ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก – ตอนที่ 82 ผอ.กลับมาแล้ว

บทที่ 82 ผอ.กลับมาแล้ว

“อาจารย์ เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นความจริง”

“แต่….เอ่อ..แต่ระดับการบ่มเพาะของเจ้านั้นมัน…ต่ำนัก แล้วเจ้าจะสังหารผู้ที่มีระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางได้ยังไง”

เป็นตอนนี้ที่เฉินเฉียงได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “เรียนท่านอาจารย์ ด้วยระดับการบ่มเพาะของศิษย์แล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ในตอนนั้นมีผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งได้เข้าช่วยเหลือศิษย์ หลังจากนั้นพวกเราจึงร่วมกันสังหารถูหมั่นเถียน”

“โอ้ ใครกัน เขาเป็นใครกันล่ะ แล้วล่ะดับการบ่มเพาะของเขาอยู่ที่ระดับใด” ฮู่ต้าไฮ่ได้ถามออกมา

เฉินเฉียงในตอนนี้ได้นึกไปถึงหญิงสาวในชุดขาวด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความยอมรับนับถือและปลาบปลื้ม

“ข้ารู้เพียงว่าเธอเป็นลูกสาวของผู้การกองทัพอะไรสักอย่าง เธอมีชื่อว่าเว่ยฉิงเชิน ระดับการบ่มเพาะของเธอนั้นก้าวล่วงไปถึงระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางไปแล้ว”

“เว่ยฉิงเชิน….ลูกสาวผู้การ….เหรอ”ฮู่ต้าไฮ่ในตอนนี้ได้นิ่งคิดอย่างหนักในทันทีที่ได้ยิน

“อาจารย์ ข้าจำได้” หลู่ฟางรีบก้าวเท้าออกมาก่อนที่จะพูดออกมาด้วยท่าทีจริงจัง

“ศิษย์น้องสมควรจะหมายถึงศิษย์อัจฉริยะแห่งสำนักวิหคอัสนีเว่ยฉิงเชิน ข้าได้ยินว่าเธอนั้นมีร่างกายพิเศษ และนี่เองทำให้เธอนั้นกลายเป็นผู้บ่มเพาะระดับสูงได้อย่างรวดเร็ว และเป็นหนึ่งในผู้ที่มีโอกาสก้าวเข้าสู่ระดับราชาวิญญาณที่สุดคนหนึ่ง”

หลังจากหลู่ฟางพูดออกมา ฮู่ต้าไฮ่ก็นึกได้ทันที

“ใช่ๆ ลูกสาวผู้การเว่ยหยวนตี้แห่งกันหนัน”

ฮู่ต้าไฮ่ได้หันมาหาเฉินเฉียงด้วยรอยยิ้ม “หาว่าเป็นเด็กน้อยคนนั้นร่วมมือกับเจ้า เจ้าก็ควรจะฆ่าถูหมั่นเถียนได้จริงๆ เพียงแต่อาจารย์ไม่เคยคิดว่าเด็กน้อยคนนั้นจะก้าวขั้นการบ่มเพาะได้เร็วขนาดนี้ ด้วยอายุยังไม่ถึงยี่สิบแต่กลับก้าวล่วงไปถึงระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางแล้ว แม้แต่อาจารย์ก็ยังต้องอิจฉาเลย”

หลังจากนั้น ฮู่ต้าไฮ่ก็หันไปหาหลู่ฟางและพูดขึ้นมา “หลู่ฟาง ดูเหมือนว่าเจ้าเองก็ต้องทำงานอย่างหนักนะ การประลองสี่สำนักครั้งต่อไปเจ้าต้องแสดงให้คนอื่นเห็นถึงความสามารถของเจ้า”

หลู่ฟางพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน “อย่าเป็นกังวลไปท่านอาจารย์ ข้าจะฝึกให้หนักและก้าวเข้าสู่นายพลวิญญาณขั้นกลางให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วไปได้”

ในระหว่างที่ฮู่ต้าไฮ่ยังคงพูดกับเฉินเฉียงมานี้ อยู่ๆจ้าวฮั่นก็ได้ชี้ไปที่เฉินเฉียงและหัวเราะออกมาอย่างดังลั่น

“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าล่ะอยากจะขำให้ตาย ฉินเฉียง ไอ้การโกหกปลิ้นปล้อนของแกนี่จะยิ่งหนักหนาสาหัสมากขึ้นเรื่อยๆเลยนะ แม้แต่อาจารย์ฮู่เองก็ยังโง่หลงเชื่อแก นี่มันจะน่าขันไปแล้ว”

เมื่อได้ยินดังนี้ กัวเหลียงได้จ้องมองจ้าวฮั่นในทันที “จ้าวฮั่น อย่าคิดว่าเจ้าที่มีปู่หนุนหลังจะกร่างพูดห่าเหวอะไรก็ได้น่ะโว้ย”

“เพียงศิษย์น้องได้รู้จักสาวงาม นี่เจ้าถึงกับอิจฉาจนปากเปราะ”

“รึว่าเจ้าอยากจะโดนศิษย์น้องของข้าทะลวงก้นอีกรึไงกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดของกัวเหลียงแล้วจ้าวฮั่นถึงกับสำลักออกมา ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมามองดูโดยรอบ ทุกคนก็ทำท่าราวกับอยากจะเห็นเขาโดนสวนทวารอีกครั้งหนึ่ง

“ฮึ่ม เออ ข้ายอมรับว่าข้าสู้เฉินเฉียงไม่ได้ แต่ข้าก็ยังไม่เชื่อว่าเฉินเฉียงจะร่วมกับเว่ยฉิงเฉินแล้วชนะกับศัตรูที่แข็งแกร่งแบบนั้นได้ ต่อให้ข้าตายก็ไม่เชื่อ”

เมื่อได้เห็นว่าทุกคนนั้นพยักหน้ารับในข้อนี้ จ้าวฮั่นก็มีท่าทีผ่อนคลายลง

“พวกแกรู้จักเว่ยฉิงเชินที่เฉินเฉียงพูดถึงรึเปล่าล่ะ”

“ให้ข้าบอกพวกแกรับรู้ไว้เลยนะว่าพ่อของเธอที่เป็นผู้การแห่งกันหนันนั้นตอนนี้อยู่ในระดับราชาแล้ว”

“ถ้างั้นพวกแกก็ลองใช้สมองน้อยๆคิดดูสักนิดนะว่าด้วยสถานะของพ่อของเธอแล้วน่ะ จะยอมปล่อยให้ลูกสาวไปเสี่ยงชีวิตที่เขตแดนหมอกโลหิตได้ยังไง”

“เอ้อ มันก็จริงนะ หากข้าเป็นผู้การ ข้าจะส่งทหารสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงไปจัดการ ดีกว่าปล่อยให้ลูกสาวตัวเองไปเสี่ยง”

“นั่นสิ อีกอย่างนึง กันหนันไกลจากที่นี่โคตร สาวน้อยคนนั้นไม่มีทางวิ่งไปที่นั่นเพียงเพื่อจะไปฆ่าโจรกลุ่มเดียวหรอก ว่าอย่างนั้นไหมล่ะ”

หลังจากได้ฟังผู้คนพูดคุย จ้าวฮั่นยังรู้สึกว่านี่ยังไม่เพียงพอ เขาจึงได้เติมเชื้อไฟไปอีก

“นอกจากนั้น เว่ยฉิงเชินนั้นเป็นอัจฉริยะแห่งสำนักวิหคอัสนี การบ่มเพาะของเธอนั้นไม่มีขอขวด ต่อให้เธออายุสิบเจ็ดแล้วไง ใครๆก็รู้ว่าเธอนั้นสามารถไปถึงระดับนายพลวิญญาณได้อย่างง่ายดาย”

“พวกแกทุกคนลองคิดดูสิว่ากับอัจฉริยะที่มีการบ่มเพาะระดับนั้น….จะมาร่วมมือกับขยะสายเลือดแบบนี้เนี่ยนะ”

“แค่ฟังดูก็รู้ว่าเป็นเรื่องแหกตาแล้ว”

แม้กัวเหลียงจะไม่ชอบจ้าวฮั่น แต่เขาก็อดจะหวั่นไหวเมื่อได้ยินคำพูดนี้ไปเหมือนกัน นี่ทำให้เขาเอ่ยปากถามเฉินเฉียงออกมา

“ศิษย์น้อง….เอ่อ…เจ้าได้เห็นสาวน้อยคนนั้นจริงๆใช่รึเปล่า”

เฉินเฉียงได้มองไปที่กัวเหลียงอย่างไร้คำพูด ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะตอบ แต่มีคนอื่นมาตอบแทนเขาแล้ว

“ข้าว่านะ ต้องเป็นเฉินเฉียงที่พยายามรับความดีความชอบในเรื่องนี้จึงได้กุเรื่องขึ้นมาเพื่อเพิ่มชื่อเสียงของตัวเองมากกว่า”

“แล้วแหวนในมือทั้งห้าวงนั่นล่ะ”

“เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะไปเจอบางคนฆ่าถูหมั่นเถียนและคนอื่นๆแล้วขโมยพวกมันมามากกว่า”

“จิ้จิ้จิ้ ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล หญิงสาวแบบนั้นจะมาไกลขนาดนั้นเพื่อฆ่ากองโจรเล็กๆทำไมกัน

….”

หลังจากได้ยินคำพูดของผู้คนโดยรอบแล้ว ในตอนนี้เขารู้สึกรำคาญขึ้นมาอย่างสุดหัวใจ

แต่มันไม่ได้มาจากที่มีคนอื่นสงสัยเขาหรือแม้แต่เรื่องที่เขาถูกคนอื่นใส่ร้าย

แต่มันเป็นเพราะว่าช่วงไม่กี่วันนี้เขาพบเจอสิ่งที่ยากลำบาก จนทำให้เขานั้นรู้สึกได้ว่าสภาพแวดล้อมในสำนักแห่งนี้มันสุขสบายเกินไป

มีเพียงคนที่ผ่านประสบการณ์ที่ได้เห็นฉากการถูกฆ่าล้างและผ่านประสบการณ์เป็นตายมาอย่างเขาแล้วเท่านั้นที่รู้ว่าธาตุแท้ของมนุษย์นั้นน่ารังเกียจขนาดไหน และนี่ทำให้เขานั้นคาดเดาอนาคตของมวลมนุษยชาติได้ในทันที

ศิษย์สำนักเต่าดำนั้นเปรียบได้ดั่งดอกไม้ในเรือนกระจก คนเหล่านี้ไม่เพียงจะมีวิสัยทัศน์ที่สั้นประดุจตาบอดแล้ว คนพวกนี้ยังคิดว่าการประลองในสนามประลองเป็นตายนั้น ร้ายแรงพอๆกับการที่เขาได้เผชิญหน้าในสถานการณ์เป็นตายกับถูหมั่นเถียน

หลังจากผ่านประสบการณ์เป็นตายมาซ้ำๆทำให้เขารู้สึกได้ว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก และนี่ทำให้เขานั้นรู้สึกได้ว่า สิ่งเหล่านี้มีค่าเสียยิ่งกว่าการประลองในสนามประลองเป็นตายมากนัก

เขาได้ลอบคิดในใจว่าเมื่อใดก็ตามที่เขานั้นไม่สามารถบ่มเพาะในสำนักแห่งนี้ได้แล้ว เขานั้นจะออกจากที่นี่ไปเผชิญหน้าโลกภายนอกในทันที หากไม่เช่นนั้นแล้ว เมื่อยามถึงสถานการณ์ที่ร้ายแรงกว่า เขาคงไม่อาจจะรอดพ้นไปได้

แม้แต่อาจารย์ของเขาเองก็ยังบอกเอาไว้ว่าภัยคุกคามที่แท้จริงในโลกภายนอกนั้นไม่ใช่สัตว์ประหลาด แต่เป็นมนุษย์กลายพันธุ์

แต่มาถึงตอนนี้เขายังไม่เคยเจอพวกมันเลยสักครั้ง

เมื่อคิดได้แบบนี้ เฉินเฉียงก็พานคิดไปถึงว่า ยามใดที่ศิษย์ในสำนักพบเจอมนุษย์กลายพันธุ์ พวกเขาคงไม่รอดเป็นแน่แท้

หลังจากคิดแล้ว เฉินเฉียงไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป

“ท่านอาจารย์ ศิษย์ขอกลับไปพักก่อน”

ฮู่ต้าไฮ่เองเมื่อได้เห็นท่าทางของเฉินเฉียงแล้ว เขาก็ได้พยักหน้าและพูดออกมา “ก็ดี เมื่อเจ้ากลับมาแล้วจงพักซะ เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยคุยกัน”

อย่างไรก็ตาม ไม่ทันที่เขาจะได้จากไป เสียงกำไลสื่อสารของเขาก็ได้ดังขึ้นมา

และเป็นจังหวะที่กำไลสื่อสารของทุกคนก็ได้ดังขึ้นเช่นเดียวกัน

“อาจารย์และศิษย์ทุกคนแห่งสำนักเต่าดำจงฟัง มารวมตัวกันที่หอประชุมเดี๋ยวนี้”

ทุกๆคนได้รับข้อความแบบเดียวกันหมด

ไม่เพียงเท่านั้น ในตอนนี้ แม้แต่เสียงระฆังของทางเข้าสำนักก็ได้ดังขึ้นมา

“ท่านอาจารย์ เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

ฮู่ต้าไฮ่ในตอนนี้ได้มีท่าทีเคารพ ก่อนที่จะพูดออกมาอย่างจริงจัง “เป็นไปได้ว่าผอ.กลับมาแล้ว พวกเราไปดูกัน”

เมื่อพูดจบ ฮู่ต้าไฮ่ได้โจนทะยานไปทางเข้าสำนักในทันที

Related

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

Status: Ongoing
ฉินเฉียงรู้สึกตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในยุค ที่มีสัตว์อสูร และผู้บ่มเพาะพลังเสียแล้ว ด้วยความบังเอิญเขาได้ใช้มือสัมผัสกับซากสัตว์อสูร ทำให้คนธรรมดาแบบเขาได้รับสายเลือดพิเศษ หลังจากที่เขาศึกษาระบบนี้ทำให้รู้ว่า เขาสามารถดูดความสามารถดั้งเดิมแบบสุ่มของซากศพได้ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูร หรือแม้แต่มนุษย์ ด้วยความสามารถนี้ทำให้เฉินเฉียงมั่นใจ ว่าเขาจะมีชีวิตรอดในยุคโลกาวินาศนี้ได้ ยิ่งเขาฆ่า!มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

Comment

Options

not work with dark mode
Reset