ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 657 เพิ่มตัวกินจุมาอีกหนึ่ง

ฉินสือโอวเล่าไปพลางพร้อมวิ่งออกไปข้างนอกด้วย วินนี่เปลี่ยนรองเท้าส้นสูงเป็นรองเท้าผ้าใบแล้ววิ่งตามไปด้วยกัน เธอรู้ว่าเต่าอัลลิเกเตอร์นั้นหายาก เพราะฉะนั้นถ้าเจอก็ควรจะปกป้องมันเอาไว้ เพราะถ้าตายไปหนึ่งตัว จำนวนก็น้อยลงไปหนึ่งตัวเช่นกัน
ทั้งสองคนวิ่งออกไปได้ไม่ไกล ปรากฏว่าพวกเขาก็เห็นเจ้าพวกสัตว์ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มวิ่งถอยกลับมาแล้ว…
“แม่ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” ฉินสือโอวถามด้วยความประหลาดใจ
วินนี่ก็สับสนไปหมด เธอไม่มีเวลาไปถือสาคำพูดหยาบคายที่ฉินสือโอวพูดออกมาด้วยซ้ำ เพราะได้แต่มองไปตรงที่ไกลออกไปด้วยความฉงน
หู่จือและเป้าจือวิ่งอยู่ด้านหน้าสุด ปากของฉงต้างับหลัวปอเอาไว้และแบกต้าป๋ายไว้บนบ่า เสี่ยวหมิงนั่งอยู่ที่หลังของปอหลัวซึ่งวิ่งอยู่ทางด้านหน้าเสียงดัง ‘ตึงตึงตึง’ เหมือนรถถัง
ส่วนนิมิตส์กับบุชก็กระพือปีกอยู่กลางอากาศ พวกมันส่งเสียงร้องจิ๊บๆ เจื้อยแจ้วราวกับไม่พอใจพรรคพวกที่อยู่ด้านล่างนั่น
แต่พวกเพื่อนๆ จำเป็นต้องวิ่ง ในที่สุดฉินสือโอวก็เห็นทุกอย่างชัดเจน ไม่น่าเชื่อว่าเต่าอัลลิเกเตอร์จะวิ่งไล่ล่าอยู่ด้านหลัง!
วินนี่เองก็เห็นเต่ายักษ์ที่มีร่างกายแข็งแกร่งอยู่ยงคงกระพันเช่นกัน เธอถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “พระเจ้า เป็นเต่าที่ตัวใหญ่มาก! ฉันพนันได้เลยว่าน้ำหนักมันต้องถึงร้อยกิโลแน่นอน! ต่อให้เบากว่านี้ก็เบากว่ากันไม่เท่าไร!”
อันที่จริงเต่าตัวใหญ่โตตัวนี้ดูดุร้ายสุด ๆ มันมีสันกระดูกอยู่ที่กระดองด้านหลัง เวลาวิ่งก็เหมือนเนินเขาที่กำลังขยับไปมา
ฉินสือโอวกะพริบตามองปากทางแม่น้ำจุดที่ไหลลงไปในทะเลซึ่งอยู่ไกลออกไป แล้วมองเต่าอัลลิเกเตอร์ที่กำลังใกล้เข้ามา ในใจอดที่จะโอดครวญอย่างโศกเศร้าให้กับหู่จือและเป้าจือไม่ได้ จะแก้แค้นได้ยังไงกัน เพราะเจ้าเต่าไม่ได้มีแค่กำลังภายในและวิทยายุทธ แต่ยังเคยฝึกวิชาตัวเบามาด้วย เคยฝึกวิชาตัวเบาเชียวนะ!
ยังไม่ทันได้ชัยชนะก็ต้องมาจบชีวิตลงเสียก่อน ประโยคนี้เหมาะกับเจ้าสัตว์พวกนี้ไม่มีผิด พอเห็นสภาพอนาถของเจ้าพวกนี้ที่วิ่งมาแล้ว เมื่อกี้ตอนปะทะกันคงจะทรมานลำบากกันเป็นแน่แท้
ตอนนี้ดูแล้วคนที่ยังมีความกล้าจะต่อสู้คงเป็นบุช นกอินทรีเป็นผู้มีชื่อเสียงในการเป็นผู้ชนะของการต่อสู้ ไม่เช่นนั้นพวกมาเฟียอเมริกาก็คงไม่เลือกมันเป็นนกประจำชาติหรอก
บุชกระพือปีกบินที่ระดับความสูงต่ำ สายตาอินทรีคมกริบ แววตาแน่วแน่ หลังจากที่บินร่อนไปรอบหนึ่งก็บินพุ่งลงไปอย่างรุนแรง กรงเล็บใหญ่สีทองคู่นั้นตะครุบไปที่สันกระดูกที่เป็นเนินบนกระดองเต่า แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกัน? เพราะมันยกเต่าไม่ขึ้น แล้วถ้าจะให้พึ่งกรงเล็บทำลายกระดองของเจ้าเต่านี่ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้!
พอรู้ว่าเป็นแบบนี้ บุชก็ถลึงตามองไปที่เจ้าเต่าอัลลิเกเตอร์หนึ่งทีอย่างไม่พอใจ แล้วทะยานขึ้นไปบนฟ้า ไม่ได้สนใจพรรคพวกที่วิ่งตั้งอยู่ด้านล่างแม้แต่น้อย มันบินมุ่งไปหาฉินสือโอวแล้วเกาะบนบ่าเขาพลางร้องเจื้อยแจ้วขึ้นมา
ความเร็วของเจ้าเต่าไม่ได้ไวมาก แต่ความอดทนของมันมีสูง ไล่ไปไล่มาก็มาอยู่ตรงสนามหญ้าด้านหน้าในเขตวิลล่า ถึงแม้ว่าจะไล่ไม่พวกทันหู่จือ เป้าจือ ฉงต้าหรือปอหลัว แต่ก็ไม่ได้ถูกทิ้งห่างออกไปไกล
ฉงต้ามีความคิดเลวร้าย มันเห็นว่าถ้าตัวเองต้องเผชิญหน้ากับเจ้าเต่าต้องลำบากแน่ จึงคิดที่จะดึงดูดให้มันไปที่ฝูงห่านแทนเพื่อเอาตัวรอด
ฉินสือโอวไม่คิดจะให้พวกมันมาวุ่นวายแบบนี้จึงตะโกนให้พวกมันทุกตัวเข้าบ้านไปหลบให้หมด
วินนี่เห็นพวกมันแต่ละตัววิ่งติดๆ กันเข้าไปในบ้านจึงถามอย่างร้อนใจ “กระรอกดินล่ะ? เมื่อกี้ฉันยังเห็นครอบครัวกระรอกดินวิ่งตามมาอยู่เลยนี่นา”
ฉินสือโอวตบไปที่บ่าของเธอเพื่อบอกว่าอย่าร้อนใจไป คนอื่นอาจจะลำบากแต่ไม่ใช่กับครอบครัวกระรอกดินแน่ เพราะมันคงเห็นท่าไม่ดีแล้วขุดดินหลบหนีไปแล้ว
หลังจากที่เจ้าเต่าวิ่งตามมาถึงสนามหญ้าก็เห็นฝ่ายตรงข้ามมุดหนีเข้าไปในวิลล่า มันชะลอฝีเท้าเปลี่ยนเป็นคลานปกติและมองไปที่วิลล่าด้วยความสงสัย มันมักจะรู้สึกว่าประตูสีดำนั่นมีอันตรายบางอย่างซ่อนอยู่ราวกับเป็นปีศาจปากที่พร้อมจะกลืนกินทุกอย่างจนสิ้น!
ที่ด้านหลังซึ่งกำลังวิ่งมาอย่างช้าๆ คือพวกกระรอกดิน พอเห็นพวกมันมีทรายติดเต็มขนไปหมดก็รู้ได้เลยว่าฉินสือโอวพูดไว้ไม่ผิด เมื่อกี้พอเผชิญเหตุร้ายกับเจ้าเต่า กระรอกดินทั้งหกตัวก็มุดลงดินหนีไปในทันที
เต่าอัลลิเกเตอร์คลานอยู่ตรงสนามหญ้า เพราะพอเป็นแบบนี้เป้าหมายก็จะเห็นตัวมันได้ไม่ชัด พวกครอบครัวกระรอกดินไม่ทันได้เห็นมัน จึงวิ่งไปอยู่ข้างๆ มันหมดทุกตัว
พอเป็นแบบนี้เต่าตัวโตก็หันหัวของมันไป ใบหน้าที่โหดร้ายขนาดใหญ่ราวกับจระเข้ปรากฏขึ้นข้างๆ เจ้ากระรอกดินน้อย
พวกกระรอกดินตกใจจนฉี่ราด แม่กระรอกดินปลุกความฮึกเหิมเงยหน้าจ้องไปที่เจ้าเต่า แต่พวกตัวที่เหลือกลับย่องไปหลบอยู่ทางด้านหลังตัวแม่ด้วยความกลัว สุดท้ายเต่าอัลลิเกเตอร์กลับเหลือบมองไปที่พวกมันอย่างเย็นชาทีหนึ่ง แล้วหันหัวกลับไปอย่างไม่ไยดี มันจ้องมองไปที่ประตูวิลล่านั้นด้วยความสงสัยต่อไป
พอเห็นเจ้าเต่าอยู่ตรงสนามหญ้านั้นอย่างไม่มีพิษไม่มีภัย ฉินสือโอวก็ไม่ได้ไปไล่มัน เพียงแต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้านี่ถึงวิ่งมาแสนไกลจนมาถึงวิลล่าแห่งนี้ เพราะดูท่าแล้วมันเหมือนไม่ได้มาหาเรื่องหู่จือและเป้าจือ เพราะตราบใดที่หู่จือและเป้าจือไม่ได้ไปยั่วยุมัน ในอีกสองวันข้างหน้ามันก็จะไม่เป็นฝ่ายรุกโจมตีก่อน
แต่เจ้าสี่ตัว หู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและปอหลัวดูท่าจะไม่พอใจมากที่เต่าอัลลิเกเตอร์บุกมาถึงที่ของพวกมัน หลัวปอน้อยพอมีเวลาก็ไปจ้องมองเจ้าเต่าอย่างเป็นปรปักษ์ แต่เจ้าเต่ากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย…
ฉินสือโอวนึกว่าเต่ายักษ์ตัวนี้พออยู่ที่ฟาร์มปลาสักพักก็จะกลับไปในแม่น้ำ แต่ปรากฏว่าอยู่ไปอยู่มาก็สองวันแล้ว เขากลัวว่ามันจะหิวจึงหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่าเจ้าตัวนี้กินอะไรเป็นอาหาร แล้วก็พบว่ามันกินได้ตั้งหลายอย่าง ปลา กุ้ง ไก่ เป็ด แพะ แกะ เนื้อทุกอย่าง รวมไปถึงมังสวิรัติ
ดังนั้นเขาจึงเอาปลาคาพีลินตัวอวบอ้วนหลายตัวโยนให้เจ้าเต่ากิน
ตอนที่เต่าอัลลิเกเตอร์ไม่ขยับตัวไปไหนมันจะดูทึ่มทื่อและงี่เง่า แต่พอขยับตัวขึ้นมากลับดูฉลาด พอเห็นว่ามีปลาถูกโยนมาอยู่ด้านหน้าจึงรีบคลานไปกินในทันทีโดยไม่แม้แต่จะลังเล
ฉินสือโอวเห็นมันชอบกินปลาชนิดนี้จึงสะบัดมือแล้วโยนปลาไปอีกตัว
ครั้งนี้เจ้าเต่าทำให้เขาประหลาดใจ เพราะมันเหมือนกับสุนัขไม่มีผิด พอเห็นปลาอวบอ้วนถูกโยนไปตรงหัวมัน มันก็ยื่นคออย่างแม่นยำแล้วงับเจ้าปลาไว้ตรงปากก่อนจะกลืนกินปลาลงไปในท้องได้อย่างคล่องแคล่วและง่ายดาย
ฉินสือโอวยิ้มไปพลางโยนปลาที่เหลือให้มันกินไป เพียงแค่เจ้าเต่ามันยื่นคอถึง ก็ไม่มีปลาตัวไหนตกถึงพื้นและไปอยู่ในปากมันเรียบร้อย แบบนี้ถ้ามันไม่ยอมออกไปจากสนามหญ้าตรงนี้ ฉินสือโอวก็จะไม่ไล่มันไป ก็ให้มันอยู่ที่นี่ไปชั่วคราวก่อนแล้วกัน เพราะยังไงของที่บ้านที่ไม่เคยขาดก็คือปลานั่นเอง
หลังจากนั้นไปสองสามวัน ฉินสือโอวก็ไม่มีแรงไปสนใจเจ้าเต่าอัลลิเกเตอร์นี่อีก วิลรีบพาคนงานมาเพราะตอนต้นปีก่อนเขาเคยบอกว่าอยากจะสร้างศาลาน้ำพุร้อนบนน้ำพุร้อนสองแห่งนี้
หลังจากเจอหน้ากัน วิลก็พูดกับฉินสือโอวด้วยความรู้สึกผิด “ขอโทษด้วยนะเพื่อน ช่วงนี้งานเยอะไปหน่อยเลยไม่ได้มาช่วยงานทางนี้ให้ทันเวลา แต่ตอนนี้ฉันมาช่วยนายสร้างศาลาน้ำพุดีไหม?”
ฉินสือโอวยิ้มให้ “ศาลาน้ำพุร้อนของฉันไม่ได้เร่งด่วนอะไร นายเคลียร์งานของนายไปก่อนเถอะ งานเยอะถึงจะเป็นเรื่องดี แต่ปีนี้เศรษฐกิจของประเทศแคนาดาก็ไม่เท่าไรไม่ใช่เหรอ?”
ตอนนี้เขาไม่ได้รีบใช้ศาลาน้ำพุร้อนจริงๆ ของแบบนี้เหมาะเอาไว้ใช้ตอนอากาศหนาวช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ หน้าหนาวและช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง เพราะหน้าร้อนฉินสือโอวชอบน้ำทะเลที่เย็นสบายมากกว่า
ฟังฉินสือโอวพูดแบบนี้ วิลก็ตอบอย่างดีใจ “ฉันต้องขอบคุณนายจริงๆ ฉิน เพื่อนรัก ถ้าไม่ใช่นายที่ให้ฉันรับเหมางานใหญ่ๆ พวกอย่างสนามบินและโบสถ์ของหมู่บ้าน ฉันก็คงไม่มีปัญญาเลี้ยงทีมงานใหญ่ขนาดนี้ได้หรอก”
ทีมก่อสร้างของวิลไม่ได้มีแค่ทีมงานก่อสร้างมาร์ค-วิลของตัวเอง แต่เป็นทีมงานที่เป็นกลุ่มครอบครัว พ่อของเขานำทีมก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุด ส่วนพวกพี่น้องคนอื่นๆ ก็มีทีมงานก่อสร้างเช่นกัน พวกเขาต้องหางานเองและเลี้ยงดูลูกน้องของตัวเอง ดังนั้นถ้าไม่ใช่ฉินสือโอวแนะนำงานมากมายให้เขาขนาดนี้ การที่วิลต้องมาเลี้ยงดูคนงานทางนี้ก็คงเป็นเรื่องที่เหนื่อยน่าดู
…………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset