเปลี่ยนมาเป็นสีเขียว ท้ายที่สุดก็ระเบิดออกมา “ไปซะ ไสหัวไปซะ! ฉันก็มีแหล่งลูกค้าเหมือนกันเว้ย! เดี๋ยวพรุ่งนี้พอฉันโทรศัพท์ออกไป มีแต่คนจะมาแย่งซื้อห้องฉันน่ะสิ!”
โอดอมตบอัลเบิร์ตเบาๆ พอเขาหันมา ก็นึกขึ้นได้ว่าลูกค้ายังอยู่ข้างๆ จึงรู้สึกอายขึ้นมาทันที
แต่โอดอมดูแลเขาดีมาก เขายิ้มขึ้นด้วยอากัปกิริยาที่สุภาพ “ไม่เป็นไร มิสเตอร์สมิธ คุณสามารถระบายอารมณ์ออกมาได้เต็มที่ ผมแค่อยากจะบอกคุณว่า ตอนนี้ทางที่ดีที่สุดควรนั่งบนพื้นไปก่อน มิเช่นนั้นผมก็รับรองไม่ได้ว่าคุณจะได้ตัดเท้าออกไหม”
………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset