ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 775 เรือสปีดโบ๊ทที่จู่โจมกะทันหัน

บทที่ 775 เรือสปีดโบ๊ทที่จู่โจมกะทันหัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากที่ให้พวกชาวประมงดูกันรอบหนึ่งแล้ว วินนี่ให้ฉินสือโอวเอาไปเก็บไว้อย่างดี แล้วส่งไปยังบริษัทซ่อมบำรุงงานศิลปะที่เชี่ยวชาญเพื่อซ่อมตัวไวโอลิน
ไม้ประดู่ถึงจะแข็งแรงยังไงก็ยังเป็นไม้ ไม่ว่าจะเป็นไม้อะไรหากอยู่ในน้ำทะเลที่มีความดันสูงเป็นร้อยปีก็ต้องพังทั้งนั้น ในความเป็นจริงแล้ว ถึงแม้ว่าจะเอาไวโอลินตัวนี้ไปเปลี่ยนสายและขัดคันชักใหม่ก็ไม่สามารถฟื้นฟูโทนสีให้เป็นเหมือนแต่ก่อนได้
แต่ใครสนกันล่ะ? บนโลกนี้มีไวโอลินเป็นพันเป็นหมื่นที่มีโทนสีที่สวยงามกว่ามัน แต่มีแค่ไวโอลินตัวนี้เท่านั้นที่สามารถบรรเลงเสียงไวโอลินแห่งสวรรค์ออกมาได้
ห้องใต้ดินของฉินสือโอวมีอุปกรณ์การบ่มแบบไม่ใช้ออกซิเจนของพวกมืออาชีพอยู่ ต้องขอบคุณการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจของเขา นั่นคือการเอาไวโอลินตัวนี้วางไว้ในอุปกรณ์บ่มเพื่อเก็บรักษาไว้นานขนาดนี้ ถึงสามารถเก็บรักษาไวโอลินให้ยังมีสภาพดีได้อย่างตอนนี้
ถ้าเอาไวโอลินไปโดนแดดตั้งแต่แรก แบบนั้นตัวไวโอลินที่อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีออกซิเจนมาเป็นร้อยปีก็คงเสียหายไปตั้งแต่แรกแล้ว เพราะปฏิกิริยาออกซิเดชันและความแตกต่างอุณหภูมิ
แต่ถึงอย่างไรฉินสือโอวก็ไม่ใช่ช่างซ่อมที่เชี่ยวชาญ เขาเชื่อใจวินนี่เลยให้เธอติดต่อบริษัทซ่อมบำรุงงานศิลปะแห่งหนึ่งในนครเซนต์จอห์น แล้วเล่าเรื่องราวของไวโอลินตัวนี้อย่างละเอียด เพื่อให้พวกเขาดำเนินการซ่อมแซม
ไวโอลินที่วอลเลซใช้ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ปรากฏขึ้นมาหลังเวลาผ่านไปเป็นร้อยปี พวกสื่อมวลชนรีบรายงานข่าวออกมา ทำให้ผู้คนพูดถึงเรื่องนี้กันอย่างรวดเร็ว
ในภาพยนตร์เรื่องไททานิกมีฉากที่ทำให้คนประทับใจมากมาย และฉากที่วงดนตรีขึ้นแสดงต้องเป็นหนึ่งในนั้นอย่างแน่นอน
ตอนที่เรือไททานิกชนเข้ากับภูเขาน้ำแข็งแล้วค่อยๆ จมลง นักดนตรีในวงดนตรีที่อยู่บนเรือไม่มีใครเอาชีวิตรอด ในช่วงสุดท้ายของชีวิตพวกเขายังคงบรรเลงเพลงสุดท้ายของชีวิตอยู่อย่างใจเย็น ปีนั้นไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่ร้องไห้ไปกับเพลงใกล้ชิดกับพระเจ้าเพลงนั้น
สมัยนี้ผู้คนเริ่มมาเก็งกำไรกับของเก่า หลังจากที่มีการเก็งกำไรกับพวกทองคำ อัญมณี และอสังหาริมทรัพย์ การปรากฏตัวมาของไวโอลินตัวนี้ทำให้เกิดกระแสเล็กๆ เรื่องเรือไททานิกขึ้นมาใหม่ ดังนั้นจึงมีนักข่าวอยากมาสัมภาษณ์ฉินสือโอวเป็นธรรมดา
ฉินสือโอวรับสัมภาษณ์แล้วบอกกับพวกนักข่าวว่าเขาไม่คิดจะขายไวโอลินตัวนี้ แต่ถ้าเจอวงดนตรีที่มีคุณสมบัติในการใช้ไวโอลินตัวนี้ เขาก็ยินดีจะบริจาคให้แก่พวกเขา
คนที่มีคุณสมบัติจะครอบครองไวโอลินตัวนี้มากที่สุดคือวอลเลซ หรือไม่ก็มาเรีย โรบินสันคู่หมั้นของเขา แต่วอลเลซก็ตัวคนเดียว และหลังจากที่โรบินสันรู้ข่าวการเสียชีวิตของวอลเลซ เธอก็ไม่ได้แต่งงานเลยตลอดชีวิต สุดท้ายก็เสียชีวิตลงในปี 1939
ดังนั้นพูดในมุมของกฎหมายแล้ว ไวโอลินตัวนี้ถือว่าไม่มีเจ้าของ ใครได้ไปก็เป็นของคนนั้น
วิธีรักษาทรัพย์สินส่วนบุคคลของแคนาดาน่ายกย่องไม่น้อย อย่างน้อยรัฐบาลก็ไม่สามารถยึดไว้ในนามของประเทศได้
ฉินสือโอวคิดว่าจะเก็บไวโอลินตัวนี้ไว้ ตอนนี้ของสะสมของเขามีแค่ตราประทับหินเถียนหวางที่อวี๋เชียนเคยใช้ ถ้าพูดในด้านมูลค่าแล้ว ไวโอลินตัวนี้อาจจะเทียบไม่ได้กับตราประทับหินเถียนหวาง แต่ถ้าพูดในด้านมูลค่าทางการสะสมนั้น ประเมินค่าไม่ได้เลย
คุณธรรมของวอลเลซ เจ้าของไวโอลินตัวนี้ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกชื่นชมเขาอย่างแท้จริง
เรือไททานิกเป็นของบริษัทเดินเรือไวต์สตาร์ แต่พวกวอลเลซก็ไม่ใช่พนักงานในบริษัทนี้ ตอนนั้นบริษัทเดินเรือไวต์สตาร์เชิญวงดนตรีจากข้างนอกขึ้นมาแสดงบนเรือ
ต่อมาเรือยักษ์ชนเขากับภูเขาน้ำแข็งแล้วจมลง เหตุการณ์จริงในตอนนั้นเป็นเหมือนโครงเรื่องในภาพยนตร์เรื่องไททานิก ผู้คนขึ้นมาบนดาดฟ้า ต่างคนต่างเอาชีวิตรอด แต่พวกนักดนตรีกลับยืนหยัดบรรเลงเพลงใกล้ชิดพระเจ้าอยู่บนดาดฟ้า พยายามปลอบประโลมความวิตกกังวลในใจของผู้โดยสารบนเรือ
ตอนที่พวกเขาวางไวโอลินลง ตรงหน้าก็เป็นผืนทะเลกว้างแล้ว…
เนื่องจากไม่มีใครได้นั่งเรือชูชีพ ร่างของนักดนตรีผู้กล้าทั้งหมดบนเรือไททานิกถูกฝังอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติก
ในสายตาของฉินสือโอวแล้ว สมาชิกในวงดนตรีไม่ใช่คนของบริษัทเดินเรือไวท์สตาร์ ดังนั้นพวกเขาก็มีสิทธิ์ที่จะนั่งเรือชูชีพได้เหมือนกันกับผู้โดยสารบนเรือทุกคน กัปตันเสนอให้พวกเขาแสดงได้ แต่ไม่สามารถสั่งให้พวกเขาทำแบบนั้นได้
เหตุผลที่นักดนตรีอยู่แสดงต่อเป็นเพราะในใจของพวกเขามีความเชื่อแบบเดียวกันว่า เสียงเพลงเป็นเครื่องมือสยบความวุ่นวายที่มีพลัง นักดนตรีระดับต้นๆ ต่างก็คิดว่าเสียงเพลงสามารถยับยั้งความตื่นตระหนกและนำความสงบมาได้
ฉินสือโอวเองอาจจะทำไม่ได้ถึงจุดนี้ก็เลยชื่นชมเหล่านักดนตรีที่สามารถทำได้เป็นพิเศษ โดยเฉพาะวอลเลซ แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้คนประทับใจคือวอลเลซและเหล่านักดนตรี ไม่ใช่ไวโอลินตัวนี้
แต่ตอนนี้สิ่งที่รับจิตวิญญาณนี้ไว้ก็คือไวโอลินตัวนี้ เว้นแต่ว่าต่อไปฉินสือโอวจะได้พบนักดนตรีที่เขาคิดว่ามีคุณสมบัติสูงส่งเหมือนวอลเลซ ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็จะเก็บไวโอลินตัวนี้ไว้เอง
หลายวันมานี้ฉินสือโอววุ่นอยู่กับเรื่องเกี่ยวกับไวโอลินตลอด ทุกอย่างค่อนข้างวุ่นวาย สุดท้ายก็สามารถรับมือกับสื่อมวลชนได้ การถกเถียงกันเรื่องไวโอลินก็ลดลง แบบนี้เขาถึงได้มีเวลาว่างสักที
ฟอกส์บ่นตอนกินมื้อเย็นว่า “ไม่กี่วันมานี้คุณยุ่งเรื่องอะไรเหรอ? เถียงกับนักข่าวแล้วจะมีประโยชน์อะไร? วันนี้วินนี่ไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณก็ไม่ได้ไปเป็นเพื่อน”
ฉินสือโอวมองคนอื่นๆ อย่างตะลึงแล้วถาม “อะไรนะ? วินนี่ไปตรวจที่โรงพยาบาลเหรอ? ผม ผมไม่รู้! ขอโทษนะที่รัก คุณก็รู้ว่าไม่กี่วันนี้ผมยุ่งไปหน่อย”
เขารีบขอโทษวินนี่ นี่ถึงจะเป็นวิธีปลอบผู้หญิงที่สำคัญ
วินนี่ลูบมือของเขาแล้วพูด “พี่สาวฉันทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แค่ตรวจประจำเท่านั้นเอง ฉันจัดการเองได้ ไม่ต้องให้พวกเขาไปด้วยก็ยังได้”
ใบหน้าของฉินสือโอวเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ในใจคิดได้ว่าช่วงนี้ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวไม่เลวเลย วินนี่เรียกฟอกส์ว่าพี่สาวแล้ว นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยิน?
ฟอกส์พูดอย่างไม่พอใจ “วินนี่ เธอต้องให้เขารู้ว่าการที่เธอเป็นแม่มันลำบากแค่ไหน ไปตรวจที่โรงพยาบาลต้องต่อแถวนานแค่ไหน ความลำบากแบบนี้เขาไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง”
ฉินสือโอวถามอย่างประหลาดใจว่าพวกคุณไม่ได้เอาบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสของผมไปเหรอ มาริโอ้ถอนหายใจแล้วพูดว่า “สิทธิพิเศษของนายสามารถตรวจล่วงหน้าหรือในวันนั้นได้ แต่ไม่สามารถไปถึงแล้วตรวจให้นายก่อนได้ คนที่นัดไว้ก็ยังมีเยอะมาก”
ฉินสือโอวถึงได้เข้าใจ วินนี่ลูบที่มือของเขาอีกครั้ง สื่อความหมายว่าไม่ต้องคิดมาก
เรื่องนี้ฉินสือโอวทำใจให้สบายได้ยากจริงๆ กินข้าวเสร็จก็มีสื่อนัดเขาสัมภาษณ์อีก ฉินสือโอวปฏิเสธไปแล้วปิดมือถือ เรื่องไวโอลินจบลงเท่านี้ ต่อไปเขาจะไม่รับสัมภาษณ์ในเวลาส่วนตัวอีก
ตอนค่ำฉินสือโอวไม่ได้ควบคุมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปในทะเล แต่นอนกอดกับวินนี่ คิดถึงชีวิตในอนาคต มีลูกแล้วต้องเตรียมอะไรบ้าง ต้องเปลี่ยนการใช้ชีวิตอย่างไร วินนี่พูดด้วยใบหน้าชื่นบานจนถึงเที่ยงคืนกว่าก็ยังไม่นอน
ฉินสือโอวนอนดึกกว่า เช้าตรู่แล้วก็ยังตื่นตัวอยู่ เขาถูกแผนการใช้ชีวิตของตัวเองทำให้มีความสุข
พอเตรียมจะหลับตา โทรศัพท์ของวินนี่ก็ดังขึ้น ฉินสือโอวรีบรับสายแล้วถาม “นี่วินนี่ ไม่ทราบว่า…”
เสียงของบลูขัดจังหวะเขา “กัปตัน นี่สถานีเรดาร์ มีเรือสปีดโบ๊ทสองลำกำลังเข้ามาใกล้ฟาร์มปลา ความเร็วสูงมาก มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”
ฉินสือโอวขมวดคิ้ว มาที่ฟาร์มปลาในเวลานี้ จะไม่มีปัญหาได้ยังไง? เขาพูด “รอฉันก่อน ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ แล้วทำไมไม่โทรหาฉัน?”
พูดเสร็จเขาก็นึกขึ้นมาได้ โทรศัพท์ของตัวเองปิดไปเพราะจะหลบนักข่าว เขาพูดโดยไม่รอให้บลูตอบ “บอกนีลเซ็นกับเบิร์ดและคนอื่นๆ ว่าอย่าเพิ่งทำอะไร ให้ดูสถานการณ์ไปก่อน”
……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset