ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 146 กฎการประลอง

บทที่ 146 กฎการประลอง

เว่ยหยวนตี้ที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งประธานพิธีได้กดปุ่มที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้าเขา

จอภาพขนาดยักษ์ที่มีความสูงกว่าสามสิบเมตรได้โผล่ขึ้นมาจากพื้น

ตามมาด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ที่แสดงอยู่บนจอยักษ์นั่น

งานประลองสี่สำนักแห่งพื้นที่ภาคกลางครั้งที่หนึ่งร้อยเจ็ด

“เอาล่ะ นักเรียนทั้งหาย พวกเจ้าได้เห็นสิ่งนี่กันแล้ว”

เว่ยหยวนตี้ได้ชี้ไปที่อุโมงค์แสงที่อยู่ข้างใต้และพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง “ปีนี้ งานประลองสี่สำนักจะใช้การประลองผ่านเทคโนโลยีจำลองภาพเสมือนจริงเฉกเช่นครั้งก่อนๆ”

“หากศิษย์คนใดที่เขาไปในอุโมงค์แสงนี้แล้วถูกฆ่าตายโดยศิษย์คนอื่นในระหว่างการประลอง คนคนนั้นจะถูกโยนออกมาจากอุโมงค์แสงนี้ในทันที และนั่นจะถือว่าคนคนนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ในการประลอง”

“แต่ในครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่านมา พวกเราได้เพิ่มความยากในการประลองเข้าไปอีก”

“ความยากที่ว่านั่นก็คือเมื่อใดก็ตามที่ศิษย์ต่อสู้กันในระหว่างที่เข้าอุโมงค์แสงนี้ไป คนคนนั้นจะไม่ตายในโลกแห่งความจริง แต่หากพวกเจ้าได้ไปพบเจอสัตว์ประหลาด พวกเจ้าต้องระวังให้ดี”

“นั่นก็เพราะหากพวกเจ้าถูกฆ่าโดยพวกมัน พวกเจ้าเองจะตายจริงๆด้วย”

“ด้วยเหตุนี้ ใครก็ตามที่คิดว่าไม่แกร่งพอ หรือว่ากลัวที่จะตาย ข้าหวังว่าพวกเจ้านั้นจะตัดสินใจให้ดีก่อนที่จะเข้าร่วมการประลองในครั้งนี้”

“และข้าขอบอกไว้ก่อนเลยว่าไอ้สัตว์ประหลาดที่อยู่ในอุโมงค์แสงนี้ อย่างๆน้อยๆก็มีอยู่ห้าตัวที่เมื่อเจอพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้านั้นต้องตกตายกันเกือบหมด”

ในทันทีที่เว่ยหยวนตี้ได้พูดจบลง เหล่าศิษย์ทั้งหลายก็เริ่มพูดคุยกันในทันที มีนักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณบางคนที่ใบหน้าถอดสีในทันทีที่ได้ฟังจนเสร็จ

ศิษย์เหล่านี้คือคนที่คอยถูกประคบประหงมจากพ่อแม่ของตนอย่างดี พวกเขาไม่คิดว่าการมาเข้าร่วมประลองสี่สำนักในครั้งนี้จะเป็นการเดินเข้าหาอันตรายเป็นครั้งแรกในชีวิต

ศิษย์บางคนได้ตะโกนออกมาอย่างดังลั่นว่า “ไม่กลัวตาย” แต่ก็กลับนั่งลงไป

“ศิษย์น้องหลี่ เจ้าเป็นอะไรไป อย่าบอกนะว่าเจ้านั้นคิดจะถอนตัว ” ในสำนักวิหคอสนีบาต มีศิษย์ระดับนายพลวิญญาณคนหนึ่งมองไปที่ศิษย์ร่วมสำนักพลางถามออกมาพร้อมคิ้วที่ขมวดแน่น “ศิษย์น้องหลี่ พวกเราคือศิษย์สำนักวิหคอสนีบาต พวกเรายังไงซะก็ต้องทำสงครามกับสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์อยู่แล้วในสักวันหนึ่ง แล้วเจ้าจะกลัวไปทำไม”

“ศิษย์พี่ ข้านั้นไม่ได้กลัวตาย ข้าแค่รู้สึกว่าการเสียชีวิตในงานประลองแบบนี้มันไร้ค่าเกินไปเท่านั้น อีกอย่าง ข้าไม่เคยต่อสู้กับสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์มาก่อน ข้าต้องการที่จะพร้อมก่อนที่จะเผชิญหน้าพวกมันในอนาคต ซึ่งยังไม่ใช่ในตอนนี้”

ศิษย์ทุกๆกคนได้พูดถึงเหตุผลที่จะถอนตัวที่แตกต่างกันไป แต่โดยส่วนใหญ่แล้วก็คือพวกเขานั้นกลัวและเห็นว่าไม่ควรจะต้องมาตกตายในการประลองแบบนี้

ความจริงแล้วเหตุผลนี้ก็พอจะรับฟังได้อยู่เหมือนกัน

ทุกๆคนนั้นมีมุมมองและความสามารถในการเผชิญหน้าเกี่ยวกับชีวิตและความตายที่แตกต่างกันไป

เฉกเช่นจ้าวฮั่นยามที่เขานั้นอยู่ในสำนักเต่าดำ เขาสามารถออกคำสั่งให้ผู้ติดตามฆ่าศิษย์ร่วมสำนักเมื่อไหร่ก็ได้เมื่อเขาอยู่ที่นั่น

อย่างไรก็ตาม เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศึกเป็นตายแบบนี้ เขานั้นจะตกตายเพราะความกลัวตายเสียมากกว่า

นี่คือธรรมชาติของมนุษย์

หลายๆคนนั้นเมื่อเห็นทำท่าจะกระโดดตึกต่อหน้าต่อตา หลายๆคนใช่ว่าจะคิดหาทางช่วยชีวิตคนที่จะกระโดดตึกนั้นแต่อย่างใด บางคนยังตะโกนยุยงส่งเสริมในทันทีที่เห็น “กระโดดเลย แน่จริงก็โดดสิวะ”

อย่างไรก็ตาม เมื่อคนพวกนี้เผชิญหน้ากับสถานการณ์เป็นตายด้วยตัวเอง ต่อให้ไม่มีอะไรให้ใช้แต่พวกเขาจะดิ้นรนหลีกหนีความตายอย่างสุดชีวิตไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม

คนประเภทนี้เป็นคนที่ไม่สมควรที่จะมีชีวิตอยู่แต่อย่างใด

เว่ยหยวนตี้และผอ.ทั้งสี่สำนักที่นั่งอยู่บนที่นั่งของผู้ทรงเกียรติอดไม่ได้ที่จะลอบถอนลมหายใจเมื่อเห็นท่าทางของศิษย์ในสำนักตนเองบางคน

สถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่ว่าจะพบเจอได้บ่อยๆยามที่อยู่ในสำนักหรอกเหรอ

คำตอบคือไม่มีทาง

หากว่าสำนักศึกษาแต่ละแห่งนั้นมีการประลองเป็นตายจริงๆอยู่ล่ะก็ ศิษย์เหล่านี้คงไม่เลือกที่จะถอนตัวจากการแข่งขันอย่างแน่นอน

เว่ยหยวนตี้ส่ายหัวไปมาในทันทีที่เห็น ก่อนที่จะอธิบายกฎการประลองอื่นเพิ่มเติม

“ในการประลองสี่สำนักในครั้งนี้ ผู้ชนะคือคนที่ได้คะแนนสูงที่สุดในระหว่างการประลอง”

“ในอุโมงค์แสงนี้ ทุกๆครั้งที่ศิษย์ฆ่าสัตว์ประหลาดระดับนายพลวิญญาณขั้นต้นได้ ศิษย์คนนั้นจะได้คะแนนสิบแต้ม”

“หาว่าฆ่าสัตว์ประหลาดระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางได้ คนคนนั้นจะได้หนึ่งร้อยแต้มคะแนน”

“และใครก็ตามที่ฆ่าสัตว์ประหลาดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงได้ คนคนนั้นจะได้แต้มคะแนนหนึ่งหมื่นแต้ม และในอุโมงค์แสงนี้ มีสัตว์ประหลาดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเพียงห้าตัวเท่านั้น ผอ.แต่ละสำนักนั้นตั้งใจไว้ว่าใครก็ตามที่สังหารสัตว์ประหลาดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงนี้ได้หนึ่งตัว พวกเขาจะมอบแต้มคะแนนจำนวนหนึ่งหมื่นแต้มคะแนนให้ไปใช้ที่สำนักของตน”

“ส่วนกฎเกี่ยวกับการประลองของศิษย์นั้นง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย”

“ทุกๆครั้งที่ศิษย์โดนสังหาร คะแนนของศิษย์คนที่ถูกสังหารก็จะถูกโอนให้กับศิษย์ที่เป็นผู้สังหาร”

“นอกจากนี้ยังมีการนับแต้มคะแนนอย่างอื่นอีก”

“ทุกๆครั้งที่ศิษย์เก็บสมุนไพรระดับหนึ่งได้ ศิษย์คนนั้นก็จะได้รับไปหนึ่งแต้มคะแนน หากเก็บระดับสองได้หนึ่งต้น แต้มคะแนนที่ได้ก็เป็นสองแต้มคะแนน”

“กฎนี้สร้างขึ้นมาให้กับศิษย์ที่มีระดับการต่อสู้ที่ต่ำได้มีโอกาสรอดชีวิตที่นั่น และนี่จะทำให้พอได้อันดับในตารางได้อยู่บ้าง”

“ตราบใดที่ศิษย์เหล่านี้สามารถหลุดรอดพ้นจากการเป็นเป้าหมายของสัตว์ประหลาดและศิษย์สำนักอื่นๆ ศิษย์เหล่านี้ก็ยังพอมีโอกาสจะมีชื่ออยู่ในอันดับ”

ถึงแม้ว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของเว่ยหยวนตี้จะฟังดูแล้วสร้างแรงกดดันให้กับศิษย์ผู้อ่อนแออย่างมาก แต่พวกเขานั้นก็ไม่ยินดีที่จะให้ศิษย์ต้องตกตายโดยง่ายเช่นเดียวกัน

“ในกรณีที่ศิษย์ต้องพบเจอกับสัตว์ประหลาดที่ไม่อาจต้านทานได้ ขอให้กดปุ่มที่อยู่บนตัวส่งสัญญาณ และนั่นจะทำให้พวกเจ้านั้นกลับมาสู่โลกแห่งความจริง”

“เมื่อเวลาในมิติผ่านไปหนึ่งปี ศิษย์ทุกคนจะถูกส่งกลับมายังโลกแห่งความจริง และนั่นจะเป็นเวลาที่ประกาศอันดับของศิษย์”

“การประลองในทุกๆครั้ง ศิษย์ที่ติดอันดับสิบคนแรกจะได้รับรางวัลที่มหาศาล”

“ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน การให้รางวัลยังเป็นเฉกเช่นครั้งก่อนๆ แต่นอกจากนั้น ใครก็ตามที่ได้อันดับหนึ่ง จะสามารถติดตามกองกำลังของผู้บัญชาการสูงสุดและเฉกเช่นเดียวกันอีกเก้าคนนั้นจะได้รับวัตถุดิบบ่มเพาะที่ล้ำค่า”

“และท้ายที่สุดแล้ว เจ้าหน้าที่ จะคำนวณแต้มคะแนนรวมของศิษย์ในแต่ละสำนักเพื่อคิดคะแนนภาพรวมของสำนักแล้วจะทำการจัดอันดับสำนักกัน และนี่จะเป็นตัวตัดสินวัสดุในการบ่มเพาะของแต่ละสำนักในช่วงห้าปีต่อจากนี้ไป”

“เอาล่ะ ศิษย์ทั้งหลาย ตอนนี้นักเรียนทุกคนนำบัตรประจำตัวออกมาและชูขึ้นในอุโมงค์แสง และนั่นจะถือว่าเจ้านั้นยอมรับการเข้าร่วมประลองและถือว่าการประลองของเจ้าได้เริ่มขึ้นแล้ว อันดับการเข้าไปนั้นเป็น สำนักมังกรอาชูร่า สำนักเสือขาว สำนักวิหคอสนีบาตและสำนักเต่าดำ”

เมื่อเว่ยหยวนตี้พูดจบ ซุนไคได้สั่งให้ศิษย์สำนักมังกรอาชูร่าเรียงแถวเข้าอุโมงค์แสง เจิ้งยี่เป็นคนแรกที่ได้เข้าไป เขานำบัตรประจำตัวศิษย์สำนักออกมา และนำมาโบกที่หน้าอุโมงค์แสง หลังจากนั้นเขาก็ได้หายเข้าไปในอุโมงค์แสงในทันที

ในขณะเดียวกัน ข้อมูลของเขาก็ได้ปรากฏที่หน้าจอยักษ์

“เจิ้งยี่ สำนักมังกรอาชูร่า นักรบสายเลือดทองคำ(โลหะ)ระดับนายพลวิญญาณขั้นกลาง คะแนน 0 ”

เมื่อได้ศิษย์คนที่สองเข้าไปในอุโมงค์แสง ข้อมูลใหม่ก็ได้ปรากฏขึ้นมาถัดลงมาจากเจิ้งยี่

หลังจากที่ได้ฟังกฎการประลองทั้งหมดแล้ว ในที่สุด ศิษย์ทุกคนนั้นก็ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการประลอง

นั่นก็เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกถึงอันตราย พวกเขาสามารถจะออกมาได้ทุกเมื่อ

ในครั้งนี้มีศิษย์สี่สำนักที่เข้าร่วมทั้งหมดจำนวนสามพันเจ็ดร้อยคน

แต่ท้ายที่สุดแล้วจะมีเพียงห้าร้อยคนเท่านั้นที่จะมีรายชื่ออยู่ในอันดับ

และอันดับของศิษย์ห้าร้อยคนนี้จะกลายเป็นคะแนนของสถาบัน

และผู้ชนะอันดับหนึ่งในห้าร้อยคนนี้จะมีโอกาสได้ติดตามผู้บัญชาการสูงสุดเข้าร่วมมิติจักรพรรดิ

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset