ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 143 เดินทาง

บทที่ 143 เดินทาง

เขตแดนจักรพรรดิ

สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับราชางั้นเหรอ

คำพูดของเจิ้งยี่นี้ทำให้เฉินเฉียงรู้สึกได้ว่าวิสัยทัศน์ของเขานั้นช่างคับแคบนัก

หลังจากสงบจิตใจลง เฉินเฉียงจึงได้ถามออกมา “ศิษย์พี่เจิ้ง ผอ.ซุนหมายความว่าใครก็ตามที่สามารถเข้าไปในมิติที่ว่าเพื่อหาสมบัติเช่นนั้นหรือ”

“หาสมบัติเหรอ ฮี่ฮี่ฮี่” เจิ้งยี่ส่ายหน้าพลางยิ้มออกมา “เจ้าจะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่คนส่วนใหญ่นั้นเข้าไปแล้วไปเลยไม่เคยได้ออกมา”

“ท่านหมายความว่ายังไงกัน”

“มันมีทางเข้าอยู่สามทาง หนึ่งคือเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นผู้ครอบครอง”

“ส่วนอีกสองเส้นทางนั้นถูกครอบครองโดยสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์อย่างละหนึ่ง”

“เมื่อใดก็ตามที่มิติช่องว่างนี้เปิดออก ทั้งสามฝ่ายจะส่งคนของตนเข้าไปในเวลาเดียวกัน”

“การได้รับโอกาสอันยิ่งใหญ่นั้นก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องหนึ่ง”

“แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือทั้งสามเผ่าพันธุ์ต้องสู้รบกันจนตายไปข้างหนึ่งที่นั่น”

“หรือจะบอกอีกอย่างหนึ่งก็คือในทุกๆครั้งที่สามเผ่าพันธุ์ได้เข้าไปที่นั่น อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งที่ต้องตกตาย”

“นี่เองถือได้ว่าเป็นกฎพื้นฐานเช่นเดียวกันที่ทั้งสามฝ่ายนั้นเมื่อเข้าไปแล้วจะต้องแสดงแสนยานุภาพของตนให้ฝ่ายอื่นเห็น”

เฉินเฉียงนั้นต้องการจะถามต่อ แต่เจิ้งยี่ใช้นิ้วมาจุ๊ที่ปากของตนและส่งสัญญาณให้เฉินเฉียง “ศิษย์น้องเฉิน ศิษย์สำนักเสือขาวมาแล้ว”

เฉินเฉียงที่ได้ยินก็มองไปยังทางที่เจิ้งยี่ส่งสัญญาณให้

เขาเห็นเรือเหาะลงมาจอดอย่างเงียบงันที่การลานกว้างของสำนักมังกรอาชูร่า

หลังจากผ่านไปสักพัก ประตูของเรือเหาะก็ได้เปิดออกและมีคนห้าคนเดินออกมา

“ฮ่าฮ่า ซุน ข้าทำให้เจ้ารอนานเลย”

ผู้นำของกลุ่มเป็นชายแก่อายุประมาณห้าสิบ เขาถือไปป์ไว้ในมือ เขาแจ๊บปากไปสองทีในขณะที่มองไปยังศิษย์ของสำนักมังกรอาชูร่าพร้อมกับดวงตาที่เปล่งประกาย

“ซุน ศิษย์ของเจ้าครั้งนี้ดูอลังการยิ่งนัก มีระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางมากมายขนาดนี้ ดูเหมือนว่างานประลองสี่สำนักในครั้งนี้คงไม่แคล้วเป็นสำนักของเจ้าอีกกระมัง”

“ตาแก่หลัวเฟิงเอ๊ย นี่เจ้าจะให้ข้าลอยสูงโดยไม่ต้องใส่หมวกเลยรึไงกัน”

ซุนไคได้มองไปยังศิษย์ทั้งสี่ของสำนักเสือขาวที่อยู่ด้านหลังหลัวเฟิงพลางขมวดคิ้ว “โห่ ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าเฉียวกังกับหลินฟานนั้นเปิดจุดลับได้สิบห้าจุดแล้ว ไม่แปลกใจเลยจริงๆที่เจ้ากล้าล้อเล่นนัก”

เฉินเฉียงและเจิ้งยี่เองก็ได้มองไปยังศิษย์สำนักเสือขาวทั้งสี่ด้วยท่าทางขึงขัง และเป็นตอนนี้ที่เขาได้ปลดปล่อยคลื่นพลังสายเลือดออกมา

ถึงแม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่นั่นก็เพียงพอที่ทั้งสองฝ่ายนั้นจะรับรู้ฝีมือพื้นฐานของกันและกัน

หนึ่งในสี่ได้มองเจิ้งยี่ก่อนที่จะหันไปมองทางอื่นโดยไม่ใส่ใจอีก

“ศิษย์พี่เจิ้งยี่ ใครกันล่ะนั่น ดูช่างทรงพลังยิ่งนัก”

ด้วยการที่เขานั้นไม่ใช่ศิษย์ของสำนักมังกรอาชูร่า หากอีกฝ่ายรู้คงไม่แคล้วที่จะโดนหาเรื่อง เขาจึงเลือกที่จะถามเจิ้งยี่แทน เจิ้งยี่เองเมื่อได้ยินก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มลึก “ดาวดวงใหม่ของสำนักเสือขาวน่ะนักรบสายเลือดทองคำ(โลหะ)ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง หลินฟาน”

“เห็นเขาเล่ากันว่าหมอนี่ยกระดับจากระดับทหารขั้นสูงมาถึงระดับนี้ได้โดยใช้เวลาเพียงสองปี พรสวรรค์ของเขานั้นเทียบได้กับอัจฉริยะสาวแห่งสำนักวิหคอสนีบาต เว่ยฉิงเชินได้เลยนะ”

“มาตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาเองก็เป็นตัวเก็งอันดับหนึ่งที่มาจากสำนักเสือขาวที่เขาว่าน่าจะชนะเลิศในการแข่งครั้งนี้”

“พอมองเห็นกับตาตัวเองนี่ดูเหมือนว่างานประลองครั้งนี้จะไม่ใช่เล่นๆซะแล้ว”

เฉินเฉียงได้มองชายที่ชื่อหลินฟาน เขาเองก็คิดเช่นกันว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ

หากชายคนนี้เป็นเหมือนเว่ยฉิงเชินล่ะก็ หากถือตามที่เธอเคยพูดไว้ เธอนั้นสมควรจะก้าวข้าวไประดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเมื่อไหร่ก็ได้

แต่ความแข็งแกร่งในการต่อสู้นั้นก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ระดับการบ่มเพาะและพลังการต่อสู้นั้นไม่ใช่สิ่งที่เพิ่มสูงคู่กันแต่อย่างใด

นี่จึงเป็นเหตุผลที่อาจารย์ของเขา ฮู่ต้าไฮ่และราชาสวรรค์ต่างก็หวังให้เฉินเฉียงรีบเร่งข้ามระดับขั้นการบ่มเพาะ

หลินฟานผู้นี้สมควรจะเน้นเพิ่มละดับการบ่มเพาะอย่างหนักจึงทำให้ทะลวงระดับได้อย่างรวดเร็วในสองปีนี้ เขาเชื่อว่ากับคนคนนี้สมควรที่จะมีความแข็งแกร่งที่สูงล้ำ

แต่อย่างไร ตอนที่เขาออกจากสำนักเต่าดำออกมานั้น ศิษย์พี่ใหญ่ของเขา หลู่ฟาง ได้บรรลุระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขานั้นได้ชนะพนันและได้แต้มคะแนนไปจากเขานับหมื่นแต้ม เขาเชื่อว่าอย่างน้อยๆตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่ของเขาก็สมควรจะเปิดจุดชีพจรลับได้อย่างน้อยๆก็สิบสี่จุดไปแล้ว

และด้วยการที่เฉินเฉียงนั้นรู้ถึงความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของหลู่ฟางเป็นอย่างดี ต่อให้ต้องสู้กับเจิ้งยี่ เขาก็เชื่อว่าหากต้องสู้กันจริงก็ยังไม่รู้ว่าใครจะแพ้หรือชนะ

หลังจากผอ.สำนักมังกรอาชูร่าและผอ.สำนักเสือขาวได้พูดคุยกันและขิงไปมาเล็กน้อย หลังจากนั้นซุนไคก็ได้นำเรือเหาะลำยักษ์ออกมาจากแหวนมิติของตน

“ศิษย์ทั้งหลาย เรียงแถวตอนขึ้นเรือเหาะได้ เป้าหมาย เขตกันหนัน”

หลังจากที่ได้เข้าไปในเรือเหาะแล้ว เฉินเฉียงก็เห็นว่าพื้นที่ภายในของมันนั้นดูใหญ่กว่าภายนอกอย่างมาก

สำหรับเรือเหาะขนส่งลำนี้ การจะไปยังเขตกันหนันจากสำนักมังกรอาชูร่านั้นต้องใช้พลังงานจากแก่นคริสตัลระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงหนึ่งแสนก้อน ช่างสิ้นเปลืองจริงๆ

ต่อให้สำนักมังกรอาชูร่านี้เป็นอันดับหนึ่งในสี่สำนักและทำให้รวบอย่างมากก็ตาม แต่แก่นคริสตัลที่ใช้นี้สามารถใช้จัดงานประลองสี่สำนักได้สองรอบเลยด้วยซ้ำ

ส่วนสำนักเต่าดำนั้นเขาได้ข่าวมาว่าเดินทางออกจากสำนักมาตั้งแต่หนึ่งเดือนก่อนแล้ว

ถึงแม้เส้นทางไปกันหนันนั้นจะมีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ศิษย์สำนักเต่าดำเองก็ต้องใช้เวลากว่ายี่สิบวันถึงจะถึงเขตกันหนัน

ส่วนสำนักมังกรอาชูร่านั้นอยู่ห่างไกลจากกันหนันนับพันนับหมื่นไมล์จากกันหนัน แต่ใช้เวลาเพียงวันเดียวก็ไปถึงด้วยเรือเหาะลำนี้

นี่แสดงให้เห็นว่าสำนักมังกรอาชูร่าและสำนักเสือขาวนั้นถูกค้ำชูโดยตึกจอมพลภาคกลางมากมายกว่าอีกสองสำนักอย่างมาก

และไม่ต้องพูดอะไรมากมาย วันถัดมา เรือเหาะทั้งสองลำก็ได้ลงจอดที่ด้านนอกของเมืองจีหยางที่อยู่ในเขตกันหนันเรียบร้อยแล้ว

ตึกจอมพลแห่งกันหนันนั้นได้ส่งคนไปบอกศิษย์สำนักวิหคอสนีบาตและสำนักเต่าดำให้ออกมาช่วยต้อนรับในทันทีที่ได้ยินข่าว

ในทันทีที่อากาศยานทั้งสองได้ลงจอด ศิษย์ทั้งสองสำนักผู้ไม่เคยได้เห็นอากาศยานเช่นนี้มากก่อนได้เข้ามารุมล้อมและสัมผัสสิ่งแปลกตาที่อยู่ตรงหน้า

ส่วนศิษย์สำนักมังกรอาชูร่าและศิษย์สำนักเสือขาวนั้นเมื่อได้ออกมาจากยานของตนแล้ว พวกเขาได้แสดงท่าทีโอหังออกมาและไม่เห็นอีกสองสำนักอยู่ในสายตาแต่อย่างใด

หลังจากมองไปปราดหนึ่งแล้ว พวกเขาพบว่าศิษย์สำนักเต่าดำนั้นมีเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง

ส่วนสำนักวิหคอสนีบาตนั้นนอกจากเว่ยฉิงเชินผู้ซึ่งสามารถจะก้าวข้ามระดับการบ่มเพาะเมื่อไหร่ก็ได้แล้วยังมีคนที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางอีกสามคน

หากนับความแข็งแกร่งทางด้านการต่อสู้แล้ว เมื่อเทียบกับสำนักมังกรอาชูร่าและสำนักเสือขาวแล้ว สำนักอื่นนั้นเทียบได้ว่าแทบจะกลายเป็นศูนย์

ในการประลองสี่สำนักในทุกครั้งนั้นเป็นตัวบ่งชี้ทรัพยากรในการบ่มเพาะของแต่ละสำนักในช่วงห้าปีถัดไป

นี่จึงเป็นเหตุผลให้ สำนักมังกรอาชูร่าและสำนักเสือขาวนั้น นับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ส่วนสำนักวิหคอสนีบาตและสำนักเต่าดำนั้น นับวันยิ่งอ่อนแอลง

หลังจากซุนไคและหลัวเฟิงได้เดินออกมาจากเรือเหาะของตนแล้ว พวกเขาต่างก็เข้าไปทักทายเจ้าของงานอย่างตัวแทนแห่งตึกจอมพลเขตกันหนัน ผู้การแห่งที่ราบภาคกลาง เว่ยหยวนตี้

ถึงแม้ทั้งสามจะอยู่ระดับเดียวกัน แต่เว่ยหยวนตี้นั้นในตอนนี้เขาเป็นหนึ่งในสามของผู้บัญชาการสูงแห่งที่ราบภาคกลาง แน่นอนว่าสถานะของเขาย่อมเหนือกว่าผอ.ทั้งสองคน

ยิ่งไปกว่านั้นคือเขานั้นเป็นผู้จัดงานและตัดสินในงานประลองครั้งนี้ ทั้งซุนไคและหลัวเฟิงย่อมพูดจากับเขาด้วยความเคารพ

“ขอบคุณท่านผู้การแห่งภาคกลาง ท่านเว่ยที่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง นี่คือศิษย์ของสำนักมังกรอาชูร่าที่จะลงแข่งในการประลองครั้งนี้”

“พี่ชายซุน พี่ชายหลัว ท่านอย่าได้เกรงใจกันไปเลย พวกเราไปนั่งที่จัดเตรียมไว้กันก่อนดีกว่า”

ในเมืองชายแดนที่มีชื่อว่าจีหยางแห่งนี้ได้มีทีนั่งถูกจัดเตรียมเอาไว้สำหรับผู้คนนับร้อยคน อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้มีเพียงสองที่ที่อยู่ข้างๆเว่ยหยวนตี้ โดยไม่ต้องสงสัย พวกเขารู้ดีว่านี่คือที่นั่งของซุนไคและหลัวเฟิง

ทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่จะก้าวขึ้นไปโดยไม่ลังเล

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset