ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 175 โกหก

บทที่ 175 โกหก

“องครักษ์ของอาจารย์เจ้า….นี่เจ้าไปมีอาจารย์อีกคนตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วใครเป็นอาจารย์ของเจ้า เขาอยู่ที่ไหนกัน”

เฉียนฝู่ได้รีบเร่งถามออกมา

ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเป็นผอ.ที่ยากจะสอบถามเรื่องราวความลับของลูกศิษย์ แต่ในเมื่อเฉินเฉียงกลับมีผู้พิทักษ์เป็นถึงระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงแบบนี้ นี่คือเรื่องใหญ่ที่ทำให้เขานั้นตั้งใส่ใจ

รวมไปถึงพลังในการต่อสู้ขององครักษ์หยานผู้นี้นั้น แม้แต่จ้าวหยางจากสำนักเต่าดำก็ไม่อาจจะทำอะไรเธอได้

นั่นก็เพราะเธอผู้นี้เป็นนายพลวิญญาณขั้นสูงที่เปิดจุดชีพจรลับทั้งสามสิบห้าจุดได้แล้วนั่นเอง

“ข้า รู้เพียงว่าอาจารย์ของข้านั้นเป็นชายใส่ผ้าคลุมสีเทาเพียงเท่านั้น ส่วนเรื่องเขาเป็นใคร ตอนนี้มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างไรนั้น ข้าไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อย”

“….ชายผ้าคลุมเทาเหรอ” เว่ยหยวนตี้เมื่อได้ยินก็รู้สึกประหม่าจนเผลอทวนย้ำออกมาเสียไม่ได

“ท่านเว่ย มีอะไรเหรอ” ซุนไคแห่งสำนักมังกรอาชูร่าถามออกมา “ท่านนึกอะไรออกอย่างนั้นเหรอ”

“ก็ไม่เชิง ข้านั้นไม่แน่ใจว่าคนที่เฉินเฉียงพูดถึงนั้นเป็นใครแต่นี่เองทำให้ข้านึกถึงองค์กรลับองค์กรหนึ่งขึ้นมา”

“องค์กรลับ ท่านเว่ย ท่านพูดถึงองค์กรลับไหนกัน”

“หุยตู่(องค์กรสีเทา)”

-อะไรคือหุยตู่ฟะ-

เฉินเฉียงมีท่าทีสับสนในทันที

เขานั้นได้โกหกออกไปว่าชายสวมเสื้อคลุมเทาเป็นอาจารย์ของเขาเพียงเท่านั้น

เขากลับนึกไม่ถึงว่าเว่ยหยวนตี้จะไปโยงเข้ากับองค์การลับอะไรนั่น ช่างน่าขันสิ้นดี

แต่ในเมื่อเพื่อซ่อนเรื่องราวนี้ไม่ให้ค้นพบ จะเป็นการดีกว่าถ้าผสมเรื่องราวนี้เข้าด้วยกัน เขาจึงได้ถามออกไป “องค์กรหุยตู่คืออะไรกัน”

เว่ยหยวนตี้ที่ได้ยินก็สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะถอนมันออกมาอย่างหนักและพูดออกมา “พวกเราจะคุยกันเรื่องนี้ทีหลัง เฉินเฉียง องครักษ์ของเจ้านั้นบาดเจ็บหนักมาก พวกเราต้องรีบหาคนรักษาเธออย่างดีในตอนนี้…”

“ไม่ต้อง” เฉินเฉียงรีบยกมือขึ้นห้ามปรามและพูดออกมา “องครักษ์หยานนั้นไม่ยอมให้ใครแตะต้องตัวไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม หากว่ามีใครแตะต้องตัวเธอ เธอพร้อมที่จะฆ่าคนคนนั้นในทันทีและทุกเมื่อ ถึงแม้ข้านั้นจะเป็นเพียงนักเล่นแร่แปรธาตุระดับเริ่มต้น แต่ข้าขอเป็นคนรักษาเธอเองก็แล้วกัน”

เฉินเฉียงพูดปฏิเสธออกมาอย่างไม่ไยดีและไม่เคารพแต่อย่างใด แน่นอนว่าเขานั้นไม่อาจให้เว่ยหยวนตี้พาตัวเธอไปรักษาได้เป็นอันขาด

นั่นก็เพาะหากเป็นเช่นนั้น สถานะมนุษย์กลายพันธุ์ของเธออาจถูกเปิดเผย และนั่นจะทำให้เธอนั้นถูกเว่ยหยวนตี้ฆ่าตายในทันที

เว่ยหยวนตี้เองเมื่อได้ยินก็ไม่ได้เห็นด้วยมากนัก แต่เขาก็ทำได้เพียงพูดเตือนออกมาเพียงเท่านั้น “เฉินเฉียง เจ้านั้นต้องจัดการเรื่องนี้เป็นอย่างดี ไม่อย่างนั้นละก็มันอาจนำพาปัญหาใหญ่มาให้เขตกันหนันได้”

หลังจากพูดคุยเรื่องนี้เสร็จสิ้น พวกเขาจึงเข้าสู่หัวข้อสนทนาหลักในทันที

“เฉินเฉียง เจิ้งยี่จากสำนักมังกรอาชูร่านั้นบอกว่าหลินฟานที่เจ้าสู้ด้วยก่อนหน้านี้นั้นคือมนุษย์กลายพันธุ์ เจ้ารู้เรื่องนี้รึเปล่า”

เฉินเฉียงได้พูดออกมาอย่างถอดถอนลมหายใจ “ท่านเว่ย ข้าว่าท่านจะรู้เรื่องนี้ดี หากว่านำร่างของหลินฟานมาที่นี่ไม่ใช่รึ ส่วนที่ว่าเขาเป็นมนุษย์กลายพันธุ์หรือไม่นั้นข้าไม่กล้าที่จะเอ่ยปากหรอก” เฉินเฉียงพูดตอบเว่ยหยวนตี้กลับไป

ไม่นาน ศิษย์สำนักเสือขาวสองคนได้ช่วยการแบกซากร่างที่ไม่ครบสามสิบสองของหลินฟานขึ้นมาบนลานที่นั่งของแขกผู้ทรงเกียรติด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย

เฉินเฉียงได้เดินเข้าไปโดยไวก่อนที่จะยื่นมือขวาออกไป

หลินฟานนั้นมีทักษะการโจมตีทางจิตวิญญาณที่ทรงพลังอย่างมาก หากว่าเขาได้เรียกรู้ทักษะนี้ไปละก็ เขาเชื่อว่ามันจะช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ของเขาได้อย่างมาก

เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะยกระดับเคล็ดวิชาทักษะภาพวาดมหาสมุทรจากระดับต้นเป็นระดับสูงเลยก็ได้

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เฉินเฉียงจะได้แตะร่างของหลินฟาน เขาถูกหยุดไว้ด้วยเฉียนฝู่

“เฉินเฉียง หยุดก่อน”

เฉินเฉียงได้ถอนมือออกมาในทันทีพร้อมท่าทีที่สับสนและมองกลับไปหาเฉียนฝู่อย่างงงๆ

ผอ.เฉียนได้เดินมายืนข้างเฉินเฉียงและพูดออกมาด้วยท่าทางจริงจัง “เฉินเฉียง ด้วยการที่พวกเรายังไม่รู้ว่าหลินฟานนั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์หรือไม่”

“มันจะดีกว่าหากจะให้คนอื่นเป็นคนตรวจสอบเรื่องนี้ และจะให้ดีที่สุดคือให้ผอ.หลัวเป็นคนตรวจสอบศพของหลินฟานด้วยตนเอง”

“ถ้าไม่อย่างนั้นละก็คงมีใครบางคนกล่าวหาเจ้าอีกก็เป็นได้ว่าเจ้านั้นใส่ร้ายหลินฟาน และสร้างเรื่องให้กับเจ้าอีก”

เฉินเฉียงที่ได้ยินก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยในทันที

นั่นก็เพราะคำพูดของเฉียนฝู่นี้มีความเป็นไปได้อย่างมาก

ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาเองเห็นไอ้ท่าทางอวดเบ่งและเสียมารยาทของศิษย์สำนักเสือขาวมาแล้วนักต่อนัก

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขานั้นจะมีหลักฐานมัดตัวหลินฟานว่าเป็นมนุษย์กลายพันธุ์อยู่กับตัวแล้วก็ตาม แต่หากเปิดเผยมันออกมาอย่างไม่ถูกเวลา มันจะดีกว่าหากเขาไม่นำมันออกมาเลยด้วยซ้ำ

ถึงแม้คำพูดของเฉียนฝู่จะไม่เข้าหูหลัวเฟิงอย่างมาก แต่เขานั้นก็ไม่มีอารมณ์จะต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป

นั่นก็เพราะนอกจากอัจฉริยะของสำนักเขานั้นที่พึ่งจะสร้างเกียรติยศให้กับสำนักจะต้องมาตกตายต่อหน้าต่อตาเขาแล้ว ไหนจะเรื่องที่ถูกหาว่าเป็นมนุษย์กลายพันธ์ุอีก นี่ทำให้หลัวเฟิงนั้นไม่คิดจะเก็บเรื่องนี้ให้มันเงียบเฉยๆได้อีกต่อไป

“หลินฟาน เจ้าน่าสังเวชนัก”

หลัวเฟิงได้เดินไปที่ข้างหลินฟานและมองไปที่ซากร่างของศิษย์รักที่ตกตายและอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา

เขาได้ให้อภัยกับท่าทางเสียมารยาทที่หลินฟานทำต่อเขาไปเรียบร้อยแล้ว

แต่เพียงแค่คิด เขาก็อดที่จะนึกเศร้าเสียใจไม่ได้เพียงเท่านั้น

แต่ยังไงซะกับเรื่องนี้ เขาจำเป็นต้องทำมันด้วยตัวเอง

หลังจากนิ่งไปพักหนึ่ง ในที่สุด หลัวเฟิงก็ได้วางมือของตนไปที่จุดตันเถียนลับไป่ฮุยบนหัวของหลินฟาน และเริ่มใช้พลังดึงดูด

หลังเฟิงได้ตกตะลึงในทันที

“ผอ.หลัว เป็นยังไงบ้าง”

“ไอ้เฒ่า ผลออกมาเป็นยังไง”

เมื่อทุกคนเห็นหลัวเฟิงไม่พูด พวกเขาจึงทำได้เพียงถามออกมา

ในที่สุด หลัวเฟิงก็ได้แบมือออก

มันเป็นแผ่นแก่นพลังงานที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดอยู่ในมือเขา

ในที่สุดความจริงก็ได้ปรากฏ

“ที่นี้ข้าก็แตะตัวเขาได้แล้วใช่รึเปล่า”

เมื่อเฉินเฉียงได้เห็นว่าทุกคนรู้ความจริงก็ได้ยื่นมือพร้อมใบหน้าที่ยิ้มกริ่ม

อย่างไรก็ตาม หลัวเฟิงได้รู้สึกโกรธขึ้นมาในทันทีที่เห็นท่าทางนี้ของเฉินเฉียง

ปัง

เสียงดังก้องได้บังเกิด เป็นหลัวเฟิงใช้พลังของตนอัดกระแทกซากร่างของหลินฟานที่อยู่ตรงเท้าของเขา

เพียงชั่วพริบตา ร่างของหลินฟานก็มลายสิ้น สมบัติล้มค่าของเฉินเฉียงได้หายไปต่อหน้าต่อตา

เฉินเฉียงนิ่งอื้งไปก่อนที่จะใช้มือคว้าจับอากาศตรงหน้า

“เฉินเฉียง เจ้าทำอะไรน่ะ” เฉียนฝู่ได้ถามออกมาอย่างสับสนในทันทีเมื่อเห็นท่าทางของเฉินเฉียงในตอนนี้

เฉินเฉียงนิ่งคิดไปเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างละอายใจ “ผอ.หลัวนี่ก็เหลือเกินเหลือการจริงๆ ทำไมถึงรีบทำลายหลักฐานไปซะล่ะ”

“เฉินเฉียง เจ้าว่ายังไงนะ”

หลัวเฟิงและเหล่าศิษย์สำนักเสือขาวในตอนนี้นั้นต่างก็รู้สึกเสียหน้าอย่างมากนั่นก็เพราะพวกเขานั้นเป็นคนพิสูจน์ซากร่างของหลินฟานและพบว่าเขานั้นคือมนุษย์กลายพันธุ์ด้วยมือของผอ.ตนเอง

แถมมาตอนนี้เฉินเฉียงยังบอกอีกว่าหลัวฟางทำลายหลักฐานการก่ออาชญากรรมของหลินฟาน นี่ทำให้พวกเขาไม่อาจทนได้อีกต่อไป

ต่อให้เฉินเฉียงในตอนนี้จะกลายเป็นระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางที่เปิดขอบเขตเจตจำนงแห่งการต่อสู้ได้แล้ว แต่เขาจะไปรับมือนักรบระดับราชาได้ยังไงกัน

เฉียนฝู่ได้รีบดึงเฉินเฉียงที่อยู่ข้างๆมาไว้ข้างหลัง และคิดจะใช้โอกาสนี้ให้เฉินเฉียงได้อธิบายออกมา “เฉินเฉียง เจ้าอย่าได้พูดไร้สาระ”

“ผอ.เฉียน ก็ข้าพูดความจริงนี่นา นี่ขนาดว่าหลินฟานถูกเปิดเผยแล้วว่าเขานั้นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ไปแล้วก็ยังถูกปกป้องโดยการทำลายหลักฐานไปอีก ในแหวนของเขานั้นมีหลักฐานการก่ออาชญากรรมอยู่ด้วย”

“หลักฐานห่าเหวอะไรของเจ้าที่ว่ามันอยู่ในแหวนของเขากัน” หลัวเฟิงที่ยังคงยืนอยู่ได้ยื่นแหวนของหลินฟานแล้วถามออกมา “ถึงแม้ข้าจะรู้สึกเสียใจแต่ยังไม่ถึงขั้นเสียสติ แหวนของหลินฟานอยู่นี่ บอกข้ามาว่าหลินฟานเก็บหลักฐานอะไรไว้กับตัวกันแน่”

เฉินเฉียงไม่ได้รับแหวนวงนั้นมาแต่อย่างใด เขากลับมองไปยังหลัวเฟิงด้วยสายตาเอือมระอาและพูดออกมา “เพื่อไม่เห็นเกิดปัญหาอะไรขึ้นอีก ข้าว่าจะดีกว่าถ้าให้ท่านนั้นเป็นคนนำของข้างในออกมาด้วยตัวเอง”

หลัวฟางนิ่งคิดไปเล็กน้อยก่อนที่จะเปิดแหวนเพื่อพิสูจน์คำพูดของเฉินเฉียง เขาได้เทของข้างในออกมาจนหมด

“นั่นแหล่ะ”

เฉินเฉียงเมื่อได้เห็นของที่เทออกมาจึงได้รีบยื่นมือซ้ายไปหยิบแผ่นแก่นพลังงานขึ้นมา ในขณะเดียวกันเขาก็ต้องประหลาดใจมากขึ้นเมื่อพบว่าความจริงแล้วหลินฟานนั้นมีแผ่นแก่นพลังงานเหลืออยู่ถึงสองแผ่น

แน่นอนว่าต้องเป็นเพราะมันนั้นมีค่าอย่างมหาศาล

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset