ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 161 ใจที่เปลี่ยนไป

บทที่ 161 ใจที่เปลี่ยนไป

ฟางยี่และชุนเต๋านั้นเป็นคนประเภทเดียวกัน และเธอเองก็มีระดับการบ่มเพาะเพียงระดับนายพลวิญญาณขั้นต้น

ด้วยการที่มีสายสัมพันธ์ประดุจพี่น้องของชุนเต๋าและฟางยี่ รวมถึงท่าทางมิตรไมตรีของหลินฟาน นี่จึงทำให้ ต่อให้หลินฟานยังไม่ได้ทำอะไรเลยก็สามารถครองใจฟางยี่ได้โดยง่าย

หลินฟางเองนั้นไม่อยากจะเสียเวลากับฟางยี่มากนัก เขาจึงได้นำมือที่มีประกายแสงวางบนหันของฟางยี่เบาๆ

ฟางยี่ในตอนนี้ที่โดนแตะหัวก็เริ่มรู้สึกตัวและมองไปที่หลินฟาน เมื่อเธอพบว่าหลินฟานนั้นมีท่าทางที่เย็นยะเยือก นี่ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะถามออกมาลอยๆ “ศิษย์พี่หลินฟาน ท่านจะทำอะไรกัน”

ด้วยความแข็งแกร่งของหลินฟานนั้นทำให้เธอเองก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา และเป็นตอนนี้ที่เธอรู้สึกเย็นวาบตรงจุดชีพจรลับไป่ฮุยที่อยู่กลางหัว ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะยังไม่รู้ตัว

หลินฟานไม่ได้ใส่ใจต่อฟางยี่อีก เขาหันไปมองชุนเต๋าแล้วพูดออกมา

“ชุนเต๋า ข้าทำตามที่เจ้าขอแล้ว ตอนนี้พวกเราควรจะทำตามแผนกันได้แล้ว ใช่รึเปล่า”

“ชุนเต๋า หมอนี่หมายถึงอะไรกัน”

ชุนเต๋าพยักหน้ารับอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นว่าฟางยี่ถูกฝังแผ่นพลังงานได้สำเร็จ “พี่ฟางยี่ หันหลังมานี่หน่อยสิ ขอฉันดูหน่อย”

ฟางยี่นั้นไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งเธอได้ยินคำขอของชุนเต๋าก็ทำตามแต่โดยดี

และเป็นตอนนี้ที่เธอพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง

มีปีกสีเงินคู่หนึ่งอยู่บนหลังของเธอ และปลิวไสวราวกับต้องลม

ใบหน้าของฟางยี่ซีดเผือดในทันทีที่เห็นปีกคู่นี้และรีบถามออกมา “เกิดอะไรขึ้น เป็นแบบนี้ได้ยังไง ชุนเต๋า ศิษย์พี่หลินฟาน เกิดอะไรขึ้นกันแน่”

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่หลินฟานจะได้ทำอะไร เธอก็ได้เห็นว่าชุนเต๋านั้นมีบางอย่างแปลกๆ

ชุนเต๋านั้นกลับมองปีกของเธอด้วยความตื่นเต้น แถมยังใช้มือลูบไล้ไปมาอีกด้วย

“ว้าวววว พี่ฟางยี่ ปีกของพี่ช่างสวยงามนัก”

“ไม่ต้องกังวลหรอกนะ นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เจ้าแค่ต้องใช้เวลาปรับตัวเท่านั้นเอง”

“พอผ่านไปได้สักครึ่งวันเจ้าก็จะขยับปีกนี่ได้อย่างใจนึก จะสั่งให้มันขยับไปมายังไงก็ได้”

เมื่อได้ยินแบบนั้น ฟางยี่ก็เริ่มเข้าใจอะไรขึ้นมา

“ชุนเต๋า นี่…นี่หมายความว่าเจ้ากับศิษย์พี่หลินฟาน…เป็นคนทรยศ”

“ทรยศเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า พี่ฟางยี่ไม่เห็นต้องใช้คำรุนแรงขนาดนั้นเลย”

“พี่เองก็ชอบศิษย์พี่หลินฟานไม่ใช่เหรอ หรือว่าพี่ยังชอบตงเจี๋ยนของข้าอยู่กัน”

“พวกเรานั้นเป็นทั้งพี่น้องและเพื่อนสนิทนะ”

“ท่านเองก็ชอบในสิ่งที่ข้าชื่นชอบด้วยไม่ใช่รึไงกัน”

“ในเมื่อเป็นแบบนั้น ข้าเองก็แค่ทำในสิ่งที่ท่านเป็นเพียงเท่านั้นเอง”

“ตอนนี้พี่กับข้าเองก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว ในอนาคต พวกเรานั้นจะสามารถอยู่ร่วมกันได้ทุกวี่วันแล้วนา ไม่ดีรึไงกัน”

หลังจากพูดจบ ชุนเต๋าได้สยายปีกออกมาแล้วมายืนข้างๆฟางยี่ ก่อนที่จะใช้ปีกรัดพัน ทั้งสองนั้นดูสวยงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ด้วยปึกนี้

แต่ถึงอย่างนั้น ฟางยี่ก็ยังเงียบงัน

“ชุนเต๋า เจ้าก็รู้ไม่ใช่เหรอว่ามนุษย์กลายพันธุ์และมนุษย์นั้นเป็นศัตรูคู่อาฆาต ตราบใดที่พวกเราถูกค้นพบ พวกเราต้องตกตาย”

“ข้าเองก็เป็นพี่น้องที่ดีของเจ้า แล้วทำไมเจ้าถึงทำกับข้าเช่นนี้”

“พวกเราเติบโตมาด้วยกัน พวกเราไม่ใช่เพื่อนที่ดีต่อกันรึไง”

“แล้วทำไม….ทำไม…..เจ้า…..เจ้าไม่ฆ่าข้าไปซะเลยล่ะ

หลินฟานได้มองไปที่ฟางยี่ที่กำลังร้องไห้และตะคอกออกมาก่อนที่จะพูดออกมาอย่างไม่แยแส “เอาล่ะ ร้องไห้พอรึยัง”

เขามีสีหน้าที่เรียบเฉยก่อนที่จะพูดออกมาต่อ

“เป็นมนุษย์กลายพันธุ์แล้วผิดตรงไหน”

“เทียบกับมนุษย์แล้ว พวกเรานั้นมีความเร็วในการบ่มเพาะสูงล้ำกว่ามาก”

“ตราบใดที่เจ้าต้องการ การเข้าสู่ระดับราชานั้นไม่ใช่ว่าจะไม่เป็นไปได้”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฟางยี่ได้หยุดร้องไห้ในทันที ก่อนที่จะหันไปมองชุนเต๋าด้วท่าทางประหนึ่งดังน้ำแข็งหมื่นปี

ที่ผ่านมานั้นเธอเองอยู่ด้วยกันกับชุนเต๋ามาโดยตลอด นอกจากความรักใคร่ประดุจพี่น้องที่มีเพียงน้อยนิดแล้ว ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากพ่อของชุนเต๋านั้นคือผู้บริหารของสำนักทั้งหมดทั้งสิ้น

แต่ตอนนี้มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ในตอนนี้ทุกคนคือมนุษย์กลายพันธุ์ที่ต้องเก็บไว้เป็นความลับร่วมกัน สถานะของทุกคนในตอนนี้เท่าเทียมกัน แล้วทำไมเธอต้องไว้หน้ายัยผู้หญิงบ้าผู้นี้อีก

ชุนเต๋านั้นไม่ได้สนใจท่าทางของฟางยี่อีกต่อไป แต่เธอนั้นกลับสนใจสิ่งที่พึ่งจะได้ยินมากกว่าจึงได้ถามออกมา

“หลินฟาน ที่เจ้าพูดออกมาเป็นความจริงเหรอที่ว่าพวกเราสามารถก้าวไปอยู่ระดับราชาได้น่ะ”

ฟางยี่ในตอนนี้มีท่าทีที่สงบลงและมองไปที่หลินฟานอย่างคาดหวัง

“แน่นอน”

หลินฟานได้พูดออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ แต่ในเมื่อนี่เป็นโอกาสอันดีเขาจึงคิดจะเปลี่ยนหัวข้อการพูดคุยเป็นเรื่องนี้ “หากพวกเจ้าต้องการก้าวเข้าสู่ระดับราชาให้เร็วที่สุด พวกเจ้าจะต้องเร่งสร้างผลงานให้กับมนุษย์กลายพันธุ์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

“พวกเจ้าก็คงจะรู้ดีว่าตัวข้านั้นไม่กี่ปีก่อนยังเป็นเพียงทหารสายเลือดเพียงเท่านั้น แล้วพวกเจ้าคิดว่าหากข้ายังเป็นมนุษย์แล้วข้าจะมาถึงระดับนี้อย่างนั้นเรอะ”

“น่าตลกสิ้นดี”

“แน่นอนว่าเป็นเพราะข้านั้นรวบรวมข้อมูลสำคัญให้กับมนุษย์กลายพันธุ์ และใช้รางวัลเหล่านั้นในการยกระดับการบ่มเพาะ”

“พวกเจ้าเองก็โอกาสที่จะได้รางวัลเหล่านั้นเพียงแค่ทำผลงานดีๆให้กับกองทัพมนุษย์กลายพันธุ์เพียงเท่านั้น อย่างเช่นข้า ข้านั้นไม่เพียงจะได้รับทรัพยากรในการบ่มเพาะเท่านั้น เขายังได้รับมอบอำนาจในการเป็นหัวหน้าทีมและได้รับแผ่นแก่นพลังงานเหล่านี้มาเพื่อหาสมาชิกทีมของตน”

เมื่อหลินฟานพูดจบ ฟางยี่ได้ยื่นมือออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงแข็งขัน “หลินฟาน ข้าเองก็ต้องการสร้างผลงานให้กับกองทัพมนุษย์กลายพันธุ์ ยิ่งไปกว่านั้นคือข้าจะหาสมาชิกทีมของตัวเอง ส่งแผ่นแก่นพลังงานมาให้ข้าซะ แล้วข้าจะไปหาคนแล้วทำให้คนผู้นั้นเป็นอย่างข้า”

หลินฟานได้กวาดตามองไปยังฟางยี่แล้วพูดออกมา “ฟางยี่ ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้สร้างผลงานอะไรเลยแล้วคิดจะสร้างทีมของตัวเองเนี่ยนะ”

“น่าขันนัก”

“การจะสร้างทีมนี้ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถจะทำได้”

“และข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่าเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะฝังแผ่นแก่นพลังงานนี้”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้ข้าเหลือแผ่นแก่นพลังงานเพียงสามแผ่นเท่านั้น”

“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้ากับชุนเต๋าก็ร่วมทางกันแล้วไปหาหลิวถังแห่งสำนักเสือขาว เฉินเฉียงแห่งสำนักเต่าดำ เว่ยฉิงเชินแห่งสำนักวิหคอสนีบาตและเจิ้งยี่แห่งสำนักมังกรอาชูร่าซะ”

“ถ้าพวกเจ้าพบใครเข้าให้รีบติดต่อข้าในทันที”

“หลินฟาน ต่อให้พวกเราเจอพวกมันแล้วจะให้เราติดต่อเจ้ายังไงล่ะ”

หลินฟานได้ยิ้มขึ้นมาก่อนท่จะนำกำไลสื่อสารของชุนเต๋าและฟางยี่มาและทำการถ่ายโอนข้อมูลของกำไลสื่อสารของเขาให้

“เมื่อใดก็ตามที่เจ้าพบคนเหล่านั้น รีบกดปุ่มนี้สามครั้ง แล้วข้าจะรีบไปยังตำแหน่งที่เจ้าอยู่ในทันที”

“ดี” ชุนเต๋าและฟางยี่พูดออกมาแทบจะพร้อมกัน หลังจากนั้นก็หันมามองหน้าแล้วเชิดใส่กันก่อนที่จะเดินจากไปค้นหาเป้าหมายคนละทิศคนละทาง

ที่หนึ่งที่อยู่ห่างออกไป เฉินเฉียงได้ปิดระบบบันทึกภาพของกำไลสื่อสาร และมองไปยังชุนเต๋าที่กำลังวิ่งตรงไปทางหนึ่ง เขานั้นไม่ลังเลที่จะนำธนูดำของตนออกมา ก่อนที่จะขึ้นสายลูกศรพลังงานไร้สีของเขาแล้วยิงออกไปสองดอก

เมื่อชุนเต๋ารู้ตัว เธอพยายามที่จะยกปีกของเธอมากันธนูของเฉินเฉียง

เธอนั้นไม่คิดว่าไม่เพียงจะไม่สามารถปัดป้องธนูนี้ได้แล้ว ด้วยการที่ค่าสถานะของเฉินเฉียงสูงกว่าชุนเต๋า นี่ทำให้ธนูของเขาทะลุร่างของเธอไป

“อ๊าาาาา”

หลังจากส่งเสียงกรีดร้องออกมา ชุนเต๋าก็ถูกส่งออกไปจากมิติประลอง

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset