ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 185 รากฐานทั้งสาม

บทที่ 185 รากฐานทั้งสาม

ในขณะที่เฉินเฉียงและคนอื่นๆอีกเก้าคนนั้นกำลังวุ่นวายในการบ่มเพาะ ที่ด้านนอกของตึกจอมพลเองที่สนามฝึกซ้อมก็วุ่นวายไม่แพ้กัน

ศิษย์สี่สำนักอีกสี่ร้อยเก้าสิบคนนี้ได้ทำการประลองกันเพื่อที่จะได้รับสิทธิในการเลือกเข้ากองกำลังที่ตนต้องการ

และในสนามประลองนี้ เหล่าผู้การจากสามตึกจอมพลได้มารวมกันที่นี่ พวกเขานั้นต่างก็พูดคุยและหัวเราะกันไปมาระหว่างการรับชมการประลองของเหล่าศิษย์ตัวน้อยที่อยู่ด้านล่างเวที

“พี่จ้าว ถึงแม้ว่าหลินฟานจะทำให้สำนักเสือขาวต้องตกอยู่ในสภาพนี้ แต่หากดูสถานการณ์ในตอนนี้นั้นก็พอจะเรียกได้ว่าตึกจอมพลภาคกลางของเรานั้นประสบความสำเร็จอยู่ไม่น้อยเหมือนกันนา”

จ้าวลี่ ผู้การแห่งกองกำลังตึกภาคกลาง ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าอยู่ในอันดับสองของตึกภาคกลางนี้ได้แข่งขันกับเว่ยหยวนตี้มานานแล้ว

อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ตึกกองกำลังภาคกลางนี้อยู่ในอันดับหนึ่งของตึกกองกำลังทั้งของเขตภูมิภาค แม้แต่หยวนตี้ที่อยู่ในระดับเดียวกันนี้ก็ยังต้องเคารพยำเกรงไม่น้อย

และจ้าวลี่เองนั้นไม่คิดที่จะแสดงความเคารพออกมาแต่อย่างใด

นั่นก็เพราะด้วยเรื่องนี้แล้ว เว่ยหยวนตี้คงไม่อาจจะขึ้นเป็นผู้การสูงสุดคนถัดไป ตามความคิดของเขานั้น ตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดคนถัดไปของตึกจอมพลภาคกลางสมควรจะเป็นของเหรินหมิง ที่ตอนนี้ดำรงตำแหน่งเป็นผู้การของตึกจอมพลภาคกลาง

จ้าวลี่ในตอนนี้เมื่อได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางเสียดายออกมาและพูดตอบ “ไอ๊หยา ข้านั้นไม่คิดเลยจริงๆว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับสำนักเสือขาว ช่างน่าอับอายนัก”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือหากไม่ใช่เป็นเพราะศิษย์สำนักเต่าดำร่วมมือกับศิษย์สำนักมังกรอาชูร่าล่ะก็ พวกเราคงเสียหายอย่างมากเป็นแน่”

“การที่หลินฟานนั้นเลือกศิษย์สี่สำนักของภาคกลางแบบนี้ดูเหมือนว่ามันนั้นต้องวางแผนมานานแล้วเป็นแน่”

องครักษ์ของตึกจอมพลเป่ยเชินที่มีนามว่าหลิวตันได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงนิ่งลึก “พี่จ้าวก็กล่าวเกินไป”

“ในปีที่ผ่านมานี้พวกเราเหล่ามนุษย์ถูกก่อกวนโดยมนุษย์กลายพันธ์ุหลายครั้งหลายหนจนทำให้บางคนเริ่มชาชินในเรื่องนี้และยอมแม้กระทั่งให้พวกมันเปลี่ยนเป็นมนุษย์กลายพันธุ์”

“อย่างไรก็ตาม ข้าเชื่อว่าไม่ว่ายังไงก็ตาม เมื่อเด็กเหล่านี้กลับไปแล้ว ข้าคิดว่าคงต้องมีการประชุมกันสักทีแล้วล่ะ”

“ยังไงซะ ทั้งสี่สำนักก็เป็นสถานที่ชุบเลี้ยงเหล่านักรบของเผ่าพันธุ์เรา”

“สำหรับตึกเป่ยเชินของข้านั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการประลองสี่สำนักหรือแม้แต่เด็กๆที่เรียกเข้ากองกำลังที่นั่น ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ด้วยดีเฉกเช่นที่ผ่านมา”

“หลังจากศิษย์เหล่านี้สำเร็จการศึกษาแล้ว เหล่าศิษย์ของเหล่าสำนักวิหคอสนีบาตได้เลือกตึกจอมพลของข้าเป็นที่แรก และยังมีศิษย์จากสำนักอื่นเลือกมาเข้าร่วมกับตึกของข้าเป็นอันดับต้นๆ”

“แต่ก็อีกล่ะนะ ส่วนใหญ่แล้วไอ้พวกนี้ก็ตามสาวๆจากสำนักวิหคอสนีบาตมาทั้งนั้นแหละ”

“ในยุคสมัยนี้ อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลยที่อยากจะได้คู่ครอง แม้แต่เหล่าวีรบุรุษบางคนกันยังหาคู่ครองที่เหมาะสมยังไม่ได้”

“และยิ่งได้ครองคู่กับหญิงที่เป็นนักรบสายเลือด อย่าว่าแต่ระดับนายพลวิญญาณเลย แม้แต่ระดับทหารก็ยังยากเย็น”

“และนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตึกจอมพลเป่ยเชินของข้านั้น แม้จะดูไม่มีอะไร แต่กลับแข็งแกร่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ”

ในทุกๆครั้งที่ทั้งสามตึกได้รับคนมีความสามารถเข้ามาประจำอยู่ในตึกจอมพล เพื่อให้พวกเขาได้รับผู้มีความสามารถสูงล้ำมาเข้าร่วม ทั้งตึกจอมพลเขตกันหนันและเขตภาคกลางไม่เคยลังเลที่จะนำทรัพยากรจำนวนมากมาคอยล่อลวงศิษย์เหล่านี้ และนี่ทำให้มีศิษย์สำนักบางคนที่จบจากสำนักวิหคอสนีบาตได้มาเข้าร่วม พวกเขานั้นหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะดึงเหล่าศิษย์หญิงเหล่านี้ให้มาเข้าร่วมกับพวกเขาได้บ้าง

อย่างไรก็ตาม อย่าว่าแต่ปีนี้เลย แม้แต่ปีก่อนหน้านี่ผลก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก

เว่ยหยวนตี้ที่ได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแบบแหยๆ และมองไปที่ศิษย์ที่เข้าร่วมกับตึกจอมพลเป่ยเชินกว่าสองร้อยสี่สิบคนที่อยู่ตรงหน้า

ส่วนผู้การแห่งตึกจอมพลภาคกลางอย่างจ้าวลี่ไม่ได้คิดมากแต่อย่างใด

ยังไงซะ ตึกจอมพลเขตภาคกลางของเขานั้นมีถึงสำนักระดับสุดยอดอยู่ถึงสองสำนัก ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้รับศิษย์ที่มีความสามารถสูงล้ำเข้ามา แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขานั้นขาดผู้คนมากฝีมือแต่อย่างใด

“พี่จ้าว เรื่องของหลินฟานในครั้งนี้นั้นทำให้อันดับของสี่สำนักนี้มีการเปลี่ยนแปลง ถึงกระนั้น อย่างน้อยๆ เจิ้งยี่ที่อยู่ในอันดับหนึ่งของการประลองยังไงซะก็ต้องเลือกตึกจอมพลภาคกลางในฐานะองครักษ์เป็นแน่”

จ้าวลี่ที่ได้ยินก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เข้าเองเคยได้ยินชื่อของเจิ้งยี่มาก่อนแล้ว ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะจะต่ำไปหน่อยแต่ยังไงซะในช่วงหนึ่งเดือนนี้เขาสมควรจะพัฒนาฝีมือขึ้นมาได้ ดีไม่ดีอาจจะขึ้นไปสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงเลยก็ว่าได้”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือเขานั้นยังสามารถค้นพบสายลับมากมายได้ขนาดนี้ การได้รับเขาเข้าไปถือได้ว่าตึกจอมพลของข้าได้ประโยชน์อย่างที่สุด”

“แต่ยังไงซะกับเรื่องนี้ก็ต้องปล่อยให้เจ้าตัวตัดสินใจล่ะนะ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่จ้าวก็พูดเป็นเล่นไปได้ ในเหล่าศิษย์สี่สำนักนี่จะมีใครบ้างที่ไม่อยากเข้าตึกจอมพลภาคกลางและได้อยู่ในตำแหน่งองครักษ์บ้างล่ะ”

“ยิ่งไปกว่านั้นก็ศิษย์สำนักเสือขาวนั้นใช่ว่าจะมีเพียงหลินฟานเท่านั้นที่มีความสามารถสูงล้ำ”

“ข้านั้นคิดว่าแม้แต่เฉียวกังเองนั้น ระดับการบ่มเพาะของเขาสมควรจะเทียบเท่ากับหลินฟานได้เลยด้วยซ้ำ หากเขานั้นไม่ได้โดนหลินฟานแย่งตำแหน่งดาวเด่นไปล่ะก็ ดีไม่ดีป่านนี้เขาคงจะได้ที่หนึ่งแล้ว”

“ข้าเองก็คิดว่าเขานั้นมีโอกาสอย่างมากที่จะเข้าเป็นองครักษ์ของตึกจอมพลภาคกลางด้วยเช่นกัน ท่านไม่คิดอย่างนั้นหรอกเหรอ”

“อืมมมม แต่พูดน่ะมันก็ง่ายล่ะนะ เอาเป็นพวกเราไว้คุยเรื่องนี้หลังจากที่เขาออกมาก็แล้วกัน”

“จะว่าไปข้าว่าเลิกพูดเรื่องตึกจอมพลภาคกลางกันดีกว่า พี่เว่ย ข้าได้ยินมาว่าสำนักเต่าดำที่อยู่ในเขตกันหนันนี้มีผลงานไม่น้อยเลยนี่นา ไม่เพียงจะดึงสำนักเสือขาวลงมาจากอันดับสองได้แล้ว เจ้าเองก็ยังชุบเลี้ยงอัจฉริยะผู้หนึ่งเอาไว้ใช่ไหมล่ะ”

“แล้วอีกอย่าง…..พี่เว่ย ข้าได้ยินมาว่าลูกสาวที่รักของท่านนั้นมีร่างกายกระจ่างจิตที่อยากจะพบเจอนี่นา”

“ไม่ว่าใครก็รู้ว่าร่างกระจ่างจิตนั้นหมายความว่ายังไง”

“หากว่าไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ เธอเองก็สมควรจะเรียกว่าที่ราชาล่ะนะ ไม่สิ ยังไงซะระดับราชาก็ไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว….”

เมื่อเว่ยหยวนตี้ได้ยินแบบนี้ เขานั้นก็ยังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นต้องการสื่ออะไรกันแน่

พวกเขาทั้งสองคนนั้นต่างก็สู้กันเรื่องตำแหน่งหน้าที่แบบนี้มากว่าสิบกว่าปีแล้ว นี่จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะคุ้นเคยกับนิสัยของจ้าวลี่คนนี้อย่างมาก

แต่จ้าวลี่คนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้นั้นกลับเป็นคนที่เขานั้นไม่เคยคุ้นเคยมาก่อน หากไม่ใช่ว่าสนิทกันถึงขั้นระดับนี้แล้ว เขาเองคงจะตอกหน้าหงายเพราะรำคาญไปแล้ว

และด้วยความคุ้นเคยนี้เองจึงเป็นเหตุให้ตึกจอมพลเขตกันหนันแห่งนี้ไม่อาจจะเทียบเคียงกับตึกจอมพลภาคกลางนี้ได้

ตึกจอมพลของเขาจะไปเทียบกับตึกจอมพลที่มีผู้การมากมายแบบนี้ได้ยังไงกันล่ะ

และก่อนที่เว่ยหยวนตี้จะได้พูดอะไรออกมา หลินเฟิงที่อยู่อยู่ข้างๆก็ได้ถามออกมาตรงๆ “ข้าบอกตรงๆเลยนะท่านจ้าว เท่าที่ข้ารู้มา คุณหนูฉิงเชินนั้นจะไปเข้าร่วมกับตึกจอมพลเหมันต์จันทราของข้า”

“โอ้” จ้าวลี่ที่ได้ยินก็คิ้วขมวดในทันใด ถึงเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ท่าทางของเขาแสดงออกมาอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย

“หลินเฟิง นี่เจ้าจะไปเสียมารยาทต่อหน้าท่านจ้าวไม่ได้นะ”

เว่ยหยวนตี้ได้ดุออกมาในทันที ก่อนที่จะหันไปหาจ้าวลี่และยิ้มออกมา “พี่จ้าว ก็อย่างที่ท่านว่าไว้ก่อนหน้านี้ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เราจะมาพูดคุยกัน ยังไงซะเรื่องเหล่านี้ก็ขึ้นกับตัวเด็กเหล่านั้นเอง ใช่ไหมล่ะ”

จ้าวลี่พยักหน้าเห็นด้วยขึ้นมา ก่อนที่จะมองกลับไปยังศิษย์สำนักจำนวนร้อยยี่สิบคนที่เข้าร่วมกับตึกจอมพลภาคกลาง หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

หากเขานั้นสามารถได้รับศิษย์สิบอันดับแรกสักครึ่งหนึ่งได้ล่ะก็ ภารกิจของเขานั้นก็ถือได้ว่าสำเร็จด้วยดีแล้ว

หากเทียบกันแล้ว ถึงแม้ว่าตึกจอมพลเป่ยเชินนั้นจะมีศิษย์ที่เข้าร่วมมากที่สุดก็ตาม อีกทั้งส่วนใหญ่แล้วจะมีระดับการบ่มเพาะในระดับนายพลวิญญาณอีกด้วย

แต่หากดูในภาพรวมแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะได้คนไปเยอะ แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นก็ยังถือได้ว่าน้อยนิด

แต่กับเรื่องที่ว่าตึกจอมพลเป่ยเชินนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด นั่นก็เพราะเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยส่วนใหญ่แล้วอาศัยอยู่ที่นั่น แถมพื้นที่ของพวกเขานั้นยังถูกโอบล้อมโดยเขตพื้นที่ของตึกจอมพลกันหนันและตึกจอมพลภาคกลาง จะมีก็เพียงในการสงครามที่ยากจะจัดการได้เท่านั้น พวกเขาถึงจะยอมเคลื่อนพลมาช่วย

หรือจะให้บอกอีกทางหนึ่งนั่นก็คือ ที่นั่นคือสถานที่เพาะเผ่าพันธุ์ของมนุษยชาติ

ส่วนตึกจอมพลเขตกันหนันนั้น ด้วยความที่ความแข็งแกร่งอยู่ในระดับกลาง นี่จึงทำให้น้อยคนนักที่จะสนใจ บางคนไม่มองเสียด้วยซ้ำ

พวกเขานั้นช่างอเนจอนาถเป็นยิ่งนัก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset