ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 833 มาสเตอร์ vs ฉงต้า ยกที่สอง

หลังจากคลานขึ้นไปบนชายหาดแล้ว ฉงต้าหันกลับไปมองที่ฉินสือโอวในขณะที่มันวิ่งไปที่วิลล่า แต่มันวิ่งเร็วเกินไป จึงชนเข้ากับมาสเตอร์อย่างจัง
มาสเตอร์จ้องฉงต้าอย่างไม่พอใจ ในขณะนี้ฉงต้าเองก็กำลังอารมณ์ไม่ดี จึงเบิกตากว้างและจ้องมาสเตอร์กลับ
“แกมองอะไร”
“มองแก”
“มองฉันทำไม”
“ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน มีอะไรไหม?”
หลังจากการโหมโรงตามมาตรฐานของความขัดแย้ง ทั้งสองเริ่มการต่อสู้กันในทันที มาสเตอร์อ้าปากเตรียมจะกัดฉงต้า แต่ฉงต้าไม่ได้โง่ มันคิดมาโดยตลอดว่าจะจัดการกับมาสเตอร์ยังไงดี และมาวันนี้มันค้นพบวิธีแล้วล่ะ มันวิ่งไปทางด้านข้างแล้วหงายท้องมาสเตอร์!
ก่อนหน้านี้ฉงต้าไม่สามารถใช้วิธีนี้จัดการกับมาสเตอร์ได้ เนื่องจากเต่าอัลลิเกเตอร์ไม่กลัวการถูกหงายท้อง แขนขาของพวกมันแข็งแรงมาก และกระดองหลังก็มีแผ่นกระดูกที่ยกขึ้นเหมือนกับเนินเขา ดังนั้นจะไม่สามารถหงายท้องพวกมันได้สำเร็จ อย่างมากก็แค่พลิกไปด้านข้าง แต่ก็สามารถลุกขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ด้วยความสามารถนี้ เต่าอัลลิเกเตอร์จึงสามารถประลองฝีมือกับสิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่บนบกได้
แต่ครั้งนี้ฉงต้าไม่เพียงแต่หงายท้องของมัน แต่ยังใช้อุ้งเท้าพลิกตัวมันไปมาเรื่อยๆ ราวกับก้อนหิน และในที่สุดก็ผลักมันลงไปในทะเล!
เมื่อครู่ทั้งสองยังอยู่ที่ชายหาด
มาสเตอร์เป็นเต่าน้ำจืด มันไม่มีความรู้สึกอะไรต่อมหาสมุทร ดังนั้นมันจึงชอบนอนในอ่างน้ำขนาดเล็กที่วินนี่เตรียมไว้ให้แทนที่จะวิ่งลงไปในมหาสมุทรเพื่อเพลิดเพลินกับความสุขในการว่ายน้ำ
ฉงต้าคิดเรื่องนี้มาโดยตลอด ในที่สุดวันนี้มันก็ได้ข้อสรุป มันเห็นว่ามาสเตอร์ไม่ยอมลงทะเล จึงคิดว่ามาสเตอร์เหมือนหัวไชเท้าน้อยที่กลัวน้ำทะเล
มาสเตอร์ไม่รู้สึกสนใจในมหาสมุทรจริงๆ แต่มันไม่กลัวเมื่อถูกโยนลงทะเล มันตื่นตระหนกชั่วครู่ แต่เมื่อมันลองขยับแขนขา ก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่าในความเป็นจริงมหาสมุทรก็เหมือนกับทะเลสาบและแม่น้ำ ที่มันสามารถอาศัยอยู่ในนั้นได้
เมื่อเข้าใจหลักการนี้แล้ว ก็เป็นเคราะห์ร้ายของฉงต้าแล้วล่ะ
หลังจากที่ฉงต้าผลักมันลงทะเลไปแล้วมันควรจะรีบขึ้นฝั่งไป แต่มันอยากอวดดีสักหน่อย มันว่ายไปว่ายมาอยู่ตรงหน้ามาสเตอร์ มันมองไปที่มาสเตอร์อย่างภาคภูมิใจ และรอให้มาสเตอร์จมลงทะเลไปอย่างตื่นกลัว
แต่ผลปรากฏว่า หลังจากที่ฉงต้าว่ายไปว่ายมา มันเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ทำไมมาสเตอร์ยังลอยอยู่บนผิวน้ำล่ะ และสายตาที่จ้องมานั้นไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย มีก็แต่ความอาฆาตแค้นอันเยือกเย็น
ให้ตายเถอะ กลิ่นชักไม่ดีแล้ว! ฉงต้ารีบลุกขึ้นวิ่ง แต่สายไปแล้วล่ะ มาสเตอร์ยื่นหน้ามาอย่างรวดเร็ว มันอ้าปากแล้วกัดไปที่อุ้งเท้าของฉงต้า
“อู้ว!” ฉงต้าร้องคร่ำครวญ มันเตะเท้าสุดแรง พยายามสลัดมาสเตอร์ออกไปอย่างยากเย็น มันคลานขึ้นฝั่งด้วยขาทั้งสี่ข้าง จากนั้นก็ยกขาขวาหลังขึ้น ใช้สามขาที่เหลือพยุงตัว แล้วคลานไปที่วิลล่า
มาสเตอร์ว่ายอยู่ในน้ำสักพัก ในตอนท้ายมันคลานขึ้นฝั่งพร้อมกับคาบเม่นทะเลตัวหนึ่งขึ้นมาด้วย แลดูกระปรี้กระเปร่า
“ไอ้เต่าหน้าวัว ฝีมือไม่เลวเลยนะ” เจี้ยนผานโฮ่วที่ดูสถานการณ์อยู่ข้างๆ พูดด้วยความตกตะลึง
ฉินสือโอวขมวดคิ้วมองไปทางเขาแล้วพูดว่า “หมายความว่าไง? ทำไมฉันรู้สึกว่าคำพูดของนายมันฟังดูแปลกๆ ล่ะ?”
เจี้ยนผานโฮ่วยิ้มแล้วรีบโบกมือ “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ว่าแต่พี่ฉิน ออกทะเลไปจับปลาครั้งนี้ราบรื่นดีไหม? ครั้งหน้าถ้าเป็นไปได้พาผมไปเปิดโลกสักหน่อยเป็นไง? ผมโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยออกทะเลเลยสักครั้ง”
เปลี่ยนประเด็นได้สำเร็จ ฉินสือโอวเล่าแต่สิ่งดีๆ ให้เขาฟัง เจี้ยนผานโฮ่วกลืนน้ำลายไม่หยุด จากนั้นฉินสือโอวก็ถามขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “ทำไมนายยังอยู่ที่ฟาร์มปลาอีกล่ะ?”
เจี้ยนผานโฮ่วพูดตามเหตุตามผลว่า “พี่จ้างผมให้อยู่เป็นเพื่อนเถ้าแก่ไม่ใช่เหรอ? ผมก็กำลังตั้งใจทำงานนี่ไงครับ”
ฉินสือโอวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แต่เท่าที่ฉันรู้มา เถ้าแก่เหมากลับประเทศไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เจี้ยนผานโฮ่วเอามือจับจมูกแล้วพูดว่า “ยังเหลือพ่อพี่อีกคนไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวชี้ไปทางร้านขายปืนแล้วพูดว่า “ไสหัวไป ไสหัวไปทำงานได้แล้ว นายนี่มันอัจฉริยะชัดๆ ลูกไม้เยอะดีจริงๆ”
หลังจากกลับไปถึงบ้าน ฉินสือโอวคุยกับพ่อแม่ พี่สาว และคนอื่นๆ เกือบทั้งคืน หลายวันหลังจากนั้นก็พาพวกเขาไปเที่ยวในเมือง ในเมืองมีนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมาก ในบางครั้งพ่อแม่ของฉินสือโอวก็มีโอกาสได้คุยกับคนบ้านเดียวกัน
สิ่งที่คุณพ่อฉินภาคภูมิใจมากที่สุดก็คือลูกชายของเขา จุดประสงค์ที่ไปคุยกับคนอื่นคือเพื่อรอให้คนอื่นถามว่ามาท่องเที่ยวใช่ไหม ทันทีที่มีคนถาม เขาก็จะรีบแนะนำตัวว่า “ไม่ใช่ ลูกฉันเปิดฟาร์มปลาที่นี่ ภรรยากำลังท้อง เรามาเพื่อเยี่ยมลูกๆ สักหน่อย”
เมื่อพูดอย่างนี้ซ้ำๆ ฉินสือโอวเริ่มรู้สึกเก้อเขิน แต่คุณพ่อฉินกลับรู้สึกมีความสุขอย่างไม่รู้สึกเหนื่อย
คุณแม่ฉินชอบทำงานบ้านและดูโทรทัศน์อยู่ที่บ้านมากกว่า อย่างไรก็ตาม หวังเหล่ยเคยมาปรับช่องโทรทัศน์ให้แล้ว ตอนนี้ก็มีช่องภาษาจีนให้ดูมากมาย
ฝนตกปรอยๆ ในฤดูใบไม้ร่วง เซนต์จอห์นในช่วงกลางเดือนกันยายนถูกปกคลุมไปด้วยสายฝน ฉินสือโอวไม่สามารถออกไปที่ไหนได้ จึงต้องอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน
เชอร์ลี่ย์และเด็กคนอื่นๆ กำลังหยอกล้อกัน วินนี่กังวลว่าเสี่ยวฮุยจะไม่มีเพื่อน จึงขอลาโรงเรียนให้พวกเด็กๆ
การขอลาของเด็กประถมและเด็กมัธยมในแคนาดาทำได้ง่ายมาก เพียงแค่ผู้ปกครองออกหน้าก็สามารถลาได้แล้ว ดังนั้น หลายห้องในบ้านได้กลายเป็นที่ตั้งแคมป์ของเด็กๆ หลังเลิกเรียน เด็กคนอื่นๆ ในเมืองก็จะได้มาเล่นที่นี่ด้วย
หลายวันผ่านไปภาษาอังกฤษของเสี่ยวฮุยพัฒนาอย่างรวดเร็ว เด็กมักจะเรียนรู้ภาษาได้ง่าย หลังจากผ่านไปหลายวันก็ไม่มีปัญหาสำหรับบทสนทนาภาษาอังกฤษง่ายๆ แล้วล่ะ
ในปลายเดือนกันยายน ฉินสือโอวรีบไปที่แฮมิลตัน เพราะเขาต้องไปร่วมงานแต่งงานของเหมาเหว่ยหลง
งานแต่งงานของเหมาเหว่ยหลงจัดในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ สัปดาห์รองสุดท้ายของเดือนกันยายน ใกล้ถึงวันงานแล้ว ฉินสือโอวจะไปดูว่ามีอะไรให้ช่วยอีกไหม
เดิมทีฉินสือโอววางแผนจะไปแฮมิลตันทันทีที่กลับมา แต่เหมาเหว่ยหลงโทรมาบอกว่า ไม่มีอะไรให้ทำ ในตอนแรกเขาวางแผนที่จะจัดงานแต่งงานอย่างเรียบง่าย สิ่งที่ต้องเตรียมจึงมีไม่อะไรมากนัก แต่ในตอนหลังเบลคได้ให้ทีมงานจัดงานแต่งงานมืออาชีพมาช่วยดำเนินงาน ก็ยิ่งไม่มีอะไรให้ช่วย แม้แต่เขาเองก็แทบจะไม่ต้องทำอะไร
ฉินสือโอวนั่งเฮลิคอปเตอร์ไปที่ฟาร์มมาเธอร์เอิร์ธ ขณะที่เฮลิคอปเตอร์ลอยอยู่บนฟ้า เขามองลงไปก็เกือบจะจำฟาร์มการเกษตรนี้ไม่ได้แล้ว
ฟาร์มการเกษตรได้กลายเป็นทะเลดอกไม้สดทั้งฟาร์ม จัดแต่งด้วยดอกกุหลาบเป็นหลัก หน้าประตูฟาร์มเป็นสวนกุหลาบขนาดย่อม รั้ว ต้นไม้ขนาดเล็ก ห้องทุกห้อง และกระทั่งที่ที่อาจจะไม่มีคนไปก็ได้รับการตกแต่งด้วยดอกไม้ทั้งหมด
ดอกกล้วยไม้ ดอกลิลลี่ ดอกรักเร่ที่เบ่งบานอย่างสวยงาม และดอกไม้อื่นๆ อีกมากมายที่ฉินสือโอวไม่รู้จักชื่อ ได้เปลี่ยนฟาร์มการเกษตรแห่งนี้เป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่
นอกจากนี้ สนามหญ้าในฟาร์มถูกตัดแต่งไปในทางเดียวกัน เมื่อมองลงมาจากบนฟ้า จะมีลวดลายรูปหัวใจทำนองลูกศรปักหัวใจจำนวนมาก
เมื่อเฮลิคอปเตอร์ลงจอด ฉินสือโอวเดินเข้าไปทางประตูใหญ่ พิทบูลน้อยตัวหนึ่งวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว มันเงยหน้าขึ้นมาทำท่าจะเห่า แต่เมื่อเห็นรูปร่างลักษณะของฉินสือโอว และหลังจากวิ่งเข้าไปดมแล้ว มันส่ายหัวด้วยความสงสัย แล้ววิ่งเข้าไปหาพร้อมส่งเสียง ‘โฮ่งๆ’ ดูเหมือนว่ามันจะจำฉินสือโอวได้แล้ว
เพื่อนบ้านของเหมาเหว่ยหลงก็เข้ามาหาเขาพอดี พวกเขาเคยเจอกันที่งานบาร์บีคิวมาก่อน ชายชราชื่อจอห์นพู เป็นคนผิวขาวที่มีเมตตาและอ่อนโยน ฉินสือโอวส่งยิ้มให้เขา
จอห์นพูเองก็ส่งยิ้มให้เขา จากนั้นเข้าไปกล่าวทักทายก่อนว่า ‘เฮ้ เพื่อน ญาติฝั่งแม่ของเหมาเก่งไม่เบาเลย ใช่ไหม?’
เหตุผลที่เขาผอมอย่างนี้คือ ตามประเพณีของแคนาดาพ่อแม่ของเจ้าสาวต้องเป็นคนออกเงินสำหรับจัดงานแต่งงาน ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับสินสอดทองหมั้นจากบ้านพ่อแม่ของฝ่ายหญิงในประเทศจีน
ถ้างานแต่งงานดูมีชีวิตชีวาและยิ่งใหญ่ พ่อแม่ของเจ้าสาวจึงจะดูมีหน้ามีตา ดังนั้น ถ้าเห็นชายที่เป็นพ่อชาวแคนาดาผู้ซึ่งมีอายุราวๆ ห้าสิบและกำลังจะเกษียณเริ่มทำงานล่วงเวลาและทำงานหนักขึ้นอย่างกะทันหัน ส่วนใหญ่แล้วจะทำเพื่องานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ของลูกสาวสุดที่รัก
……………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset