ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 188 เจิ้งยี่ตัดสินใจ

บทที่ 188 เจิ้งยี่ตัดสินใจ

เฉินเฉียงหันหน้ากลับไปมองหลินเฟิงและพูดออกมาด้วยเสียงที่นิ่งลึกยิ่งกว่า “ท่านหลิน ถึงแม้กองกำลังเทียนเว่ยจะไม่ได้มีคนมากมาย แต่ข้า เฉินเฉียงผู้นี้ ขอปรารภไว้เลยว่าพวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นวีรบุรุษแห่งเผ่าพันธุ์”

“เป็นเกียรติของข้ายิ่งนักที่ได้เข้าร่วมกองกำลังนี้”

ต่อให้ต้องถามอีกต่อไป หลินเฟิงแค่ดูท่าทีของเฉินเฉียงก็รับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าเฉินเฉียงแน่วแน่ขนาดไหน

และด้วยเหตุที่ว่าต่อให้เฉินเฉียงเข้าร่วมกับกองกำลังเทียนเว่ยนั้น ก็ยังถือว่าเป็นสมาชิกของตึกจอมพลเหมันต์จันทราอยู่ดี

หลังจากเฉินเฉียงได้เลือกเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกๆคนก็ได้หันไปสบตาเข้ากับที่หนึ่งแห่งการประลองสี่สำนักในครั้งนี้ เจิ้งยี่

“ฮ่าฮ่าฮ่า เจิ้งยี่ อย่างที่คิดจริงๆว่าอันดับหนึ่งแห่งสำนักมังกรอาชูร่าต้องเป็นอันดับหนึ่งของรุ่นในครั้งนี้”

“เอาอย่างนี้เป็นยังไงล่ะ หากเจ้าติดตามข้า ข้านั้นจะให้เจ้าเป็นองครักษ์ของท่านผู้บัญชาการสูงสุดเลยเป็นยังไง”

หลังจากพูดจบ จ้าวลี่ก็ได้ปรายตาไปยังอันดับสี่ของการประลอง เฉียวกังแห่งสำนักเสือขาว

“เฉียวกัง แล้วเจ้า…..”

แต่ก่อนที่จ้าวลี่จะได้พูดประโยคถัดไปออกมา เจิ้งยี่ก็ได้พูดตัดบทก่อน

“ข้าต้องขอโทษด้วยท่านจ้าว ข้าเลือกที่จะเข้าร่วมกับตึกจอมพลเหมันต์จันทราแห่งเขตกันหนัน”

“ห้ะ” จ้าวลี่ได้สะดุ้งออกมาอย่างสับสน

นักเรียนรุ่นนี้เป็นอะไรกันไปหมด

สี่ในห้าอันดับแรกเลือกที่จะเข้ากับตึกจอมพลเหมันต์จันทราเนี่ยนะ

ด้วยการที่เขาคุยโวเอาไว้มาก แต่ในตอนนี้เขากลับยังไม่ได้อัจฉริยะของรุ่นเอาไว้เลยสักคนเดียว นี่มันจะไม่ทำให้เขาอับอายไปหน่อยรึไงกัน

เขามองไปที่เว่ยหยวนตี้ที่อยู่ข้างๆเขาอีกครั้ง ตั้งแต่ต้นจนจบ เว่ยหยวนตี้ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยสักคำ

ถ้าจะให้พูดจริงๆคือเขานั้นพูดอะไรไม่ออก

เว่ยฉิงเชิน หลู่ฟาง และเฉินเฉียงนั้น มีเหตุผลที่จะเข้าร่วมกับตึกจอมพลเหมันต์จันทรา เรื่องนี้เขานั้นไม่ได้ประหลาดใจแต่อย่างใด แต่การที่อันดับหนึ่งของรุ่นก็ยังต้องเข้าร่วมกับพวกเขาด้วยนี่สิที่เขานั้นไม่เข้าใจ

หรือจะเป็นฟ้าได้เปิดตาออกและพบว่าพวกเขานั้นได้รับความอัปยศมานานหลายปีจึงได้มอบสิ่งดีๆแบบนี้ให้กับพวกเขากัน

เว่ยหยวนตี้ได้มองไปที่หลินเฟิงเพื่อดูว่าตนนั้นถูกเมฆหมอกปิดกั้นหูตาไว้บ้างรึเปล่า

อย่างไรก็ตาม หลินเฟิงนั้นกลับยิ้มแฉ่งออกมาอย่างน่าหมั่นไส้

ตึกจอมพลของเขานั้นไม่เคยได้รับเกียรติยศเช่นนี้มาก่อน

ในห้าอันดับแรกนั้น มีถึงสี่คนที่เลือกเข้าร่วมกับตึกจอมพลเหมันต์จันทรา

นี่มันหมายความว่ายังไงกัน

เรื่องแบบนี้มันดีเกินไปจนแม้แต่หลินเฟิงก็ยังคิดที่จะสงสัย

แต่ยังไงซะ อันดับหนึ่งแห่งการประลองสี่สำนักมาเลือกเข้าร่วมกับตึกจอมพลของเขานั้น นี่ยังไงซะก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

หลินเฟิงที่มีท่าทีตื่นเต้นยินดีก็รีบยืนขึ้นและพูดออกมาโดยไว “เจิ้งยี่ ด้วยการเข้าร่วมของเจ้านั้นข้าขอมอบให้เจ้าเป็นผู้นำของกองกำลังย่อยที่สองของทีมหนึ่งแห่งกองกำลังของข้า”

“อ้ะ ไม่สิ ข้าว่าเจ้าสมควรจะเป็นรองหัวหน้าของทีมหนึ่งภายใต้การนำของลีกุ้ยจะดีที่สุด”

โดยปกติแล้ว ใครก็ตามที่จะกลายเป็นรองผู้นำทีมหนึ่งได้นั้นจะเป็นต้องผ่านศึกสงครามมาอย่างโชกโชน การที่หลินเฟิงแต่งตั้งเจิ้งยี่มาเป็นรองหัวหน้าทีมด้วยระดับการบ่มเพาะเพียงนายพลวิญญาณขั้นสูง

ด้วยเกียรติที่ยากจะได้รับแบบนี้ทำให้เหล่าสมาชิกทีมหนึ่งที่เป็นตัวเก็งในตำแหน่งรองผู้นำต่างก็อยู่กันร้อนรนจนอยู่กันไม่สุข

แต่กับเรื่องนี้แล้ว มันเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยของหลินเฟิงเพียงเท่านั้น

ถึงแม้เจิ้งยี่นั้นจะพึ่งก้าวเข้าสู่ระดับนายพลวิญญาณขั้นสูง แต่เขานั้นยังหนุ่มแน่น

ยิ่งไปกว่านั้นคือ ด้วยการที่เขานั้นเป็นถึงอันดับหนึ่งแห่งการประลองสี่สำนัก แถมยังสร้างชื่อเสียงติดตัวไว้แล้ว เขาเชื่อว่าอีกไม่นานทุกคนจะต้องเชื่อมั่นในตัวเจิ้งยี่ได้อย่างแน่นอน

สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือทักษะความสามารถของเขา

ในตอนนี้หลินเฟิงได้ตีค่าทักษะความสามารถของเจิ้งยี่ไว้อย่างสูงล้ำ

และเป็นตอนนี้อีกเช่นกันที่แม้แต่เหล่าศิษย์สี่สำนักที่ได้อันดับที่เหลืออีกหกอันดับต่างก็นิ่งอึ้งกับฉากเหตุการณ์นี้

เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วพวกเขาไม่แปลกใจเลยจริงๆที่ทำไมคนที่ได้อันดับหนึ่งอย่างเจิ้งยี่ทำไมถึงยินดีที่จะเข้าตึกจอมพลเหมันต์จันทรา

นั่นก็เพราะหากเป็นพวกเขา ด้วยการที่ยังไม่มีผลงานใดๆแต่กลับชนะใจผู้การจนกลายเป็นรองหัวหน้ากองกำลังหลักของตึกจอมพลได้ตั้งแต่ต้น นี่ถือได้ว่าเป็นเกียรติยศที่สูงล้ำ

แม้แต่เว่ยฉิงเชินและหลู่ฟางเองก็อดที่จะสาปแช่งหลินเฟิงอยู่ในใจไม่ได้ว่าไม่ยุติธรรมกับพวกเขา

“ลุงหลินเฟิงนี่ช่างน่าชังนัก เขาให้พวกเราเป็นเพียงองครักษ์แต่กลับให้เจิ้งยี่เป็นรองหัวหน้ากองกำลังเลยอ่ะ”

“ข้าเองก็เป็นนักรบที่เป็นจุดชีพจรลับได้ถึงสามสิบจุดเลยนะ หากว่าเขาไม่ให้ข้ามีกองกำลังของตัวเองล่ะก็ อย่างน้อยๆก็ให้เข้าร่วมกองกำลังเล็กๆก็ยังดี”

หลู่ฟางที่ได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วยในทันใด “นั่นสิ ท่านลุงเองก็เหลือเกินเหลือการจริงๆ ขนาดข้าเป็นหลานแท้ๆยังเห็นเจิ้งยี่ดีกว่าราวกับเป็นลูกลับๆของเขา”

คำพูดของหลู่ฟางนี้ได้ไปสะกิดใจคนโดยรอบในทันทีจนต้องแอบกระซิบกระซาบกัน

“จะว่าไปแล้วศิษย์พี่หลู่พูดก็น่าคิดนะ มองไปมองมาเจิ้งยี่เองก็ดูคล้ายกับท่านหลินราวกับเป็นพ่อกับลูกแน่ะ”

“หากเป็นเช่นนั้นจริง เรื่องนี้ก็สมเหตุสมผลนัก”

“ไม่คิดจริงๆว่าท่านหลินนั้นจะเป็นคนเช่นนี้ ข้าเองมองเขาว่าเป็นผู้กล้ามาโดยตลอดเลยนะเนี่ย ว่าแต่นี่เขาไปแอบมีลูกตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

“อย่าไร้สาระน่า ท่านหลินยังไม่สี่สิบปีเลยนา แล้วเขาจะไปมีลูกอายุยี่สิบปีแบบนี้ได้ยังไง”

“แล้วอย่างนั้นจะเป็นอะไรได้ล่ะ ถูกชะตางั้นเหรอ”

เมื่อได้ยินคำพูดของคนอื่นที่สงสัยกัน เจิ้งยี่ก็รีบคำนับขึ้นมาอีกครั้งและพูดต่อ “ท่านหลิน ข้าขอเสียมารยาท ตัวข้านั้นต้องการเข้าร่วมกับกองกำลังเทียนเว่ยของเฉินเฉียงครับ”

เสียงของเจิ้งยี่นั้นชัดถนัดถนี่จนทำให้จางหยวนและคนอื่นๆนั้นลุกพรวดขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยิน

“พี่จางหยวน หยิกข้าที นี่ข้าฝันไปรึเปล่า นี่ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม”

“ไอ้ลูกหมา เจ้าไม่ได้หูฝาด เจิ้งยี่นั้นเลือกที่จะเข้าร่วมกับพวกเราจริงๆ”

จางหยวนพูดออกมาด้วยใบหน้าที่สั่นระริกในทันที

“จางหยวน ทำไมเจ้าดูไม่ดีใจเลยล่ะ ไม่ว่าจะยังไงซะ เจิ้งยี่เองเป็นถึงอันดับหนึ่งของการประลองเลยนา การได้เขาเข้ามาร่วมกองกำลังย่อมหมายความว่าพวกเราจะแข็งแกร่งขึ้นนะ”

จางหยวนได้ชักสีหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะอธิบายให้กับหลิวซวนเอ๋อฟัง “ซวนเอ๋อ แน่นอนว่าข้านั้นย่อมยินดีที่เจิ้งยี่เข้าร่วมกองกำลังของเรา”

“แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขานั้นสูงล้ำกว่าเฉินเฉียงมากนัก ข้าเกรงว่าเขาเองจะเล็งตำแหน่งกัปตันของกองกำลังที่เฉินเฉียงครองเอาไว้”

เหรินหมิงจึงได้สบถออกมา “ถ้าคิดอย่างนั้นจริงก็ต้องข้ามศพพวกเราไปให้ได้ก่อนเถอะ”

“ถูกต้อง หากเขาต้องการเป็นกัปตันของพวกเรา ต้องผ่านข้าก่อน” ม่อโจวเมื่อพูดจับได้ทำการส่ายเอวไปมาอย่างยืดเส้นยืดสายและมองไปที่เจิ้งยี่ที่อยู่บนเวที “เอ่ออออ แต่ทำไมข้ารู้สึกว่าเจิ้งยี่คนนั้นมันดูหนักแน่นแปลกจนมีความรู้สึกว่าจะโค่นไม่ได้กันหว่า”

“เฮ้ เฮ้ เฮ้ สาวน้อย หากถามข้า ข้าว่าเจิ้งยี่ไม่ใช่คู่มือของเจ้านะ”

“หลางซานเอ๋อ เจ้าคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอ”

“แหงสิ เจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน”

หลางซานเอ๋อได้มองไปที่ม่อโจวและพูดออกมา “สาวน้อย ตราบใดที่เจ้าส่ายเอวไปมาอีกนิดหน่อยต่อหน้าเขา แล้วก็ชูหนอนน้อยขึ้นมา ข้ารับรองเลยว่าเจิ้งยี่จะเผ่นหนีป่าราบเป็นหน้ากลอง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า”

ที่บนเวทีในตอนนี้นั้น หลินเฟิงได้พยักหน้ารับในทันทีและพูดออกมา “ก็ได้ ถึงแม้พลังโดยรวมของกองกำลังเทียนเว่ยจะไม่ได้สูงมากนัก แต่เมื่อได้นายพลวิญญาณขั้นสูงเช่นเจ้าเป็นกัปตัน ข้าเชื่อว่าเจ้าจะช่วยเหลือพวกเขาได้แน่ๆ”

“ไม่ครับ ท่านผู้การ ท่านเข้าใจผิดแล้ว” เจิ้งยี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้านั้นไม่ได้เข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ยในฐานะกัปตัน แต่ข้าต้องการเข้าร่วมในฐานะองครักษ์ของเฉินเฉียง”

หลังจากพูดจบ เจิ้งยี่ได้หันไปเฉินเฉียงก่อนที่จะก้มหัวให้อย่างเคารพ “ข้ารับใช้ เจิ้งยี่ ขอกล่าวทักทายนายพลเว่ยหวู่”

เป็นตอนนี้ที่ผู้คนทั้งบนเวทีและด้านล่างเวทีแทบจะสะดุ้งเฮือกไปพร้อมกัน

เจิ้งยี่ ในฐานะที่เป็นอันดับหนึ่งแห่งการประลองสี่สำนักแล้ว เขาไม่เพียงจะเลือกเข้ากองกำลังของเขตกันหนัน แต่เขานั้นยังเลือกทีมที่ได้ชื่อว่าไม่เอาอ่าวมากที่สุดอีกด้วย จำนวนคนของกองกำลังเทียนเว่ยนั้น เรียกได้ว่าน้อยที่สุดในเหล่าตึกจอมพลทั้งสามเลยก็ว่าได้

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเสนอตัวเป็นเองครักษ์ของเฉินเฉียงที่เป็นอันดับสอง ไม่ใช่กัปตันทีมแต่อย่างใด

นี่เจิ้งยี่โง่งมไปแล้วรึไงกัน

นี่เขาต้องการทำอะไรกันแน่

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset