ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 698 รถเมล์ชนบท

ด้านหลังตึกเล็กในฟาร์มมีขยะกองอยู่ ฉินสือโอวกับตั๋วตั่วอุ้มพวกอเมริกันบูลลี่ออกไปเพื่อให้รถขยะเข้าไปเก็บกวาด
เหล่าอเมริกันบูลลี่เหยียดขาแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ ยังอยากจะไปแสดงความกล้าของตัวเอง ฉินสือโอวยิ้มพลางเขกหัวรายตัวให้พวกมันอยู่บนพื้นหญ้าดีๆ เริ่มสอนบทเรียนแรกในชีวิตให้พวกมัน
คนขับรถขยะเป็นคนขาววัยกลางคนอายุประมาณหกสิบ ตอนที่เขาเตรียมตัวจะกลับเหมาเหว่ยหลงก็พูดขึ้น “จอห์นพู ตอนกลางคืนเราจะมีปาร์ตี้บาร์บีคิวและเบียร์ นายมีเวลาว่างไหม? มาร่วมหน่อยไหมล่ะ?”
คนขาววัยกลางคนพูดยิ้มๆ “แน่นอน เพื่อน แน่นอน ทุกคนก็ชอบบาร์บีคิวกับเบียร์ทั้งนั้น ต่อให้ฉันไม่ว่างฉันก็จะหาเวลามา”
รอจนคนขาวจอห์นพูกลับไป เหมาเหว่ยหลงก็อธิบายให้ฉินสือโอวฟัง “นี่คือเพื่อนบ้านทางทิศใต้ของฉัน คนในเมืองเรียกเขาว่าตาจอห์น เป็นคนมีน้ำใจมาก เขามีรถขยะคันเดียวในเมือง ฉะนั้นก็เลยจะจัดเวลามาช่วยจัดการขยะ หลายวันมานี้ขยะของทางฉันก็คือเขาที่ช่วยจัดการให้ ไม่คิดเงิน”
“โอ้โห แกเจอเหลยเฟิงแคนาดาแล้ว?” ฉินสือโอวพูดอย่างแปลกใจ
อย่าคิดว่าเขาเข้ากับคนที่เมืองแฟร์เวลได้ดีขนาดนั้น ที่จริงตอนที่เขาเพิ่งมาถึงเกาะ แม้ว่าชาวเมืองจะเป็นมิตรกับเขา แต่จะไม่ช่วยเขาทำงานฟรี เพราะคนแคนาดาต้องการผลตอบแทนเท่าเทียม ไม่ให้สิ่งตอบแทนเขา เขาจะช่วยทำไม?
เหมาเหว่ยหลงพูดยิ้มๆ “ปกติแล้วที่เขาจัดการขยะจะเก็บเงิน ฉันถือเป็นลูกค้าใหม่ เขาบอกจะให้ส่วนลดหน่อย การเก็บขยะครึ่งเดือนแรกถือเป็นการช่วย”
“แน่นอนว่าฉันไม่ได้ให้เขาช่วยฟรีๆ หลายวันก่อนฉันก็ให้พวกใบชากับของดีของจีน ฉะนั้นเขาก็เลยกระตือรือร้นขนาดนี้” เหมาเหว่ยหลงพูดเสริม
ตอนบ่ายหลิวซูเหยียนจะไปตลาดแฮมิลตันเพื่อไปซื้อของเพิ่มสำหรับปาร์ตี้ในตอนกลางคืน ส่วนเหมาเหว่ยหลงก็โทรไปเชิญคนที่รู้จักหลังจากมาที่เมือง ในขณะเดียวกันก็ยินดีให้พวกเขาพาเพื่อนมาร่วมงานด้วย
เปิดฟาร์มบวกกับทำบ้านต้องใช้เงินเยอะมาก เหมาเหว่ยหลงเลยไม่ได้ซื้อรถเสียที เจ้าของฟาร์มคนก่อนมีรถกระบะเก่าๆ  คันหนึ่งเลยใช้รถคันนั้นไปก่อน
กลายเป็นว่ารถกระบะแก่ๆ นี่ไม่ไว้หน้ากันเลย ตอนเช้าก็เสียพอดี หลิวซูเหยียนได้แต่นั่งรถเมล์ไปแฮมิลตัน เธอคนเดียวหิ้วไม่ไหวแน่ ฉินสือโอวให้ตั๋วตั่วไปเล่นเป็นเพื่อนเหล่าอเมริกันบูลลี่ ส่วนเขาก็ไปช่วย
“ไม่งั้นยืมรถสักคันดีไหม?” ฉินสือโอวถาม “พวกนายกับจอห์นพูนั่นคงจะสนิทกันใช่ไหม?”
หลิวซูเหยียนยิ้มขมขื่น “จอห์นพูไม่มีรถที่เหมาะให้เราขับหรอก นอกจากรถที่ใช้ด้านการเกษตรก็มีแต่รถขยะ บางครั้งไปทำอะไรที่แฮมิลตันเขาก็จะขับรถขยะไป”
ฉินสือโอวนับถือขึ้นมา โอ้โหพ่อคุณเล่นแบบนี้เลยเหรอ
พูดถึงความสัมพันธ์เพื่อนบ้าน หลิวซูเหยียนจนใจนิดหน่อยจึงพูดขึ้น “ตอนนี้พวกเราแค่รู้จักกับเพื่อนบ้าน ทุกคนยังไม่มีความสัมพันธ์กัน ยืมรถก็ยากหน่อย”
นั่นสิ คนแคนาดามักจะหวงรถตัวเองมาก เพราะนอกจากใจกลางเมืองแล้วแทบจะทุกที่ในประเทศนี้ก็พื้นที่กว้างคนน้อย เดินทางไปไหนก็ขาดรถไม่ได้ นอกจากนั้นถ้ายืมรถออกไปแล้วเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไร? ตำรวจแคนาดาสนรถไม่ได้สนใบขับขี่ ถ้ารถเกิดเรื่องพวกเขาจะไปหาเจ้าของรถ
ไม่มีทางอื่นแล้ว แบบนี้ก็เลยได้แต่นั่งรถเมล์
ที่เลือกรถเมล์แทนรถแท็กซี่ ก็เพราะนี่เป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของแคนาดา ต่อให้เป็นเมืองที่ห่างไกลก็จะมีบริษัทรถเมล์ของตัวเอง แต่รถแท็กซี่กลับน้อยมาก
สาเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ก็เพราะที่แคนาดารถส่วนตัวกลายเป็นของจำเป็นในชีวิตประจำวันของทุกครอบครัว มีอยู่ทั่วไปเหมือนชามและตะเกียบ นอกจากในเมืองใหญ่ ส่วนมากรถแท็กซี่จะเป็นบริการนัดล่วงหน้า แถมราคาก็สูง
หลิวซูเหยียนบอกว่าที่เมืองเล็กนี้ ผู้โดยสารต้องรับภาระค่าเรียกรถประมาณราคาไปกลับ ค่าเดินทางกลับก็คิดกับผู้โดยสาร เพราะว่าเมืองชนบทในแคนาดากว้างขวางคนน้อย ขากลับคนขับแท็กซี่ไม่มีทางได้ผู้โดยสารใหม่
ฉินสือโอวถือถุงหูหิ้วตามหลิวซูเหยียนไปถนนด้านนอกฟาร์ม ถนนกว้างและตรงมาก แต่แทบจะไม่มีใครเลย ฉินสือโอวกลับเห็นกวางเรนเดียร์สองตัววิ่งเหยาะผ่านทางไปแทน
ทั้งสองคนไปยืนใต้ป้ายไม้ที่ปากทาง ฉินสือโอวนั่งรถเมล์ในชนบทของแคนาดาเป็นครั้งแรก อยากรู้อยากเห็นมากทีเดียว เขามองดูป้ายไม้ที่เขียนเบอร์ ‘0505’ ไว้ เขาถามอย่างสนใจ “ทำไมถึงมีเบอร์ด้วยล่ะ? ไม่ใช่ว่าควรจะมีชื่อสถานีเหรอ?”
“ไม่ใช่ สถานีในเมืองชนบทไม่มีชื่อสถานี ไม่เหมือนที่จีน พวกเขาใช้เลขบนป้ายสถานีแทน” หลิวซูเหยียนอธิบายอย่างใจเย็น
ฉินสือโอวพูดด้วยความประหลาดใจ “ไม่ใช่มั้ง งั้นรายงานสถานีจะทำอย่างไร? ผู้โดยสารจำเลขสถานีทั้งหมดเหรอ?”
“เปล่า คนขับจะประกาศ”
เหมาเหว่ยหลงไม่คาดหวังอะไรกับรถกระบะนานแล้ว ก่อนหน้านี้เขาซื้อบัตรรถเมล์มาเผื่อกรณีฉุกเฉิน วันนี้ก็ได้ใช้แล้ว
ราคาบัตรรถเมล์แฮมิลตันค่อนข้างแพง ผู้ใหญ่ก็ 35 ดอลลาร์แคนาดาต่อหนึ่งใบ ถ้าซื้อสิบใบในคราวเดียวลดได้ 20% นักเรียนลด 50% หลิวซูเหยียนอธิบายว่าปกติที่เคาน์เตอร์ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยากับร้านสะดวกซื้อก็ซื้อได้
การก่อสร้างเทศบาลของแคนาดาพัฒนาไปมาก ข้อนี้ก็ติดลำดับต้นๆ ระดับโลก ดูจากรถเมล์ก็รู้ ต่อให้เที่ยวรถหนึ่งมีแค่ไม่กี่คนแต่เที่ยวรถก็ไม่ลดลง
หลิวซูเหยียนมารอรถใกล้ๆ เวลาพอดี เธอกับฉินสือโอวมาถึงที่ป้ายได้ไม่เท่าไร รถเมล์ส้มเหลืองคันหนึ่งก็ขับเข้ามา
เทียบกับรถเมล์ในจีนและในเมืองใหญ่ จุดเด่นของรถเมล์ในเมืองเล็กก็คือคันเล็ก สูงแค่รถมินิบัสในจีน แล้วที่ใช้ก็เป็นเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติที่ราคาถูกกว่า จุดประสงค์ก็เพื่อลดความดันการขนส่ง
ในรถมินิบัสคันนี้มีที่นั่งทั้งหมดเพียงสิบหกที่ เพียงแต่ที่นั่งล้วนกว้างสบาย อย่างไรก็ถือว่าให้ผู้โดยสารได้อะไรจากตั๋วราคาแพงบ้าง
ฉินสือโอวหาที่นั่งแล้วนั่งลงก่อนจะพูดยิ้มๆ “ไม่เลว ที่นั่งนิ่มดี”
หลิวซูเหยียนยิ้มให้แล้วเอ่ยปาก “นี่คือรถของ ‘บริษัทรถโดยสารหมู่ดาว’ ตั๋วรถของบริษัทนี้แพงหน่อย แต่สบายกว่า กลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยว มีหลายคนชอบนั่งรถบริษัทพวกเขามาดูวิวในเมือง”
รถขับแล่นออกไป ที่นั่งสิบหกที่ตลอดทางมีคนนั่งแค่ครึ่งคัน ฉินสือโอวมองดูทุ่งข้าวสาลี สวนผลไม้กับฟาร์มปศุสัตว์ข้างนอกอย่างสนใจ รู้สึกว่าทุกอย่างช่างแปลกใหม่
รถมินิบัสแค่ขับเข้าไปในแฮมิลตัน แต่ไม่ถึงซูเปอร์มาร์เก็ตวอลมาร์ตที่พวกเขาจะไป ดังนั้นพวกเขาก็เลยต้องเปลี่ยนรถ
ฉินสือโอวอยากเรียกรถแท็กซี่ พอเข้าเมืองรถแท็กซี่ก็เยอะแล้ว หลิวซูเหยียนพูดพลางยิ้มไปด้วย “ข้างหน้าพวกเราก็คือสถานีรถไฟฟ้ารางเบา นั่งรถไฟกันดีไหม? ไปถึงวอลมาร์ตเลย ไวกว่ารถแท็กซี่ด้วย”
ในเมื่อสุภาพสตรีพูดแล้วว่าจะนั่งรถไฟฟ้ารางเบา งั้นแน่นอนว่าฉินสือโอวปฏิเสธไม่ได้ ที่เขาอยากนั่งรถแท็กซี่ไม่ใช่เพราะลำบากไม่ได้ แต่เพราะรู้สึกว่าสะดวกกว่า ประหยัดเวลากว่า ความจำที่เขามีต่อรถไฟฟ้ารางเบา และรถไฟใต้ดินก็คือการอัดกันแน่นเป็นปลาซาร์ดีนกระป๋องตอนไปทำงานนอกสถานที่ที่ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้
………………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset