ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ตอนที่ 970 ปลาน้ำจืดที่ดุร้าย

คาริสจ้องมองไปที่นกแคสโซแวรีอย่างระมัดระวัง เขาส่งสัญญาณมือบอกให้ทุกคนแยกย้ายไปอย่างเป็นระเบียบ ส่วนเขาจะอยู่รั้งท้าย
พวกเขารู้สึกหวาดกลัวนกแคสโซแวรีตัวนี้ และเจ้านกแคสโซแวรีตัวนี้ก็หวาดกลัวพวกเขาเช่นกัน มันกัดผลไม้หนึ่งชิ้น จากนั้นก็ลากไปทางด้านหลังต้นไม้ ท่าทางลับๆ ล่อๆ อย่างไรมันก็ไม่สามารถปิดบังตัวเองได้จากสายตาของทุกคน
เมื่อทุกคนเดินออกไป นกแคสโซแวรีก็กระโดดออกมากินผลไม้ได้อย่างสบายใจ ที่ด้านหลังของมันเกิดเสียงกึกกึกดังตามมา ลูกนกแคสโซแวรีสี่ห้าตัวกำลังวิ่งมาทางนี้ พวกมันพากันแย่งกันกินผลไม้ที่อยู่บนพื้น
เมื่อเดินออกมาไกลแล้ว คาริสก็พูดขึ้นว่า “นกแคสโซแวรีเป็นสัตว์อนุรักษ์ เนื่องจากพวกมันมีจำนวนน้อย อันที่จริงแล้วพวกมันเป็นสัตว์ที่ไม่ค่อยโจมตีคนเท่าไหร่ พวกเราไม่จำเป็นที่จะต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยาก”
คาริสเป็นทั้งบอดี้การ์ดและไกด์ ดังนั้นนอกจากจะต้องปกป้องทุกคนแล้ว เขายังต้องชี้นำทุกคนถึงวิธีการปกป้องป่าแห่งนี้ด้วย
การเดินในป่าฝนครั้งนี้ บางครั้งก็จะมีนกบินผ่านไปมา ส่วนบนพื้นมีดอกไม้หลากสีสันเบ่งบานไปทั่ว
ฉินสือโอวไม่สันทัดเรื่องดอกไม้ แต่เขาก็ดูออกว่าทั่วทุกพื้นที่เต็มไปด้วยดอกกล้วยไม้ มีบางดอกที่บานสะพรั่งสวยงาม เขาคิดว่าหากเอาไปขายที่ตลาดดอกไม้คงจะได้ราคาดีน่าดู
เมื่อเขาพูดความคิดของตัวเองออกมา คาริสก็พูดพร้อมยักไหล่ว่า “ไม่สามารถปลูกมันที่อื่นได้หรอก นอกจากจะปลูกในพื้นที่ปิดมิดชิดเท่านั้น รวมถึงต้องสร้างสภาพแวดล้อมเทียมที่เหมือนกับสภาพท้องถิ่นที่นี่ด้วย ไม่อย่างนั้นกล้วยไม้เหล่านี้ก็จะตายอย่างรวดเร็วหลังจากที่ย้ายการเพาะปลูก”
แน่นอนว่าสิ่งที่มีมากกว่าคือพืชจำพวกเถาวัลย์ ต้นไม้ใหญ่ทุกต้นถูกปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์สีเขียวขจี ฉินสือโอวผ่านต้นไม้ที่มีขนาดสี่ห้าคนโอบ ความสูงของต้นไม้นี้อยู่ที่สามสี่สิบเมตร เขาพบว่าเถาวัลย์ที่พันอยู่บนต้นไม้นั้นหนาใหญ่มาก
ฉินสือโอวเดินดูรอบต้นไม้ไปเรื่อยๆ ด้านหน้าเขาเกิดเสียงอุทานทุ้มต่ำดังขึ้น เขาคิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นจึงรีบออกมาดู ปรากฏว่าเมื่อเขาเข้าไปใกล้ก็มีคนทำท่า ‘จุ๊ๆ’ ใส่ฉินสือโอว
เมื่อมองตามสายตาของทุกคนไป ฉินสือโอวก็เห็นผีเสื้อที่สวยงามมากตัวหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่เท่ากับฝ่ามือของคนวัยกลางคน ปีกทั้งสองของมันกางออกมาอย่างสง่างาม ปีกด้านในทั้งสองข้างเป็นสีน้ำเงินไพลินบริสุทธิ์ ส่วนด้านนอกเป็นสีดำน้ำตาลเข้มดูลึกลับ ที่ปีกด้านหลังมีหางสีดำยื่นออกมา
ผีเสื้อสายพันธุ์นี้หลายสิบตัวกำลังบินตอมดอกไม้ไปมา แม้ว่าพวกมันจะมีเพียงแค่สองสี แต่ว่าเพราะว่าสีทั้งสองสีนี้เป็นสีที่สดและบริสุทธิ์ ทำให้ดึงดูดสายตาของคนที่มองมาได้อย่างดี
“ผีเสื้อหางติ่งสีฟ้า สวยสุดๆ ไปเลย!” บิลลี่ที่อยู่ข้างฉินสือโอวพูดขึ้นด้วยความปลื้มปีติ
ฉินสือโอวนึกขึ้นบางอย่างขึ้นมาได้จึงพูดว่า “นี่เป็นผีเสื้อประจำชาติออสเตรเลียใช่ไหม? มิน่าล่ะทำไมคนออสเตรเลียถึงชอบพวกมัน ที่แท้พวกมันก็สวยสง่ามากนี่เอง”
ผีเสื้อเหล่านี้บินไปมาช้าๆ อย่างไม่รีบร้อน ท่าทางหยิ่งยโสสง่างาม สีดำที่ปีกด้านนอกทำให้พวกมันดูเหมือนกับเป็นหญิงสาวจากตระกูลชั้นสูงที่กำลังสวมเสื้อกำมะหยี่สีดำอยู่ และสีน้ำเงินฟ้าด้านในก็เป็นเหมือนเครื่องประดับที่พวกมันสวมใส่อยู่
ในขณะที่ผีเสื้อหางติ่งสีฟ้า บินเต้นรำไปมา จู่ๆ นกตัวใหญ่ตัวหนึ่งก็บินโฉบลงมา มันอ้าปากพุ่งมาจะงับเข้าที่ผีเสื้อตัวหนึ่ง
ผีเสื้อตัวนั้นไม่ทันได้ระวังตัว ทันใดนั้นมันก็โดนกัดเข้าอย่างจัง ผีเสื้อตัวอื่นๆ ต่างพากันตกใจกับเหตุการณ์ตรงหน้า พวกมันรีบกระพือปีกหนีเข้าไปหลบใต้ดอกไม้ แม้กระทั่งตอนหนี ผีเสื้อเหล่านี้ก็ยังคงดูสง่างามอยู่
นกตัวนั้นคาบผีเสื้อบินขึ้นไป มันลอยตัวอยู่เหนือหัวทุกคนอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมันเจอกับเถาวัลย์เส้นหนึ่ง มันก็โยนร่างของผีเสื้อไปที่เถาวัลย์ ใช้หนามบนเถาวัลย์เกี่ยวร่างของผีเสื้อไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ ฉีกร่างของผีเสื้อออกมาเพื่อกินทีละชิ้น
คาริสชี้ไปที่นกตัวนั้นแล้วพูดว่า “นั่นคือนกล่าเหยื่อ ดูเหมือนพวกเราจะบุกรุกมายังพื้นที่ของมันเสียแล้ว งั้นพวกเราเดินทางต่อกันเถอะ ที่นี่พวกเราไม่ได้เป็นที่ต้อนรับ เจ้านกพวกนั้นอารมณ์ร้าย ไม่แน่ว่าต่อไปมันพวกมันอาจจะโจมตีพวกเราก็ได้ ”
เป็นเหมือนที่คาริสพูด นกตัวนั้นฉีกร่างผีเสื้อกินพลางมองมายังกลุ่มคนด้านล่าง ราวกับกำลังสาธิตภาพเหตุการณ์ให้ดู
“แล้วมันเป็นนกอะไรกันแน่? ดูท่าทางดุร้ายเชียว” บิลลี่ถามออกมา
คาริสพูดออกมาว่า “นกอีเสือ เป็นหนึ่งในนักล่าทางอากาศที่ค่อนข้างดุร้ายในผืนป่าแห่งนี้ นิสัยก้าวร้าวมาก ข่าวท้องถิ่นมักจะรายงานข่าวเรื่องที่พวกมันโจมตีคนเสมอ”
ฉินสือโอวพูดขึ้นว่าด้วยความเสียใจว่า “น่าเสียดายที่ผมไม่ได้พาอินทรีหัวขาวมาด้วย ไม่แน่ว่ามันอาจจะสอนนกพวกนี้ได้ว่าความอ่อนน้อมถ่อมตนและความซื่อสัตย์คืออะไร”
เหล่าบอดี้การ์ดต่างพากันหัวเราะขึ้นมา ไม่ใช่หัวเราะเพราะฉินสือโอวขี้โม้ แต่แค่เป็นการร่วมบทสนทนาเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ค่อยมีใครฝึกอินทรีหัวขาว แต่ก็ยังมีอยู่บ้าง โดยเฉพาะคนรวย เช่นเจ้าชายน้อยท่านนั้นที่ไม่ได้มาด้วย เขาก็ฝึกอินทรีทองอยู่ตัวหนึ่งเหมือนกัน
ป่าฝนที่เกรตแบร์ริเออร์รีฟก็เหมือนกับมหาสมุทร มีสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด ต้นไม้อุดมสมบูรณ์ ดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์และพวกสัตว์จำนวนมากอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้
ระหว่างที่เดินทาง ฉินสือโอวก็พบกับตัวพอสซัมและค้างคาวผลไม้ที่มีลายเหมือนกำลังสวมแว่นตาอยู่ พวกมันเป็นสัตว์ที่ระมัดระวังการมาของคนเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินเสียงลมเสียงหญ้าเคลื่อนไหวพวกมันก็พร้อมที่จะหนีไป ดังนั้นเมื่อเห็นเงาคนพวกมันก็บินหนีไปทันที
ดังนั้น หากอยากจะเห็นพวกมันก็ต้องมีสายตาว่องไว
โดยเฉพาะนกที่มีหลากหลายสายพันธุ์ คาริสพาเดินไปด้วยพลางแนะนำพวกเขาไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเป็ดพม่า นกปากกบ นกกระเต็น นกบัลติมอร์และอื่นๆ อีกมากมาย บางครั้งก็มีนกบินผ่านมาหลายสายพันธุ์ ทำให้คาริสแนะนำได้ไม่ทัน
พวกเขาเดินๆ หยุดๆ ตลอดทาง หลังจากผ่านช่วงเที่ยงไปในที่สุดพวกเขาก็เข้าใกล้แม่น้ำที่เป็นจุดหมาย ชื่อของมันคือ ‘แม่น้ำเมดูล่า’ เป็นชื่อที่ชาวพื้นเมืองออสเตรเลียเป็นผู้ตั้ง คาริสบอกว่ามันแปลว่าแม่น้ำแห่งมารดา เมื่อก่อนนี้แม่น้ำสายนี้กว้างใหญ่มาก มันไหลผ่านเมืองกว่าครึ่งของรัฐควีนส์แลนด์จากนั้นก็ไหลลงสู่มหาสมุทรไป
ตอนนี้ แม่น้ำสายนี้ก็ยังคงใหญ่อยู่ แต่ว่าไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนกับหลายพันปีก่อน เช่นเดียวกันกับแม่น้ำไป๋หลงที่บ้านเกิดของฉินสือโอว ตอนนี้กลายเป็นเพียงแม่น้ำสายใหญ่เท่านั้น
เหล่าบอดี้การ์ดจัดการทำความสะอาดพื้นที่โล่งริมฝั่งแม่น้ำอย่างรวดเร็ว มีคนหยิบกาต้มกาแฟออกมาตั้ง จากนั้นก็นำเชื้อเพลิงที่ถูกขึ้นรูปเป็นของแข็งมาเริ่มต้มกาแฟ เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง กลิ่นกาแฟก็ลอยตลบอบอวลไปทั่ว
บิลลี่และคนอื่นๆ นำเบ็ดตกปลามา พวกเขาดึงคันเบ็ดออกมานั่งตกปลาที่ริมแม่น้ำ
ฉินสือโอวมองไปรอบๆ การไหลของแม่น้ำสายนี้ค่อนข้างช้า เพราะว่าเป็นแม่น้ำใหญ่พวกเขาจึงกระจัดกระจายอยู่ทั่วแม่น้ำที่กว้างสี่สิบกว่าเมตร ในแม่น้ำมีโคลนอยู่เล็กน้อย บนผิวน้ำมีใบไม้ร่วงหล่นลงมา ไม่สามารถรู้ได้แน่ชัดว่าน้ำลึกแค่ไหน จะเห็นเพียงแค่ว่าที่ใต้แม่น้ำผืนนี้นั้นเต็มไปด้วยใบน้ำที่ทับถมอยู่
“อย่ามองแม่น้ำเมดูล่าอย่างไรจุดหมายแบบนั้นสิ อันที่จริงแม่น้ำแห่งนี้มีปลาดีๆ อยู่เยอะมาก ดังนั้นพวกคุณที่ชอบตกปลาสามารถแสดงฝีมือที่นี่ได้อย่างเต็มที่ แต่ว่าผมขอเตือนอะไรหน่อย ไม่ว่าอย่างไรอย่าลงไปในน้ำเด็ดขาด ไม่มีใครรู้ว่าในน้ำมีอะไรอยู่” คาริสพูดขึ้นมา เขาตบเข้าที่บ่าของฉินสือโอว แสดงท่าทีว่าให้ช่วยตนเองดูแลคนอื่นๆ ด้วย
เขาก็รู้เช่นกันว่าตอนนี้คำพูดของฉินสือโอวมีอำนาจ
ฉินสือโอวหาที่สะอาดเพื่อนอนลง เขานอนใช้แขนหนุนหัวเงยหน้าขึ้นทองท้องฟ้าสีคราม
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ จู่ๆ ก็เกิดเสียงร้องอุทานของใครบางคนดังขึ้น “โอ้ว…ผมตกได้ปลาตัวใหญ่…พระเจ้า! โอ้ว พระ…ตูม!”
เสียงหลังจากนั้นคือเสียงคนตกน้ำ
ทุกคนรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งไปยังทางที่เกิดเสียงขึ้นทันที คาริสรีบตะโกนออกมาอย่างร้อนรนว่า “ใครตกน้ำ? ใครตกน้ำ?!”
คนที่อยู่ใกล้ตำแหน่งที่มีคนตกน้ำมากที่สุดพูดขึ้นอย่างเคร่งขรึมว่า “คุณชากูนิสตกน้ำครับ มีใครว่ายน้ำเก่งบ้าง? รีบไปพาเขาขึ้นมาเร็ว!”
คาริสพูดพลางขมวดคิ้ว “ตกน้ำไปแล้วก็ควรอยู่ในน้ำสิ ทำไมริมน้ำไม่มีคนอยู่เลย?!”
ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปในแม่น้ำ ในขณะเดียวกันเขาก็อธิบายออกมาว่า “เพราะว่าเขาโดนปลาขนาดใหญ่ลากลงไปน่ะสิ เขาปล่อยมือจากเบ็ดไม่ทัน คนขึงถูกลากลงไปในเขตน้ำลึกด้วย”
“เฮือก!” ในขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ก็เกิดเสียงขึ้นในน้ำ คนคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากในน้ำ ร่างกายเต็มไปโคลนและกิ่งไม้ใบไม้ ท่าทางดูน่าสมเพชเป็นอย่างมาก
เมื่อคนที่อยู่ริมแม่น้ำมองลงมา ทันใดนั้นทุกคนก็ตกตะลึง พลางตะโกนออกมาด้วยความตกใจว่า “ปลาตัวใหญ่มาก!”
…………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ชีวิตบัดซบของ ‘ฉินสือโอว’ เริ่มต้นด้วยการถูกใส่ร้ายว่ายักยอกเงินและถูกให้ออกจากบริษัท หนำซ้ำยังต้องชดใช้จนไม่มีแม้แต่เงินจ่ายค่าเช่าห้อง แต่ไม่รู้ว่าโชคดีหรืออะไร เขาพบว่าคุณปู่รองได้ทิ้งพินัยกรรมมูลค่าหลายร้อยล้านไว้ให้ นั่นคือฟาร์มปลาที่แคนาดา แต่ที่นั่นกลับโกโรโกโสทรุดโทรม ปลาสักตัวก็แทบไม่มี นอกจากนั้นยังต้องเสียภาษีการยืนยันพินัยกรรมจำนวนมากอีก จากที่ตอนแรกเขากะจะขายฟาร์มแล้วหอบเงินกลับประเทศจีน กลับต้องฟื้นฟูกิจการฟาร์มปลาเพื่อหาเงินไปจ่ายค่าภาษี ไม่งั้นจะต้องยอมเสียฟาร์มให้ทางการไป ทว่าระหว่างที่สำรวจทะเลสาบในเกาะ เขาถูกปลาทำร้ายจนเลือดที่คางหยดลงไปบนจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินที่มีชื่อว่า ‘หัวใจโพไซดอน’ ทำให้ตัวจี้หลอมเข้าไปในตัวเขา จากนั้นมา… จิตสำนึกของเขาก็สามารถสำรวจและควบคุมท้องน้ำรวมถึงทำการเยียวยาและรักษาสิ่งมีชีวิตในทะเลได้ และนี่ คือหนทางกอบกู้ฟาร์มมรดกของเขา!

Options

not work with dark mode
Reset