ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 845 คุยกระซิบในคืนฤดูใบไม้ร่วง

โรงงานกระป๋องเริ่มผลิตมาตั้งแต่ฤดูร้อนแล้ว
อากาศที่บ้านปีนี้ค่อนข้างแห้งแล้ง อากาศอย่างนี้เหมาะสำหรับการเติบโตของพืชผล หลังจากนั้นจะเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์มากเกินไปด้วยซ้ำ
หรือก็คือ ผลไม้ปีนี้มีมากเกินความต้องการ ราคาจึงตกลงมาก!
แต่คนในหมู่บ้านไม่ได้กังวล เพราะว่าผลไม้ของพวกเขาต่างก็ส่งเข้าไปยังโรงงานกระป๋องในหมู่บ้าน เปลี่ยนมันให้เป็นผลไม้กระป๋อง และยังมีบางส่วนที่นำไปแปรรูปเป็นผลไม้อบแห้ง เลยไม่ต้องกังวลเรื่องช่องทางการค้าขายอย่างแต่ก่อน
หัวหน้าหมู่บ้านพัฒนาช่องทางไปทุกที่ ชาวบ้านเองก็รวมกลุ่มกันไปทำการขายส่งตามตลาดต่างๆ ของแต่ละเขตอำเภอเอง สถานการณ์การค้าขายในตอนนี้ถือว่าไม่เลว ทำให้พวกชาวบ้านดีใจไม่น้อย
ชาวบ้านและเพื่อนบ้านในหมู่บ้าน ทุกคนรู้ว่าพึ่งพาและได้ดีเพราะใคร ดังนั้นเทศกาลไหว้พระจันทร์ในครั้งนี้ คนที่ส่งสิ่งของไปที่บ้านของฉินสือโอวจึงเยอะมาก
เมื่อวานนี้พ่อแม่ของเด็กๆ ที่ไปตกปลาที่บ่อปลาเองก็ส่งของมาให้ด้วย บางคนเป็นของที่ธรรมดามาก เช่น พืชผักที่ปลูกเองที่บ้าน บางคนซื้อขนมไหว้พระจันทร์และเหล้าเบียร์ แต่ขนมไหว้พระจันทร์เยอะที่สุด ถึงแม้พ่อของฉินสือโอวจะกินวันละกล่องก็คงกินได้จนถึงปีใหม่
นอกจากส่งของขวัญแล้ว เหล่าเพื่อนบ้านยังพูดอ้อมค้อมเพื่อแนะนำญาติตัวเองหรือไม่ก็ลูกสาวของเพื่อน แม้ว่าวินนี่จะอยู่ด้วยก็ยังกล้าเสนอ ตอนนี้ฉินสือโอวกลายเป็นชายหนุ่มที่ดังที่สุดในแถบนี้ ใครๆ ต่างก็รู้ว่าถ้าให้ลูกสาวแต่งเข้าบ้านตระกูลฉิน ทั้งชีวิตนี้ก็รอเสวยสุขได้เลย
ฉินสือโอวรำคาญมาก รู้ว่าคนอื่นเขาเพียงแค่หวังดี เพราะที่จริงแล้วเขายังไม่ได้แต่งงาน จึงทำได้เพียงปล่อยให้คนอื่นแนะนำไป โดยที่ทำอะไรไม่ได้ เขาจึงพาวินนี่ไปเดินเล่นที่ภูเขาท้ายหมู่บ้าน
ก่อนจะไป เขายังได้ยินผู้หญิงคนหนึ่งที่ตามฐานะแล้วเขาควรเรียกว่าป้าบ่นกับแม่ว่า “คุณพี่ พี่ต้องคิดให้ดีนะ ยังไงมีสะใภ้เป็นคนใกล้ตัวดีที่สุด ผู้หญิงต่างชาติสวยก็จริง แต่ว่ายังไง วัฒนธรรมก็ไม่เหมือนกันนะ พี่ว่าอีกหน่อยแม่ผัวกับลูกสะใภ้จะอยู่กันยังไง…”
วินนี่ยิ้มอย่างใจกว้างตอนอยู่ที่บ้าน ลับหลังก็แสดงภาพลักษณ์เด็กผู้หญิงออกมา แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “วัฒนธรรมไม่เหมือนกันยังไง? หรือว่าฉันไม่ได้โตมาจากการกินข้าวเหรอ? ฉันไม่เคยได้เรียนหนังสือมาก่อนเหรอ? งั้นได้ พูดแค่เรื่องวัฒนธรรม ฉันไม่เชื่อว่าเด็กผู้หญิงที่พวกเธอแนะนำ จะเข้าใจในวัฒนธรรมของประเทศจีนมากไปกว่าฉัน”
ฉินสือโอวกุมมือเธอแล้วยิ้มขึ้นมา ฟังคำบ่นของวินนี่ไประหว่างทาง ทั้งสองผ่านไร่นาในหมู่บ้านเข้าไปในภูเขา บนเขาเต็มไปด้วยพืชผลต้นไม้ คนในหมู่บ้านประสบความสำเร็จในการพัฒนาหมู่บ้านแห่งนี้เป็นอย่างมาก
เข้าสู่เทศกาลไหว้พระจันทร์ ผลไม้ที่ขึ้นเต็มภูเขาต่างก็สุกงอมหมดแล้ว องุ่นสีม่วงแดงบ้างสีเหลืองเขียวบ้างห้อยอยู่บนกิ่ง แอปเปิลสาลี่สีเหลืองอ่อนแขวนอยู่บนกิ่งไม้ ลูกพลับยังมีบางส่วนที่ออกเขียว ลูกพลัมและเกาลัดต่างก็สุกแล้วเหมือนกัน
ตอนที่เดินผ่านสวนองุ่นแห่งหนึ่ง สุนัขเฝ้าบ้านข้างในก็เห่าขึ้นมา เจ้าของที่ดูแลสวนวิ่งออกมาดูเห็นว่าเป็นฉินสือโอว จึงเด็ดองุ่นสองพวงล้างแล้วยื่นให้เขา ยิ้มพูดว่า “เสี่ยวโอวทำไมถึงขึ้นมาบนเขาล่ะ? มา ลองชิมองุ่นดำของบ้านอาก่อน หวานมากเลยนะ”
ฉินสือโอวยิ้มแล้วบอกว่าจะเดินไปรอบๆ กับภรรยาเพื่อให้คุ้นเคยบ้านเกิดเสียหน่อย ชายคนนั้นถอนหายใจพูดว่า “เฮ้อ ต้องกลับมาบ่อยๆ นะ นี่ถ้าอีกหน่อยนายไปอยู่ต่างประเทศแล้ว ลูกเองก็เป็นสัญชาติต่างประเทศ รอผ่านไปอีกเป็นปี ก็ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเราแล้วสิ”
ฉินสือโอวบอกว่าไม่เป็นแน่ รากอยู่ที่หมู่บ้าน อีกหน่อยมีลูกแล้วก็ต้องพากลับมาอย่างแน่นอน ให้วัยเด็กของลูกเติบโตที่หมู่บ้านนั่นแหละ
พูดคุยกันอีกไม่กี่ประโยค ฉินสือโอวและวินนี่ก็กินองุ่นไปแล้วเดินเล่นบนเขาต่อ
เมื่อเทียบกับเทือกเขาเคอร์บัลแล้ว ธรรมชาติของภูเขาในบ้านเกิดไม่ค่อยดี ต้นไม้ถูกตัดโค่นอย่างรุนแรง และถูกปลูกแทนด้วยพืชผล แต่เพราะว่าสวนพืชผลกำลังพัฒนาได้ไม่นาน ทำให้ไม่มีต้นไม้ใหญ่ แบบนี้มองดูไกลๆ ยังสวยอยู่ แต่พอมองใกล้แล้ว จะเห็นว่าเป็นแค่ภูเขาโล้นๆ
แต่ว่าเขาทุกลูกมีดอกหญ้าขึ้นเต็มไปหมดเหมือนกัน
ฉินสือโอวแนะนำชนิดพันธุ์ของดอกไม้พวกนี้ให้วินนี่รู้จัก วินนี่ฟังอย่างออกรส ดอกไม้หลายอย่างต่างก็มีตำนานเรื่องเล่าของมัน ตอนที่แนะนำก็เลยค่อนข้างสนุก
หาที่สะอาดที่หนึ่งบนเนินเขานั่งลง ฉินสือโอวมองลงไปข้างล่าง สามารถมองเห็นได้ทั้งหมู่บ้าน
แม่น้ำไป๋หลงไหลผ่านจากตีนเขา เลี้ยวโค้งหน้าหมู่บ้านแล้วไหลไปข้างหน้าต่อ กำแพงกระเบื้องสีแดงและต้นไม้เขียวขจีในหมู่บ้าน ถนนตรอกซอกซอยตัดกันไปมาราวกับกระดานหมากรุก
ฉินสือโอวเงยหน้าขึ้นมาดูท้องฟ้าที่ยังคงมีสีฟ้าใส ถอนหายใจว่า “เมื่อก่อน ตอนที่ผมยังไม่ได้ออกไปเรียน รู้สึกว่าหมู่บ้านมันใหญ่มาก แค่หาสถานที่สักที่ก็สามารถเล่นได้ทั้งวันแล้ว กลับมาดูตอนนี้ ความจริงแล้วหมู่บ้านก็เล็กนิดเดียว”
วินนี่ยิ้มตอบ “เป็นเพราะใจคุณใหญ่ขึ้นต่างหาก มันก็เป็นอย่างนี้นั่นแหละ ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้น สายตาของพวกเราก็กว้างไกลขึ้นด้วย”
ฉินสือโอวกุมมือเธอแล้วพูดว่า “ใช่ ใจของผมมันใหญ่ขึ้น วินนี่ คุณไม่รู้หรอก ถ้าหากไม่ได้ไปที่เมืองแฟร์เวล ผมไม่รู้จริงๆ ว่าชีวิตนี้ผมจะผ่านมันมายังไง ตอนที่อยู่เมืองไหเต่า ผมสับสนมาก…”
พูดอยู่เขาก็ส่ายหัวขึ้นมา ช่วงวันที่เพิ่งถูกไล่ออกจากงาน ช่างทุกข์ทรมานจริงๆ ทำงานในรัฐวิสาหกิจหลายปี ทำให้ความมุ่งมั่นของเขาถูกกำจัดไปจนหมดสิ้น และทำให้สิ่งที่เขาได้เรียนมาตอนเรียนมหาวิทยาลัยถูกทำลายลงจนหมด
บางครั้งตอนตื่นขึ้นมากลางดึก ฉินสือโอวไม่รู้ว่าทางออกของอนาคตเขาอยู่ทางไหน ถึงขั้นเคยคิดที่จะฆ่าตัวตายด้วย
ตอนนั้นเขากลัวจริงๆ กลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคซึมเศร้า อยู่คนเดียวในห้องเล็กๆ งานก็หาไม่ได้ ความกดดันและหน้าที่กดดันให้เขาหายใจแทบไม่ออก
พอมาคิดดูตอนนี้ เขาในตอนนั้นไม่ค่อยได้เรื่อง ประเด็นคือความกดดันนั้นมากเกินไป
วินนี่กุมมือเขาไว้แน่น อมยิ้ม “พระเจ้าได้ขีดเส้นทางเดินให้กับเราเอาไว้แล้ว พวกเราเพียงแค่ก้าวเดินไปอย่างกล้าหาญก็พอแล้ว อย่ากลัวเลย คุณควรเข้มแข็งกล้าหาญ ไม่ต้องกลัว และไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน พระยะโฮวาห์ พระเจ้าจะอยู่กับคุณ”
ฉินสือโอวยิ้มแล้วเก็บก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่งโยนลงไป โยนเข้าไปในพงหญ้าที่เริ่มแห้ง ปรากฏว่าทำให้กระต่ายป่าสีเทาตัวหนึ่งกระโดดออกมา
กระต่ายป่านั้นมองดูรอบข้างอย่างตื่นกลัว จากนั้นก็วิ่งหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอยอย่างเร็ว ถ้าหากนี่เป็นเทือกเขาเคอร์บัล กระต่ายป่านี้คงไม่กลัวขนาดนี้ ขอเพียงแค่ฉินสือโอวและวินนี่ไม่เข้าไปใกล้มัน มันก็จะกลับไปซ่อนในพงหญ้าเหมือนเดิม
ท้องฟ้าสูงสดใส ฝูงห่านเทาปากดำบินมาจากทิศเหนือ จัดขบวนบินไปทางทิศใต้เป็นรูปตัว Y หลังจากนั้นลมเย็นฤดูใบไม้ร่วงก็พัดมา ฉินสือโอวอยู่ในบ้าน รู้สึกถึงไอฤดูใบไม้ร่วงอย่างเข้มข้น
ฤดูใบไม้ร่วงมาถึงแล้ว
พลบค่ำ ฉินสือโอวพาวินนี่ลงเขาไป มีเสียงประทัดดังขึ้นมาเป็นระยะในหมู่บ้าน แต่ว่าบนถนนเงียบเหงามาก ไม่มีบรรยากาศของเทศกาลเลย ผู้คนออกมาจุดประทัดเสร็จก็รีบกลับเข้าไปในบ้าน
ผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์ ฉินสือโอวช่วยงานเก็บเกี่ยวไร่นาที่บ้าน ข้าวโพดและถั่วลิสงสุกแล้ว เนื่องจากปีนี้เปิดบ่อปลา จึงได้ปลูกข้าวโพดเพียงครึ่งไร่และถั่วลิสงครึ่งไร่เท่านั้น การเก็บเกี่ยวจึงง่ายดายมาก โดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องจักรเลย
ฉินสือโอวบอกพ่อแม่ว่าปีหน้าไม่ต้องปลูกเสบียงอาหารแล้ว ครั้งนี้พ่อและแม่ของฉินสือโอวฟังคำเขาอย่างว่าง่าย “ได้ ปีหน้าพวกเราจะไม่เพาะปลูกแล้ว เลี้ยงปลาเลี้ยงกุ้งแทน พัฒนาบ่อปลาให้ใหญ่อีกหน่อย จะเปิดโรงแรมใหญ่ที่หนึ่งในเมืองให้แกให้ได้!”
ได้ยินแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวยิ้มขมขื่นขึ้นมา เรียบร้อย พ่อแม่ได้ยุ่งต่อแล้ว
………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset