ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 652 อย่าแหย่หมา

ถึงแม้ว่าในสายโทรศัพท์วินนี่จะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ฉินสือโอวก็รู้ว่าคนญี่ปุ่นที่เธอบอกว่ามาหาเขาก็คือเทซึกะ โกดะนั่นเอง เนื่องจากเขาก็รู้จักคนญี่ปุ่นอยู่แค่ไม่กี่คนเท่านั้น
เพราะโดยสารเฮลิคอปเตอร์ ฉินสือโอวจึงไปถึงฟาร์มปลาได้โดยทันที ใบพัดของเฮลิคอปเตอร์ส่งเสียงร้องคำรามพร้อมพัดกระแสลมแรงจนฝุ่นและใบหญ้าที่อยู่บนบริเวณลานกว้างฟุ้งกระจายออกไป มันค่อยๆ ร่อนลงจอดอย่างช้าๆ ฉินสือโอวผลักประตูห้องโดยสารออกแล้วก้าวเดินลงมา
การเลี้ยงสัตว์เลี้ยงดีกว่าการเลี้ยงลูกอยู่อย่างหนึ่งก็คือพอพวกมันเห็นเจ้านายกลับมาแล้วก็จะพากันวิ่งเข้ามาต้อนรับ ตอนที่เฮลิคอปเตอร์ยังบินวนอยู่บนท้องฟ้า หู่จือกับเป้าจือก็โดดส่ายหางไปมารอเขาอยู่ด้านล่างแล้ว รอจนฉินสือโอวลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ พวกมันก็กระโจนเข้าไปจากทั้งทางซ้ายและขวาทันที
เหมือนตามปกติ หู่จือเดินมาทางซ้าย ส่วนเป้าจือมาจากทางขวา พวกมันเป็นสุนัขที่น่ารักมากๆ ทั้งสองตัว
พอฉินสือโอวกลับมาถึงวิลล่า คนที่มาก็คือพวกของเทซึกะ โกดะจริงๆ เขาพานิชิมุระ เร็นที่เป็นผู้ช่วยกับผู้ชายชาวญี่ปุ่นที่สวมเสื้อผ้าชุดสูทอย่างเป็นระเบียบอีกสองสามคนมาด้วย นอกจากนี้ยังมีชายผิวดำอีกคนที่มาด้วยกัน บัตเลอร์
พอได้เห็นฉินสือโอวแล้ว เทซึกะ โกดะก็รีบลุกขึ้นมาทันที เขาทำเหมือนฝึกซ้อมกันมา เขาพึ่งจะลุกขึ้นมา กลุ่มผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังก็พากันลุกขึ้นมาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยทันที ต่อจากนั้นเทซึกะ โกดะจึงโค้งคำนับพร้อมทั้งพูดแสดงเคารพออกมา “ฉินซัง ผมคิดว่าตั้งแต่จากกันคุณคงสบายดี ผมยังนึกถึงคุณอยู่เสมอนะครับ!”
คนมากมายขนาดนี้มาโค้งคำนับให้เขา ฉินสือโอวจึงรู้สึกไม่ค่อยชินเท่าไร เขารีบเชิญให้ทุกๆ คนนั่ง
เทซึกะ โกดะนั่งลงไปบนโซฟาด้วยก้นเพียงครึ่งเดียวเหมือนกับนักเรียนชั้นมัธยมที่ถูกครูใหญ่อบรมอย่างไรอย่างนั้น เขาพูดด้วยความเคารพและนอบน้อม “นานขนาดนี้แล้วเพิ่งจะมาเยี่ยมฉินซัง เสียมารยาทจริงๆ หวังว่าฉินซังจะอนุญาตให้ผมได้อธิบายนะครับ ช่วงที่ผ่านมาปลาทูน่าที่พวกเราเพาะเลี้ยงไว้เกิดปัญหาขึ้นนิดหน่อย ผมเลยยุ่งอยู่ตลอด ดังนั้นจึงไม่สามารถมาเยี่ยมคุณได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ต้องขออภัยจริงๆ !”
ฉินสือโอวพูดในใจว่าเขาต่างหากที่ควรจะเป็นคนขอโทษ พวกพี่ๆ คงคิดไม่ถึงแน่ว่าคนที่แย่งปลาทูน่าไปจากพวกนายก็คือฉันนี่แหละ แต่ถึงรู้แล้วจะทำไมล่ะ? อยู่ในถิ่นของฉันพวกนายกล้าเหวี่ยงดาบคาตานะมาเชือดฉันงั้นเหรอ?
คนญี่ปุ่นเวลาทำงานอะไรจะชอบชักแม่น้ำทั้งห้าพูดวกไปวนมาก่อน หลังจากได้พบกันแล้วเทซึกะ โกดะก็เริ่มพิธีน้ำชาก่อน เขาพูดประจบอย่างเกินจริง บอกว่าใบชาที่บ้านของฉินสือโอวดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ จนเออร์บักนึกว่าเขามาที่นี่เพื่อซื้อใบชาเสียอีก
บัตเลอร์ไม่ได้มีความอดทนพอที่จะอยู่ที่นี่เพื่อคุยกันเรื่องไร้สาระ เทียบกันกับพวกเทซึกะ โกดะแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การแต่งตัวหรือพฤติกรรมก็ทำให้เขาดูเหมือนกับนายทหารสังกัดทั่วไปมากกว่า เจ้าหมอนี่ถึงกับแบกเป้ทหารมาด้วยซ้ำ พอมองดูคนญี่ปุ่นคนอื่นก็พบว่าพวกเขาต่างก็พากันสวมสูทแอร์เมสถือกระเป๋าใส่เอกสารกันทั้งนั้น
ที่ทำให้ฉินสือโอวพูดไม่ออกยิ่งกว่าก็คือหลังจากดื่มชาเสร็จ บัตเลอร์ก็เปิดกระเป๋าออกแล้วหยิบจานร่อนสีเหลืองออกมาจากข้างในหนึ่งอัน หลังจากนั้นก็วิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องออกไปหาหู่จือกับเป้าจือที่ประตู
ตอนที่หู่จือกับเป้าจือยังเป็นเด็ก ฉินสือโอวเคยเล่นเกมร่อนจานกับพวกมัน แต่แค่แป๊บเดียวเขาก็รู้แล้วว่าเกมนี้ไม่มีความหมายสำหรับหมาฉลาดๆ อยากแลบราดอร์ โดยเฉพาะกับหู่จือและเป้าจือที่เฉลียวฉลาดเป็นพิเศษเพราะได้รับพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน
บัตเลอร์ไม่รู้เรื่องนี้ เขาเอาจานร่อนโบกไปโบกมาอยู่ตรงหน้าหู่จือกับเป้าจือพร้อมกับพูดพึมๆ พำๆ เหมือนกำลังเล่นกับเด็ก “เฮ้ เด็กน้อยน่ารัก ดูสิว่าคุณอามีอะไรมาให้พวกแกเล่น? โอ้พระเจ้า นี่คือจานร่อนเหรอ? นี่เป็นจานร่อนยี่ห้ออะไรนะ? พวกแกอยากได้ใช่ไหม? ถ้าอยากได้ก็ไปเอามาสิ…”
ปากก็พูดเหมือนร้องเพลงแร็ป ส่วนแขนของบัตเลอร์ก็ร่อนจานร่อนออกไป หลังจากนั้นเขาก็มองสุนัขทั้งสองตัวด้วยความลิงโลด คิดจะรอให้พวกมันไปเอาจานร่อนกลับมา
แต่ปรากฏว่าหู่จือกับเป้าจือกลับส่งแววตาที่เหมือนมองคนโง่ออกมา พวกมันเหล่ตามองไปที่บัตเลอร์ แสยะปากแลบลิ้นออกมา ดูเหมือนกับว่าพวกมันกำลังยิ้มเหยียดบัตเลอร์อยู่
บัตเลอร์รู้สึกมึนงง เขาชี้ไปที่จานร่อนแล้วตะโกนออกมา “ไปเก็บมันมาสิ พวกแกเล่นมันไม่เป็นเหรอ? อ๋อ ไม่ พวกแกสองตัวมันซื่อบื้อ!”
หู่จือกับเป้าจือไม่ยอมไปเก็บอยู่แล้ว พวกมันนั่งอยู่ตรงสองข้างของประตูเหมือนเทพทวารบาลพร้อมแลบลิ้นมองบัตเลอร์
บัตเลอร์หมดปัญญา เขาทำได้แค่ไปเก็บมันกลับมาเองอย่างเซ็งๆ
ในตอนนี้เอง ขณะที่เขาไม่ทันสังเกต ที่ด้านหลังของเขา หู่จือกับเป้าจือหันมาสบตากันอย่างหน้าซื่อใจคด ต่อจากนั้นเป้าจือก็พุ่งออกไปที่ร่มเงาของวิลล่าตรงข้างๆ กันกับที่ที่มีห่านไท่หูด้วยความรวดเร็ว มันอ้าปากออกแล้วลากปีกของห่านไท่หูตัวหนึ่งให้ออกมาด้านนอก
คราวนี้ห่านไท่หูก็รู้สึกโมโหขึ้นมาแล้ว ไอ้แก่กินสารหนู ขาแกเบื่อชีวิตแล้วใช่ไหม ช่วงนี้พวกมันถูกบุชกับนิมิตส์ทารุณจนทำตัวดีขึ้นมามากแล้วจึงไม่โจมตีคนและสัตว์อื่นก่อน แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าถ้าถูกยุแหย่แล้วพวกมันจะไม่โต้ตอบ
ทันใดนั้นห่านขาวเจ็ดแปดตัวก็พากันร้องแควกๆ แล้วลุกขึ้นมา มันกระพือปีกไล่ตามไปโจมตีเป้าจืออย่างมุทะลุดุดันและโหดร้าย
ขาสั้นๆ ของเป้าจือวิ่งสะบัดไปอย่างรวดเร็วแล้วพาห่านขาวบุกไปข้างหลังบัตเลอร์
บัตเลอร์ได้ยินเสียงร้องแควกๆ ของห่านขาวจึงหันกลับไปดูด้วยความงุนงง ต่อจากนั้นเขาก็พบกับสุนัขตัวหนึ่งที่พาฝูงห่านหนึ่งฝูงพุ่งมาทางนี้
ครั้งแรกที่บัตเลอร์มาที่นี่ ฉินสือโอวเคยบอกเขาไว้ว่าสามารถแหย่หมาแลบราดอร์ได้ สามารถแหย่กวางอูฐได้ และแม้กระทั่งแหย่หมีสีน้ำตาลเล่นก็ยังทำได้ แต่ห้ามไปแหย่ห่านในฟาร์มปลา ถ้าไปแย่มันเข้าก็ต้องรีบวิ่งหนีให้ไว
บัตเลอร์ได้ยินคำเตือนแต่ก็ไม่ได้จำเอาไว้ในใจ ทว่าเขาก็ไม่ได้ไปแหย่ฝูงห่านเล่น เขาจะไปแหย่ห่านขาวทำบ้าอะไร?
ดังนั้นในใจของเขาจึงไม่เคยรับรู้กำลังสู้รบของห่านขาวมาก่อน เจ้าพวกนี้ถ้าเอาไปลงกระทะก็จะกลายเป็นอาหารเลิศรสแถมยังเป็นที่มาของฟัวกราส์ด้วย และถึงยังไงโดยทั่วไปห่านที่เขาเคยเห็นก็มีแต่ท่าทางโง่งุ่มง่ามทั้งนั้น
ดังนั้นคราวนี้เขาจึงไม่ได้วิ่งหนีไปตั้งแต่แรก และยังมองดูพวกห่านขาววิ่งไล่ตามเป้าจือไปทั่วพร้อมพูดออกมาอย่างทอดถอนใจ “พระเจ้า ที่แท้ห่านพวกนี้ก็วิ่งได้เฮ้ย…”
ยังไม่ทันได้พูดจนจบ เป้าจือก็วิ่งอ้อมมาทางเขาด้วยความรวดเร็ว บัตเลอร์เองก็แฉลบตัวออกเพื่อคิดจะหลบฝูงห่านที่ตามมาด้วยความรวดเร็วพวกนี้ ทว่าเป้าจือก็ซ่อนอยู่ด้านหลังตัวเขาแล้ว พวกห่านขาวจึงพากันเปลี่ยนเป้าหมาย จะกำจัดคนเลวก็ต้องกำจัดอย่างถอนรากถอนโคน ถ้าร่วมมือกับพวกมันก็ต้องตาย!
ห่านขาวหลายตัวยื่นคออ้าปากล้อมโจมตีบัตเลอร์เข้ามาจากทุกทิศทาง…
“แควกๆ!” “แควกๆๆ!”
“ฟัค!” เสียงร้องครวญครางดังขึ้นมา “โอ้ พระเจ้า เจ็บจะตายแล้วก้นฉัน! ไสหัวไปไอ้พวกโง่! อย่ากัดรองเท้าฉัน! ออกไป! โอ๊ยไข่ฉันๆ ! พระเจ้าช่วยลูกด้วย…”
เมื่อโอนถ่ายความโกรธแค้นสำเร็จแล้ว เป้าจือก็วิ่งกลับมาหาหู่จืออย่างสบายใจ สุนัขทั้งสองตัวนอนหมอบลงไปแล้วมองดูท่าทางน่าเวทนาของบัตเลอร์อย่างเมามัน
ไม่ว่าจะยังไงบัตเลอร์ก็เป็นชายผิวสีร่างกายสูงใหญ่บึกบึน เขาทั้งเตะทั้งถีบจนในที่สุดก็หาทางหนีออกมาจากการฆาตกรรมของฝูงห่านได้ เขาเอามือปิดเป้ากางเกงไว้แล้ววิ่งโซซัดโซเซออกมา
ฝูงห่านขาวไล่ตามมาอีกไม่กี่ก้าว รอจนเขาเข้าไปในวิลล่าแล้วถึงพากันหยุด นี่ต้องขอบคุณบุชกับนิมิตส์ที่เคยให้บทเรียนพวกมันไว้ ถ้าเข้าไปในวิลล่าพวกแกได้นั่งเครื่องบินบกแน่!
เห็นบัตเลอร์วิ่งกลับมาอย่างน่าเวทนา ฉินสือโอวจึงถามเขา “นายไปทำอะไรมา? นายไม่ได้ออกไปเล่นจานร่อนหรอกเหรอ? ทำไมถึงได้ไปแหย่ฝูงห่านเข้าล่ะ?”
ใช้ส้นเท้าคิดก็รู้สาเหตุที่บัตเลอร์ต้องตกอยู่ในสภาพอันน่าสังเวชออก นอกจากห่านขาวแล้วจะยังมีใครที่แน่ขนาดนี้อีก?
บัตเลอร์มีทุกข์อยู่ในใจแต่พูดไม่ออก เขาคงจะพูดว่าตัวเองถูกหมาวางแผนทำร้ายไม่ได้หรอกใช่ไหม? ยิ่งกว่านั้นในใจของเขาก็ยังคิดว่ามันคงเป็นแค่เรื่องบังเอิญด้วยจึงไม่ได้เอาเรื่องนี้กับเรื่องที่เขาเพิ่งจะหยอกเย้าหู่เป้ามาเชื่อมโยงกันได้
เมื่อไม่ได้รับความเป็นธรรม อารมณ์ร้อนของบัตเลอร์ย่อมต้องมีมากอยู่แล้ว เขาเห็นว่าเทซึกะ โกดะยังมัวแต่พูดจาวกวนกับฉินสือโอวจึงพูดออกไปตรงๆ ทันที “วันนี้ฉันไม่ได้มาจิบชา พูดตรงๆ เลยนะฉิน ที่ฉันกับมิสเตอร์เทซึกะมาหานายที่นี่ ก็เป็นเพราะอยากให้เขาช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดให้ฉัน!”
………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset