ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 123 หอยเชอร์รี

บทที่ 123 หอยเชอร์รี
โดย
Ink Stone_Fantasy

แสงแดดร้อนระอุ ร่มกันแดดถูกกางออกเพื่อให้ร่มเงา แต่ก็ยังมีความร้อนลอยขึ้นมาจากชายหาด ดังนั้นถ้าหากไม่มีลมทะเล การอาบแดดบนชายหาดก็คงจะให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกับการอบซาวน่าได้ดี
โชคดีที่มีลมทะเลพัดเอื่อยๆมาตลอด ลมทะเลนำเอาไอน้ำร้อนชื้นมาด้วย จากนั้นไม่นานฉินสือโอวก็ตื่นขึ้น
ฉงต้าถดตัวเข้ากับด้านหนึ่งของเก้าอี้นอน แวบแรกที่มันเห็นถึงการมาของอีวิลสันมันก็รีบมุดเข้าหาอ้อมอกของฉินสือโอวทันที ฉินสือโอวรู้สึกว่ามันร้อนเกินไป จึงแบ่งที่ว่างครึ่งหนึ่งของเก้าอี้ แถมเขายังแบ่งที่ว่างของเก้าอี้ให้มีขนาดเท่ากันกับเตียงเล็กๆอีกด้วย ไม่อย่างนั้นทั้งคนทั้งหมีคงต้องนอนทับกันแน่
ต่อมา ฉินสือโอวถูกเสียงนกร้องปลุกให้ตื่นขึ้น เขาลืมตามองดู ห่างไปไม่ไกลนกตัวใหญ่ขนสีขาวหิมะสองตัวกำลังบินวนพร้อมทั้งกรีดเสียงร้องระงมอยู่บนพื้นผิวทะเล
เจ้านกตัวใหญ่สองตัวนี้ดูดีมาก ลำตัวของมันมีขนาดประมาณครึ่งเมตร สีของขนทั่วร่างกายเป็นสีขาวเหมือนหิมะ ปากของมันเป็นสีฟ้าอ่อน ยามสยายปีกก็ประดุจกับใบเรือสองผืน ยามพวกมันจะบินร่อนลงเพียงรวบปีกทั้งสองก็สามารถบินดิ่งลงไปได้ ทั้งรวดเร็วและสง่าผ่าเผย เป็นเหมือนกับทหารม้าของมหาสมุทร
ตอนที่เขามาที่เกาะแฟร์เวลเป็นครั้งแรกฉินสือโอวเห็นนกพวกนี้ เขาก็คิดว่ามันเป็นหงส์ จนพวกมันบินลงมาพักบนชายหาด แล้วเขามองเห็นกรงเล็บสีแดงของพวกมัน ถึงนึกขึ้นมาได้อย่างฉับพลันว่า นี่คือนกบูบีเท้าแดงต่างหากล่ะ
หลังจากบินลงสู่ชายหาด นกตัวใหญ่ทั้งสองตัวจึงหดหัวของมันเข้าหาปีกบนทั้งสองข้างของมัน พวกมันคลอเคลียและช่วยกันสางขน
เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับอีวิลสัน จากที่กำลังนั่งเล่นทรายอยู่ก่อนหน้าเขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น แล้วตะโกนว่า “จับพวกมันไว้ นกพวกนี้อร่อยมาก!”
นกทั้งสองตัวนี้มีการเฝ้าระวังที่ดีมาก เมื่ออีวิลสันตะโกนขึ้น พวกมันก็หันหัวอย่างตื่นตระหนกตกใจ แล้วจึงสะบัดปีกบินขึ้นสู่ท้องฟ้า เหมือนกันกับลูกธนูสองดอก
ฉินสือโอวกลอกตาอย่างหมดปัญญา ในความคิดของอีวิลสัน บนโลกนี้คงมีของอยู่แค่สองแบบ คือแบบที่กินได้และแบบที่กินไม่ได้สินะ?
แต่ว่าเมื่อเขามองดูตำแหน่งของที่วางร่มกันแดดแล้ว เขาก็รู้สึกซึ้งใจขึ้นมา เมื่อเทียบกับตอนก่อนที่เขาจะนอนหลับ ตำแหน่งของร่มกันแดดย้ายไปทางฝั่งทิศตะวันตกอยู่ไม่น้อย
ดูจากรอยเจาะของร่มบนชายหาดแล้ว ในสองชั่วโมงนี้ร่มกันแดดถูกเคลื่อนย้ายไปแล้วได้สักห้าหกครั้ง ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัยเลย ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของอีวิลสัน แสงแดดส่องไปทางทิศตะวันตก ร่มกันแดดจึงบังแสงแดดได้ไม่หมด อีวิลสันเคลื่อนร่มกันแดดอย่างเงียบๆ เพื่อให้เขาได้หลับอยู่ในร่มเงา
ฉินสือโอวลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัวเพื่อหาพวกขนมเค้กให้อีวิลสัน อีวิลสันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสขึ้นมาทันที เขาถือเอาเค้กครึ่งก้อนไว้แล้วกินอย่างตะกรุมตะกราม
หู่จือและเป้าจือแลบลิ้นมองเค้กครีมสีเหลืองทองในมือของอีวิลสันด้วยความปรารถนา มันสองตัวกระโดดไปมาอยู่ข้างๆเขาไม่หยุด
แต่ระดับการปกป้องอาหารของอีวิลสันนั้นมีมากกว่าสัตว์ป่าเสียอีก เขาไม่แม้แต่จะมองลูกหมาตะกละที่กำลังน้ำลายไหลทั้งสองตัวนี้ด้วยซ้ำ เอาแต่สนใจยัดอาหารเข้าปากอย่างบ้าคลั่งเท่านั้น
เมื่อหู่จือและเป้าจือเห็นแล้วว่าคงไม่มีโอกาส จึงเดินออกจากห้องรับแขกไปอย่างไม่มีความสุข เมื่อออกมาจากประตู แค่เดี๋ยวเดียวพวกมันก็เปลี่ยนกลับมามีความสุขอีกครั้ง แกวิ่งหนีฉันวิ่งไล่เล่นกันวุ่นวาย
ชาร์ค และซีมอนสเตอร์ที่กลับมาจากการออกทะเลไปลาดตระเวนก็พูดคุยกันอย่างอารมณ์ดี ฉินสือโอวเรียกหาพวกเขาแล้ววางแผนไว้ว่าจะไปงมหาหอยโข่งที่ทะเลสาบเฉินเป่าด้วยกัน แต่ปรากฏว่าเมื่อดูเวลาก็พบว่าระยะห่างจากช่วงที่เด็กๆจะกลับมาจากโรงเรียนก็มีไม่น้อยแล้ว จึงรอเด็กๆกลับมาแล้วค่อยไปด้วยกันเสียเลย
บ่ายโมงยี่สิบนาที รถบัสหน้ากว้างของโรงเรียนก็มาถึงทางเข้าของฟาร์มปลาอย่างตรงเวลา พาวลิส เชอร์ลี่ย์และเด็กๆที่เหลือก็รีบวิ่งเข้ามา
ฉินสือโอวเข้าไปทักทายพวกเขา แล้วถามพวกเขาว่า “ที่โรงเรียนวันนี้สนุกไหม?”
“สนุกมากเลย” เสียงใสของเชอร์ลี่ย์ดังขึ้น
ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างพอใจ เขาชนกำปั้นกับเด็กๆทีละคน แล้วพูดกับพวกเขาว่า “พวกเริ่มเข้าเรียน พวกเธออาจจะยังไม่ค่อยชินกับสภาพแวดล้อมเท่าไร ต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่โรงเรียนนะ โอเคไหม?”
เด็กๆทั้งสี่คนพากันพยักหน้า เหมือนกับลูกเจี๊ยบกลุ่มหนึ่งที่กำลังก้มหัวจิกข้าว
เมื่อทุกคนมารวมกันแล้ว ฉินสือโอวและซีมอนสเตอร์ก็ขับรถคนละคันไปยังทะเลสาบเฉินเป่า
มองดูรถกระบะที่ตามหลังมา ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าตนเองคงจะต้องซื้อรถที่จุจำนวนคนได้เยอะอีกสักคันแล้วล่ะ พอดีกับที่เขาต้องเข้าไปนครเซนต์จอห์นเพื่อสอบใบขับขี่ด้วยแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็คงแวะไปซื้อรถแวนหรือรถมินิบัสสักคัน
มาถึงทะเลสาบเฉินเป่าแล้ว อีวิลสันกระโดดลงมาจากรถกระบะก่อน เขาถอดรองเท้าไว้ที่ริมทะเลสาบแล้วเดินหาก้อนหินก่อนจะนั่งลงไปบนนั้น จากนั้นก็นำเท้าทั้งสองข้างจุ่มลงไปในน้ำ ตีเท้าขึ้นลงด้วยความสบายใจ
ฉินสือโอวเรียกให้เขามาหา เขาไปงมหาหอยโข่ง เพื่อเอามาให้อีวิลสันดูก่อน แล้วบอกว่า “ลงไปในน้ำ แล้วงมอันนี้มา เข้าใจไหม?”
อีวิลสันกะพริบตาปริบๆ เขาหมุนตัวแล้ววิ่งไปทางก้อนหินที่เขานั่งอยู่ก่อนหน้านี้ ฉินสือโอวจึงรู้สึกกระวนกระวายใจกับสติปัญญาของเขา แต่ปรากฏว่าพอมนุษย์ยักษ์ลงไปในน้ำ แค่ครู่เดียวก็ยกเอาก้อนหินก้อนหนึ่งย้ายมาไว้บนฝั่ง
หินปูนลายบาร์โค้ดก้อนนั้นน่าจะหนักอย่างน้อยร้อยแปดสิบกิโลกรัม แต่อีวิลสันกลับย้ายมันขึ้นมาได้อย่างสบายๆ ชาร์ค ซีมอนสเตอร์และทุกๆคนต่างก็ตกใจจนพูดไม่ออก
“อันนี้เหรอ?”อีวิลสันเอียงหัวถามฉินสือโอว
ปกติแล้วหอยน้ำจืดจะมีชีวิตอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำหรือไม่ก็ริมทะเลสาบ และมันยังชอบเกาะอยู่ตามก้อนหินเป็นอย่างยิ่ง เมื่อก้มลงมองดีๆที่ใต้รอยระดับน้ำของก้อนหินก้อนนี้ก็มีหอยขนาดใหญ่เล็กอยู่กองหนึ่ง
หอยพวกนี้แต่ละอันมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกัน พวกหอยมีขนาดเท่ากันกับท้องนิ้วโป้งนับว่าเป็นหอยตัวเล็ก ส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุดนั้น มีขนาดใหญ่เท่ากันกับลูกท้อ ทำเอาฉินสือโอวต้องเบิกตาโต
เขาถือเอาหอยโข่งที่มีขนาดเท่ากันกับลูกท้ออันนั้นไว้ ฉินสือโอววิเคราะห์ดู ไม่ต้องสงสัยเลย หอยพวกนี้ไม่ใช่หอยโข่งจีนแบบเดียวกับที่เขาเคยกินตอนอยู่บ้านเก่า หอยพวกนั้นต่อให้กินอาหารสัตว์ก็คงจะโตไม่ได้ขนาดนี้
มองดูเปลือกหอยสีน้ำตาลเข้ม ฉินสือโอวก็เกาศีรษะแล้วถามขึ้นว่า “นี่ใช่หอยเชอร์รีไหม?”
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะแปลหอยเชอร์รีว่ายังไง จึงถามขึ้นมาเป็นภาษาจีน เมื่อก่อนตอนที่เขายังอยู่ที่เมืองเกาะไหเต่าเขาก็เคยเห็นหอยที่มีขนาดใหญ่แบบนี้ ลักษณะดูคล้ายกันมาก แต่สีของเปลือกหอยเป็นสีน้ำตาลอ่อน
ชาร์ค ซีมอนสเตอร์และคนอื่นๆฟังไม่เข้าใจภาษาจีน ชาร์คจึงพูดขึ้นว่า “นี่คือหอยโข่งแอปเปิลยักษ์ รสชาติไม่อร่อยเลยแม้แต่นิดเดียว ปกติแล้วในช่วงเดือนเก้าเดือนสิบพวกเราจะจับมันขึ้นมาขายให้กับโรงงานอาหารสัตว์
ฉินสือโอวไม่ค่อยเข้าใจเท่าไรนัก แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าจริงๆแล้วหอยอันนี้สามารถกินได้หรือไม่ จึงทำได้แค่อาศัยเสิร์ชกูเกิ้ลที่รอบรู้สารพัดอย่าง เมื่อก่อนเขาใช้ไป๋ตู้ พอตอนนี้มาอยู่ที่แคนาดาแล้ว เขาจึงพบว่ากูเกิ้ลมีประโยชน์สารพัดอย่างยิ่งกว่าไป๋ตู้เสียอีก เขาละทิ้งประเพณีเดิมๆแล้วกลายมาเป็นฝรั่งที่เขาเคยไม่ชอบได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากค้นกูเกิ้ลแล้ว ฉินสือโอวจึงรู้ชัดเจนว่า แท้จริงแล้วเจ้าของสิ่งนี้มีชื่อว่าหอยโข่งแอปเปิลยักษ์ ทว่าเมื่อครู่เขาก็ไม่ได้จำผิด ที่จีน โดยเฉพาะที่ไต้หวัน จะเรียกหอยโข่งแอปเปิลยักษ์ว่าหอยเชอร์รี (ฟู๋โซ่วลั๋ว)
ถึงแม้หอยชนิดนี้จะดูแล้วมีขนาดใหญ่ แต่จริงๆแล้วรสชาติไม่ค่อยอร่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใช้วิธีปรุงอาหารแบบจีน รสชาติจะซึมเข้าไปในเนื้อของหอยได้ยาก
แต่ก็เลือกอะไรไม่ได้ ทางฝั่งตะวันออกของแคนาดาส่วนใหญ่แล้วมีเพียงแต่หอยน้ำจืดแบบนี้เท่านั้น หอยแบบของจีนแม้แต่เงาก็ไม่มีให้เห็น
พอดีกับที่ฉินสือโอวไม่เคยทานหอยชนิดนี้มาก่อน เขาคิดว่าถ้าได้ลองทานอันที่กำลังสดๆอยู่ก็คงดี จึงลงน้ำไปงมด้วยความกระตือรือร้น
พาวลิสและเด็กๆที่เหลือชำนาญกับงานนี้ยิ่งกว่าเขาเสียอีก เนื่องจากเมื่อก่อนตอนที่พวกเขายังต้องเร่ร่อนอยู่ ก็มักจะไปงมหอยจากในทะเลสาบมาต้มกินอยู่เสมอ แท้จริงแล้ว รสชาติมันแย่มาก แต่สำหรับท้องของพวกเขาที่กำลังหิวโหยนั้น มีของให้กินก็นับว่าไม่แย่นัก
นอกจากช่วงเดือนเก้าและเดือนสิบ ปกติแล้วก็แทบจะไม่มีคนมางมหอยโข่งแอปเปิลยักษ์ ที่นี่ ดังนั้นจึงทำให้ตามริมทะเลสาบมีหอยประเภทนี้กองอยู่เกือบเต็มไปหมด
อันที่ฉินสือโอวเลือกมาล้วนแต่เป็นอันที่มีขนาดใหญ่ประมาณท้องนิ้วโป้ง คนทั้งแปดคนร่วมมือกัน ก็สามารถงมจนได้หอยกองใหญ่มาอย่างรวดเร็ว
ระหว่างที่กำลังงมหอย อีวิลสันก็อาศัยความมือไวตาไวชกมือลงไปในน้ำอย่างโหดเหี้ยมโดยฉับพลัน ละอองน้ำก็สาดกระเซ็นไปโดยรอบ ปรากฏว่าปลากะพงปากใหญ่ขนาดสามสิบเซนติเมตรตัวหนึ่งก็หงายท้องสีขาวๆลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ
ฉินสือโอวหัวเราะออกมา งมหอยแล้วได้ปลาติดมาด้วยหนึ่งตัว นับว่าโชคดีไม่น้อย ทว่าอีวิลสันก็นับว่าแข็งแรงมากพอ จึงสามารถทุบจนปลาตายได้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวเห็นคนใช้วิธีใช้กำลังทุบตีในการจับปลา
ตอนก่อนมา ฉินสือโอวนำเอากะละมังพลาสติกมาด้วยหนึ่งอันไม่คิดว่าจะงมได้เยอะขนาดนี้ ตอนนี้ไม่ควรจะสิ้นเปลือง เขายกเอากะละมังพลาสติกขึ้นไปไว้ที่ท้ายรถกระบะ ยังไงชาร์คก็เช็ดรถทุกวันอยู่แล้ว
งมจนได้มาประมาณยี่สิบยี่สิบห้ากิโลกรัม ฉินสือโอวจึงได้หยุดงมแล้วขับรถกลับฟาร์มปลา
หอยโข่งแอปเปิลยักษ์ทั้งหมดถูกนำมาแยกใส่ในกะละมัง ชาร์คมาหาฉินสือโอว แล้วพูดกับเขาว่า “บอส ถ้าคุณชอบทานหอย ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปหาหอยหวานในทะเลกันดีไหม”
“หอยหวาน?” ฉินสือโอวทวนถาม
………………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset