ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 135 คุยกับผอ.

บทที่ 135 คุยกับผอ.

“ของดีๆทั้งนั้นเลยแฮะ”

ซุนไครีบหยิบดาบดั้นเมฆของเฉินเฉียงออกมาจ้องมองอย่างฉงนสนเท่ห์ เขาหยิบมันวาดตัดอากาศอย่างช้าๆสองสามหน ก่อนที่จะเอ่ยชมออกมา “มีดเล่มนี้ดีพอตัวเลยนะเนี่ย ทักษะการตีมันนี่เรียกได้ว่าสูงล้ำ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ผลงานของมนุษย์กลายพันธุ์ใช่รึเปล่า”

“ท่านผอ. โปรดคืนดาบเล่มนั้นให้ข้าด้วย มันเป็นของดูต่างหน้าผู้อาวุโสของข้าที่ล่วงลับจากไป” เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ

“อย่าได้กังวล ข้าบอกเจ้าไปแล้วนี่ว่าตราบใดที่ยืนยันตัวตนของเจ้าได้แล้วข้าจะคืนให้”

“อืมมมม แก่นคริสตัลมากมายและคุณภาพค่อนข้างดี แค่เห็นเจ้านี่ไม่รู้เลยนะเนี่ยเจ้าร่ำรวยขนาดนี้ เจ้าคงไม่ได้ขโมยมันมาหรอกนะ”

เป็นตอนนี้ที่ซุนไคได้หยิบเอาแผ่นพลังงานทั้งสิบสี่ชิ้นขึ้นมา “แผ่นพลังงานพวกนี้ยังมีกลิ่นเลือดอยู่เลยแฮะ ดูเหมือนว่าพวกมันถูกนำออกจากร่างของมนุษย์กลายพันธุ์หลังจากถูกฆ่าแล้ว เกิดอะไรขึ้นล่ะ หึ พวกแกเกิดความขัดแย้งภายในกันรึไง”

ซุนไคได้พูดยั่วยุเฉินเฉียงเล็กน้อยและเริ่มตรวจสอบของอื่นต่อ “นี่มันข้อมูลของตงเจี๋ยนที่อยู่ในสำนักพวกเรานี่ อืมม…. นี่บัตรประจำตัวสำนักเต่าดำเหรอ… หืม นี่มันอะไรกัน”

“ห้ะ”

ในที่สุด ซุนไคก็ได้พบสิ่งที่ทำให้เขานั้นต้องตกตะลึง เขาเงยหน้าขึ้นมามองเฉินเฉียงและพูดขึ้นมา

“เจ้านี่ทำให้ข้าประหลาดใจได้จริงๆ”

จากของที่อยู่ในแหวนของเจ้านั้นบ่งบอกว่าเจ้าฆ่าทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และมนุษย์กลายพันธุ์

แต่ตอนที่ข้าพยายามจะดึงแผ่นพลังงานออกจากหัวเจ้า แต่ข้าก็ไม่พบมัน นี่เจ้าเป็นใครกันแน่

“หากเจ้าไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์ แล้วเจ้าทำไมถึงมีความสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ของพวกมันที่สู้รบกับพวกเราได้กัน”

เฉินเฉียงได้ถอนหายใจออกมายาวๆก่อนที่จะมองซุนไคที่กำลังเก็บของเขาใส่แหวนเช่นดังเดิม “ท่านผอ. ข้าเป็นศิษย์สำนักเต่าดำแผนกวิชายุทธพิเศษมีชื่อว่าเฉินเฉียง”

“ลูกศิษย์สำนักเต่าดำ….เหรอ” ผอ.ซุนยิ้มออกมาก่อนจะพูดตอบ “เจ้ารู้รึเปล่าว่าสำนักนั้นมันไกลจากนี่ขนาดไหน นี่เจ้าคิดจะใช้เรื่องนี้ในการแก้ต่างสินะ”

“ถ้างั้นบอกเจ้ามาว่าทำไมเจ้าต้องปลอมตัวเป็นศิษย์สำนักของเข้า ตงเจี๋ยนอยู่ไหน แล้วทำไมเจ้าถึงเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้กัน”

“ท่านผอ. นั่นไม่ใช่ทักษะเปลี่ยนรูปลักษณ์อะไรนั่น มันเป็นผลจากเม็ดยาแปลงโฉม หากท่านไม่เชื่อ ท่านสามารถส่งแหวนข้ากลับมาแล้วข้าจะแปลงโฉมกลับไปเป็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมของข้า”

ซุนไคไม่ได้กังวลว่าเฉินเฉียงจะเล่นตลกหรือหาทางหนีแต่อย่างใด นั่นก็เพราะที่ตรงนี้มีนักรบสายเลือดระดับราชาอยู่ถึงสี่คน เขาจึงได้คลายผนึกที่หน่วงเหนี่ยวเฉินเฉียงเอาไว้และส่งแหวนคืนให้

เฉินเฉียงที่ได้รับแหวนกลับคืนมาก็ได้นำเอายาสีสันออกมาใส่ปากเข้าไป หลังจากนั้นเขาก็แกล้งถูไถใบหน้าของตน แล้วค่อยๆเปลี่ยนโฉมคืนใบหน้าปกติ

“ท่านผอ. นี่คือรูปลักษณ์ดั้งเดิมของข้า และด้วยสิ่งนี้ทำให้ข้าลอบไปอยู่กับมนุษย์กลายพันธุ์ได้โดยบังเอิญ

“พวกมันก็คิดเหมือนท่าน พวกมันคิดว่าข้านั้นคือนักรบกลายพันธุ์ระดับพลังเหนือมนุษย์ที่มีพลังสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ พวกมันนอกจากจะไม่สงสัยข้าแล้วมันยังมอบภารกิจที่สำคัญให้กับข้าอีกด้วย”

ถึงแม้ว่าเฉินเฉียงใจตอนนี้ยังไม่อาจลบข้อครหาจากซุนไคและคนอื่นๆไปได้ แต่ในตอนนี้พวกเขานั้นกลับรู้สึกสนใจอย่างมากเกี่ยวกับภารกิจที่เฉินเฉียงเอ่ยถึง

“เจ้าบอกว่าเจ้าชื่อเฉินเฉียงใช่รึเปล่า แล้วเจ้าจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้ยังไง บอกไว้ก่อนนะว่าแค่บัตรประจำตัวของเจ้าในแหวนนั่นไม่เพียงพอที่จะยืนยันตัวตนของเจ้าได้หรอกนะ เจ้าอย่าโกหกพวกเราซะจะดีกว่า”

เมื่อได้ยินดังนั้น เฉินเฉียงจึงได้นำกำไลสื่อสารสองอันออกมาจากแหวนและพูดออกมา “ท่านผอ. นี่คือกำไลสื่อสารที่ศิษย์สำนักเต่าดำทุกคนได้รับ แต่ด้วยที่นี่ไกลจากสำนักเต่าดำมากนักจึงไม่อาจจะติดต่อสื่อสารกับอาจารย์ของข้าได้”

“ส่วนกำไลอันนี้ ผอ.เฉียนได้มอบให้ข้า ท่านสามารถดูได้จากแสงไฟที่ยังกะพริบได้อยู่ในตอนนี้”

“น่าเสียดาย ตอนที่ผอ.เฉียนมอบให้ข้านั้น เขาบอกข้าว่ามันรับได้เพียงแต่ข้อความแต่ไม่อาจจะส่งข้อความไปหาเขาได้ ไม่อย่างนั้นข้าคงจะให้เขาช่วยพิสูจน์ตัวตนของข้าได้บ้าง”

เมื่อซุนไคได้ยินก็อดที่จะมองหน้ากับอีกสามคนที่เหลือและหัวเราะออกมาดังๆไม่ได้ “ฮ่าฮ่าฮ่า เรื่องบ้าอะไรกันล่ะนั่น นี่เจ้าเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ธรรมดาและดูแล้วไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยเนี่ยนะ คนอย่างเจ้ากล้าบอกว่าเจ้าสามารถพูดคุยกับไอ้เฒ่าเฉียนนั่นได้อีก”

“แถมยังมีกำไลสื่อสารที่ทำให้รู้ตำแหน่งของเจ้า”

“ดี เรื่องนี้มันง่ายมาก”

หลังจากพูดจบ ซุนไคได้เปิดกระเป๋าเสื้อก่อนที่จะแสดงกำไลสื่อสารที่มีหน้าตาเหมือนกับของเฉินเฉียง เขากดปุ่มไปสองสามทีและรอพักหนึ่ง เมื่อเห็นแสงบางอย่างกะพริบขึ้น เขาก็ได้พูดใส่กำไลสื่อสาร “ไอ้เฒ่าเฉียนเอ๊ย นี่ก็ใกล้จะถึงงานประลองสี่สำนักแล้วนา….เจ้าเตรียมตัวดีรึยัง”

ไม่นายเสียงที่เฉินเฉียงคุ้นเคยก็ได้ดังขึ้นมา “ไอ๊ยะ ซุนเอ๊ยซุน ไม่ว่าสำนักของข้าจะเตรียมตัวดีแค่ไหนสำหรับเจ้าแล้วพวกข้ามันก็แค่พวกท้ายตารางไม่ใช่รึไง แล้วเจ้าจะสนใจทำไมกัน”

“ผอ.เฉียน ข้าคือเฉินเฉียง”

เมื่อได้ยินเสียงของผอ.เฉียน เฉินเฉียงได้รีบตะโกนออกไปในทันที

“ฮื้ม ทำไมข้าเมื่อจะได้ยินใครบางคนเรียกชื่อข้าอยู่ล่ะ”

ซุนไคได้เหลือบมองเฉินเฉียงไปปราดหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “ไม่มีอะไร ข้าก็แค่อยากจะถามอะไรเจ้าหน่อย เฒ่าเฉียน สำนักเจ้ามีลูกศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษที่มีชื่อว่าเฉินเฉียงอะไรนั่นอยู่รึเปล่า”

เมื่อผอ.เฉียนได้ยินก็ได้ถอนลมหายใจในทันที “เฮ้ออออ ซุนเอ๊ย นี่เจ้าจะพูดถึงเขาไปทำไมกัน”

“น่าเสียดายจริงๆ หากเขายังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ ข้าบอกได้เลยว่าในงานประลองสี่สำนักนี้จะต้องเป็นพวกข้าที่อยู่เหนือพวกเจ้า”

เมื่อได้ยินคำพูดของผอ.เฉียนนี้เข้าไปแล้ว นี่ได้กระตุกต่อมความสนใจของซุนไคในทันที เขาได้เดินวนรอบตัวเฉินเฉียงไปสองรอบพลางเดาะลิ้นไปพลางก่อนที่จะพูดออกมาต่อ “เฒ่าเฉียน ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนแล้วเฉินเฉียงนั่นมีอะไรที่พิเศษจนทำให้เจ้ากล้าพูดออกมาได้ถึงขั้นนี้ เขาเป็นเพียงนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณเองไม่ใช่รึไง แถมดูเหมือนว่าจุดตันเถียนลับของเขาเองก็พึ่งจะเปิดได้แค่สิบจุดเท่านั้น แล้วทำไมเจ้าถึงกล้าพูดกับข้าได้ถึงขนาดนี้กัน”

“………..ซุน นี่เจ้าหมายความว่ายังไง”

ผอ.เฉียนเมื่อได้ยินก็ถึงกับตื่นเต้นในทันที เขานิ่งคิดเล็กน้อยและพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง “เจ้าอย่าบอกนะว่าเฉินเฉียงยังไม่ตายน่ะ แล้วตอนนี้เขาอยู่กับเจ้า รีบบอกข้ามาเร็วเข้า”

เพียงสิ้นเสียงประโยคนี้แต่ทุกคนในห้องนั้นกลับได้ยินอย่างชัดเจนประหนึ่งดังถูกพูดกรอกอยู่ข้างหู

ซุนไคถึงกับถูหูตัวเองในทันทีและพูดออกมาอย่างหน่ายๆ “นี่เจ้าจะตื่นเต้นทำบ้าอะไรวะ ข้ายังไม่แน่ใจเลยด้วยซ้ำว่าเป็นเด็กนั่นจริงรึเปล่า”

“เด็กนี่บอกว่าเขานั้นรู้จักเจ้า แต่มันมีข้อสงสัยในตัวเขาอยู่มากมายข้าเลยอยากจะให้เจ้าช่วยยืนยันตัวตนเขาเพียงเท่านั้น”

“ยืนยันอะไรนะ”

“เจ้าอย่าได้ทำให้เฉินเฉียงต้องยุ่งยากนะโว้ย ไม่งั้นข้าไม่ปล่อยแกไว้แน่”

“ให้เฉินเฉียงมาพูดกับข้าเดี๋ยวนี้…ช่างแม่…”

หลังจากที่ได้คุยกันผ่านกำไลสื่อสารจนดูเหมือนว่าผอ.เฉียนนั้นมีท่าทีอยู่ไม่สุขแล้ว ซุนไคก็คิดจะส่งกำไลสื่อสารให้เฉินเฉียงได้พูดคุยกันเหมือนกัน แต่พอส่งไปเขาก็พบว่าผอ.เฉียนตัดสายไปแล้ว

“เป็นห่าอะไรของเอ็งฟะ” ซุนไคสบถออกมาในทันทีและตะคอกใส่กำไลสื่อสารที่ไม่มีปลายสาย

เป็นตอนนี้ที่กำไลสื่อสารของเฉินเฉียงได้ดังขึ้น เมื่อเฉินเฉียงเปิดมันออกดูก็พบว่าเป็นผอ.เฉียนได้ตะโกนมาจากอีกฟากฝั่ง

“เฉินเฉียง ไอ้เด็กนรก นี่เจ้ายังไม่ตายอีกรึ รีบๆตอบอะไรกลับมาเร็วๆเข้า”

ถึงแม้จะเป็นคำดุด่าสบถสาปแช่งจากผอ.ของเขา แต่เฉินเฉียงในตอนนี้ก็ตื่นเต้นจนน้ำตาแทบจะไหล หากว่าเขานั้นได้รับการยืนยันตัวตนจากผอ.เฉียนล่ะก็ ยังไงซะเขาก็รอด

แต่ประเด็นคือผอ.เฉียนนั้นบอกเขาไปว่ากำไลสื่อสารเป็นแบบสื่อสารทางเดียว แล้วเขาจะโต้ตอบไปได้ยังไง

เฉินเฉียงในตอนนี้ได้ค่อยๆมองไปยังซุนไคอย่างไร้คำจะเอ่ย

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset