ผมเกิดใหม่เป็นจิ้งจอกสาวเก้าหาง – ตอนที่ 3: นิทาน? หนังสือ? พ่อบ้าน? ปวดหัวจัง

                กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว..

                มีกลุ่มผู้กล้ากลุ่มหนึ่งได้ออกไปผจญภัย ได้บุกเบิกดันเจี้ยนและเคลียร์ดันเจี้ยนนั้นได้สำเร็จ ก็คือดันเจี้ยนหุบเขามังกรคำราม เหตุที่ได้ชื่อนี้มานั้น เมื่อมังกรในหุบเขานั้นบิน จะมีลมกรรโชกแรง จนเกิดเสียงที่คล้ายกับคำรามของมังกร โดยดันเจี้ยนนั้นจะมีมหามังกรที่ชื่อว่า  ดีทายน์ ถึงกลุ่มผู้กล้าจะสามารถชนะมันได้ แต่ตัวดีทายน์นั้นไม่ได้ตายลงไป เพราะตัวดีทายน์มีความสามารถในการชุบชีวิตตัวเองได้หลังจากตายไปหนึ่งปี โดยที่ผู้กล้าในตำนานและผู้กล้าศักดิ์สิทธิ์ ก็สามารถกำจัดไปได้ด้วยความยากลำบาก เพราะว่าในดันเจี้ยนนั้นมังกรมันเยอะมาก ฆ่าไปเท่าไรก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้นกว่าจะผ่านไปได้จึงใช้เวลายาวนานถึงสองปีครึ่ง

                ในกลุ่มผู้กล้านั้นมีอยู่ห้าคน นั่นก็คือ ผู้กล้าในตำนานที่เป็นนักดาบเวทย์มนต์ แต่จะเน้นไปทางด้านฝีมือดาบมากกว่า

เนื่องจากผู้กล้าในตำนานถนัดเวทย์แห่งแสงมากกว่าเวทย์แห่งความมืด จึงเน้นไปทางสายบัพพลังให้ตนเองและเพื่อนเล็กน้อย 

ด้านผู้กล้าศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นนักดาบเวทย์มนต์เช่นกัน แต่เป็นเวทย์ที่รุนแรงไม่เท่าผู้กล้าในตำนานเท่านั้นเอง

และผู้ติดตามผู้กล้าอีกสามคนนั้นก็คือ

                องค์รักษ์แห่งดาบ ที่ถึงแม้จะไม่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้ แต่มีกำลังกายมหาศาลมาทดแทน และเพลงดาบของเขาเรื่องชื่อในภายหลังมาก เพราะไม่ต้องใช้เวทย์มนต์ จึงเปิดสำนักดาบ ภายหลังได้ชื่อสำนักดาบว่า สำนักเทพดาบองค์รักษ์

                องค์รักษ์แห่งโล่ ที่เขาใช้เวทย์มนธาตุลม ดินและพืช ในการป้องกัน และใช้เทคนิคของเขา ที่จะใช้โล่เปลี่ยนมุมการรับในการสะท้อนกลับบ้าง  ในการปัดบ้าง และเขาก็เปิดสำนักของเขาเช่นกัน ภายหลังได้ชื่อว่า สำนักเทพโล่องค์รักษ์

นักบวชเอลฟ์ ที่สามารถใช้เวทย์การรักษาระดับสูงได้โดยไม่ต้องร่ายและยังเป็นจอมเวทย์ที่เก่งมากอีกด้วย เขาฉลาดเป็นอย่างมาก เขามักจะเป็นคนวางแผนการต่อสู้ให้กับกลุ่มเสมอ ภายหลังความสามารถเขาเลื่องชื่อเป็นอย่างมาก จึงได้เปิดสำนักขึ้นมาเช่นกัน ภายหลังได้ชื่อว่า สำนักเทพกลยุทธ์โต้กลับ

“พ่อคะ…ที่อ่านอยู่เนี่ย มันเกี่ยวกับเนื้อเรื่องด้วยเหรอคะ”

                ตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วหนึ่งปีหลังจากที่ผมตายและได้เกิดใหม่โดยพระเจ้าโลลินั่น ทำให้ปัจจุบันผมสามารถพูดได้อ่านได้แล้วล่ะ

                “พ่อแค่อ่านตรงส่วนที่เป็นส่วนเสริมนิดหน่อยน่ะนะ”

                คือมันจะยาวอะไรขนาดนั้น

                จากนั้นคุณพ่อก็เริ่มเล่าต่อ

                หลังจากที่ผ่านออกมาได้ผู้กล้าก็เก็บอาวุธของตนเองไว้ในดันเจี้ยนที่ตัวเองได้เคลียร์ไป

                หลังจากนั้นผู้กล้าก็เคลียร์ดันเจี้ยนเรื่อยๆและก็เก็บเอาไว้ในทุกดันเจี้ยนที่เขาได้เคลียร์ไป จนเกิดเป็นปริศนาสมบัติของผู้กล้าที่หายไป

                ที่บอกว่าหายไปก็เป็นเพราะว่ามีหลายคนที่ออกตามหาอาวุธเหล่านั้นเพื่อโชว์ความสามารถของตนเอง แต่คนพวกนั้นก็ไม่รู้ว่าสมบัติเหล่านั้นถูกเก็บซ่อนเอาไว้ตรงไหน และคนส่วนใหญ่ที่ออกไปตามหาก็มักจะไม่รอดกลับมา

                และหลังจากนั้นผู้กล้าก็ปราบจอมมารลงได้

                -end-

                นี่มันเรื่องอะไรกันล่ะเนี่ย เล่าข้ามไปข้ามมา นิทานประวัติผู้กล้าที่ไหนเล่ามาแค่นี้ล่ะเนี่ย!

                ไปหาอ่านที่ดีกว่านี้เอาเองก็ได้

                “พ่อคะ ที่บ้านเรามีห้องหนังสือไหมคะ”

                อยากจะบอกว่า รอบๆนี้ไม่มีห้องสมุดเลย! ผมก็เลยไม่ค่อยได้หาอะไรอ่านเท่าไร

                “ก็มีนะ สองห้องถัดไปจากห้องพ่อกับแม่น่ะ”

                “ขอบคุณค่ะ งั้นเดี๋ยวเอาไว้ว่างๆหนูค่อยไปห้องหนังสือนะคะ”

                

                2เดือนต่อมา

                หลังจากที่ผมอ่านหนังสือในห้องสมุดไปเยอะมากๆจนเกือบจะครบทุกเล่มอยู่แล้วทำให้ผมได้รู้หลายๆสิ่งกับโลกใบนี้มากขึ้นพอสมควรเลยอย่างน้อยก็มากพอที่จะทำให้พอรู้พื้นฐานของโลกใบนี้ เมืองอะไรเป็นยังไงบ้างล่ะนะ

                โลกใบนี้มีชื่อว่า Rune midgard ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับชาติก่อนของผมในตำนานทางนอร์สล่ะมั้งนะ และแน่นอนว่าหากมี Rune midgard ก็ต้องมี Asgard แน่นอนที่นั่นมีอยู่จริงๆ แต่คนที่เคยเข้าไปในนั่นก็มีแค่พวกผู้กล้าเท่านั้นแหละ แต่กว่าจะเข้าก็หลังปราบจอมมารไปแล้วสิบกว่าปีเลยทีเดียว

                ส่วนเมืองหลวงของมนุษย์ในปัจจุบันชื่อว่า พรอนเทเรีย ซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่ ส่วนสาเหตุที่ย้ายเมืองหลวงก็คือทำเลที่ตั้งเมืองหลวงเก่าไม่ดีเท่าไหร่ล่ะนะ ส่วนเมืองหลวงเก่ามีชื่อว่า โมโรคุ เนื่องจากเมืองเป็นที่อยู่ใกล้กับอาณาจักรปีศาจมาที่สุด เลยย้ายเมืองหลวงออกมาเนื่องจากมันอัตรายเกินไป จริงๆหลังจากที่ได้รู้ชื่อเมืองพวกนี้ก็รู้สึกว่ามันเหมือนเกมอะไรบางอย่างที่เคยเล่นในชาติก่อนเลยแฮะ

                อาณาจักรของพวกปีศาจมีชื่อว่า ออนเดบิส ส่วนของเอล์ฟเนี่ย ยังไม่เจอแน่ชัด แต่ในหนังสือเขาก็บอกไว้นะว่า จะย้ายไปเรื่อยๆ ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ในหนังสือก็มีเขียนส่วนเพิ่มเติมอีกว่า เอล์ฟมีอาณาจักรอยู่เช่นกัน ว่ากันว่าเป็นอาณาจักรเวทย์มนต์

                หนังสือเล่มนี้มันละเอียดดีเหมือนกันแฮะ

                และบ้านเกิดของแม่ผม ไบฟรอสต์ จะบอกว่าเป็นอาณาจักรแห่งเผ่ามนุษย์สัตว์ก็คงถูกล่ะมั้ง ก็มันบ้านเกิดแม่ผมนี่นา คือในหนังสือไม่ได้บอกว่าเป็นเมืองของเผ่าอะไร แต่แค่บอกไว้ว่าเป็นป่าเต็มไปหมด และติดๆกันนั้นก็เป็นอาณาจักร ยูรัส อันนี้ในหนังสือมันเขียนเอาไว้ว่าเป็นเผ่าวิหค และวิธีที่จะทำให้เราเดินทางไปได้ ก็ต้องเดินทางผ่านเมือง ไอน์พอร์ท แต่เรื่องเมืองไอน์พอร์ทเนี่ยไม่ได้อ่านนะ มันไม่ได้เขียนไว้ น่าจะเป็นหนังสือเก่าล่ะมั้งเลยไม่ได้เขียนเอาไว้ ผมก็เลยเอาไปถามพ่อว่าไปไบฟรอสต์ยังไง ก็เลยได้ชื่อเมืองไอน์พอร์ทมา

 

                จะว่าไปหนังสือประวัติศาสตร์ก็มีนะ

                เรื่องการเกิดของมนุษย์ มนุษย์ชายหญิงกินแอปเปิ้ล จากนั้นก็…อะไรประมาณนั้นแหละ

                เอาเรื่องสงครามดีกว่าเนอะ

                เรื่องมันเกิดขึ้นว่า มนุษย์ต้องการที่จะยึดครองโลก จะไปทำสงครามกับเผ่าปีศาจจากนั้นก็รบกันยาวถึงสองร้อยห้าสิบปี  จนได้ชื่อว่ามหาสงครามเคออส มนุษย์เห็นว่าเผ่าของตนนั้นคนที่ใช้เวทย์ได้มีน้อยกว่าปีศาจอย่างมาก และพละกำลังของมนุษย์ก็น้อยกว่า

                แต่ความสามารถด้านดาบของมนุษย์จัดว่าดีเลยทีเดียว ถ้าเทียบกันหลังจากผู้กล้าเกิดแล้วก็ถือเป็นระดับราชาดาบองค์รักษ์เลยทีเดียว

                เอาล่ะ มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะงงว่ามันมีระดับอะไรด้วยเหรอ งั้นขอผมอธิบายหน่อยนะ มันอาจจะยาวไปสักหน่อยก็เถอะ

                สำนักเทพดาบองค์รักษ์

                1.ระดับนักดาบขั้นเริ่มต้น

                2.ระดับนักดาบขั้นกลาง

                3.ระดับนักดาบขั้นสูง

                4.ระดับดาบศักดิ์สิทธิ์

                5.ระดับราชาดาบองค์รักษ์

                6.ระดับจักรพรรดิดาบ

                7.ระดับจักรพรรดิดาบศักดิ์สิทธิ์

                8.ระดับเทพดาบองค์รักษ์

                อันนี้มีการเขียนเสริมเอาไว้ว่า ถ้าเป็นนักดาบขั้นกลางได้ก็พอที่จะสมัครเป็นอัศวินระดับต่ำสุดได้แล้วล่ะ แต่ทั้งหมดมันมีแปดระดับ การอยู่แค่อันดับที่เจ็ดเนี่ย อาจจะดูไม่สูง แต่อย่างน้อยก็พอปราบโจรแบบตัวต่อตัวได้แล้วล่ะ

 

                ไม่อยากนึกภาพเลยว่าในสมัยนั้นมีคนระดับราชาดาบเดินอยู่เพ่นพ่านเต็มไปหมด ถ้าเทียบกับปัจจุบันแล้วเนี่ยจะน่ากลัวขนาดไหนกัน

                สำนักเทพโล่องค์รักษ์

                1.ระดับโล่กำบังขั้นเริ่มต้น

                2.ระดับโล่กำบังขั้นกลาง

                3.ระดับโล่กำบังขั้นสูง

                4.ระดับโล่ศักดิ์สิทธิ์

                5.ระดับราชาแห่งโล่องค์รักษ์

                6.ระดับจักรพรรดิแห่งโล่

                7.ระดับจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์

                8.ระดับเทพโล่องค์รักษ์

                มีส่วนเสริมอีกว่าสำนักนี้ถ้าหากเรียนแล้วจะเรียกกันว่าเป็นนักรบต่อให้เรียนดาบมาด้วย แต่ถือโล่ ก็เรียกว่านักรบเหมือนเดิม แต่ให้คิดว่านักดาบมันก็ต้องถือโล่บ้างแหละ ตามสามัญสำนึกโลกเดิมก็เรียกว่านักดาบได้นั่นแหละนะ แต่ขอให้อย่าลืมว่าที่นี่ต่างโลก คนที่เกิดมาก่อนแถมยังกำหนดไปแล้วด้วย ถ้าจะไปเปลี่ยนมันก็ยากแหละ แต่นั่นมันก็ไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนอะนะ บางอย่างเป็นอย่างเดิมก็ดีแล้ว

                สำนักสุดท้ายแล้ว ขี้เกียจอธิบายแฮะ คืออันนี้มันคำอธิบายแปลกๆน่ะ

                สำนักเทพกลยุทธ์โต้กลับ

                สำนักนี้ไม่มีระดับ เพราะสำนักนี้เป็นอะไรที่ยากมากๆ ต้องมีความคิดที่เร็วมากๆ เพราะต้องจำกลยุทธ์ให้ได้และพลิกแพลงแล้วใช้ได้ในทันที เมื่อเข้าไปแล้วก็ได้เป็น นักกลยุทธ์โต้กลับทันที แต่ถ้าเรียนอีกสองสำนักหลักแล้ว จะมีคำว่ากลยุทธ์โต้กลับ ตามหลังฉายา เช่น ราชาดาบองค์รักษ์โต้กลับ ราชาโล่องค์รักษ์โต้กลับ เป็นต้น

                คือมันค่อนข้างสั้นน่ะ แถมไม่มีส่วนเสริมอะไรเลย ก็น่าจะเป็นอย่างชื่อสำนักล่ะนะ

                แต่รู้สึกเหมือนมันคล้ายนิยายอะไรบางอย่างที่ผมเคยอ่านเลยนะ พระเอกชื่ออะไร รูๆเนี่ยแหละ

                กลับเข้าเรื่องของประวัติศาสตร์ต่อ เผ่ามนุษย์จึงไปขอให้เผ่าสัตว์ป่าเข้ามาช่วย แล้วก็ไปรบกันต่อ ยาวไปอีกสองปี เมื่อเผ่าปีศาจเห็นว่าท่าทางไม่ดีแล้วจึงไปขอให้เผ่าวิหคช่วย รบกันยืดเยื้อไปอีกสิบปี ต่อมาเผ่าเอลฟ์เห็นว่าท่าทางจะไม่ดีแล้ว จึงเข้ามาหยุดสงคราม ด้วยการที่ราชาของเผ่าเอลฟ์ใช้พลังเวทย์ทั้งหมดเพื่อที่จะใช้มหาเวทย์ลับ จัสติส เพื่อเป็นการตัดสินว่าควรจะเป็นอย่างไร ทันใดนั้นก็มีพลังเวทย์ควบแน่นด้านบนหัวของราชาเอล์ฟกลายเป็นตาชั่ง

                ผลปรากฏว่าตาชั่งไม่ขยับ หมายความว่า ควรที่จะสงบศึกมากกว่า เพื่อป้องกันการสูญเสียไปมากกว่านี้ แต่ถึงจะสงบศึกกันแต่ก็ไม่ได้เซ็นสนธิสัญญา จึงเกิดสงครามยิบย่อยอีกหลายครั้ง จนเมื่อเผ่าปีศาจได้กำเนิด จักรพรรดิมาร แร๊กน่า จึงได้ทำสงครามกันอีกครั้ง โดยเผ่ามนุษย์ก็มีผู้ที่แข็งแกร่งทั้งสิบออกมานำทัพเข้าโจมตีฝ่ายปีศาจ

                โดยผู้นำทัพมีดังนี้

                1.ดาบใหญ่กีกัน

                2.ดาบคู่ แอสเทค

                3.ดาบสองมือ ยูรุส

                4.การ์เดี้ยน สึรุ

                5.หอกซัด ซีรัส

                6.โล่ใหญ่ ทาเรีย

                7.กาต้าร์ แอสทิค

                8.ธนู  ทรูฟช๊อต

                9.จอมมหาเวทย์ ไซออน

                10.นักบวช เคียว

                หลังจากชนะสงครามกับแร๊กน่า คนที่เสียชีวิตในสงครามมีสามคน คือ แอสทิค  แอสเทค และ ซีรัส

หายสาบสูญสองคน กีกันและทรูฟช๊อต คนที่เหลือเมื่อกลับไปยังโมโรคุ จึงได้ทำเรื่องขอให้พระราชาย้ายเมืองหลวงไปยังพรอนเทเรีย เนื่องจาก โมโรคุติดกับทะเลทราย แต่พื้นที่ของพรอนเทเรีย อยู่ไกลกว่าเดิมหลายเท่า แถมยังสามารถสร้างไอน์พอร์ทได้ และอยู่ใกล้กับ พาโยเนียที่อุดมสมบูรณ์ จึงได้รับการอนุญาตจากพระราชาโดยง่าย เพราะคนขอร้องเป็น วีรบุรุษและวีรสตรีแห่งสงคราม และมีเหตุผล

                 หลังจากจบสงครามห้าคนที่รอดกลับมาจึงได้ เลื่อนยศเป็นขุนนางชั้นสูงที่สุด แต่เคียวขอปฏิเสธเพราะว่า ต้องการจะเดินทางไปเรื่อยๆ เพราะยังมีคนต้องการรักษาอีกมาก เนื่องจากเขามีความสามารถในการใช้เวทย์รักษาขั้นสูง ที่จะหายากมากในเมืองของมนุษย์ สี่คนที่เหลือที่ได้รับการเลื่อนยศนั้นจึงได้ขึ้นเป็นสี่มหาอำนาจ แล้วทั้งสี่คนนั้นก็ได้ก่อตั้งโรงเรียนมหาเวทย์มาเจสตี้ขึ้นมา ที่ถ้าหากแปลเป็นไทยจะแปลว่าความโอ่อ่าขึ้นมา

                คือเรื่องมันค่อนข้างยาวล่ะนะ มันยาวมากถึงมากที่สุดเลยล่ะ เพราะว่ามันจะมีเรื่องยิบย่อยอีกนิดหน่อย จริงๆก็น่าจะไม่ใช่นิดหน่อย เอาเป็นว่าสาระสำคัญมันจบแค่ก่อตั้งโรงเรียนล่ะนะ

 

                ผมวางหนังสือประวัติศาสตร์ที่เพิ่งอ่านจบ  แล้วลองไปหาหนังสือื่นๆที่ยังไม่ได้อ่าน

                และเมื่อผมค้นไปค้นมาก็เจอกับหนังสือปกหนังเล่มหนึ่ง

                “เอ…หนังสืออะไรกันเนี่ย…”

                ผมบ่นกับตัวเองก่อนที่จะอ่านหน้าปก

 

                หนังสือเวทย์มนต์พื้นฐาน

                

                หนังสือเวทย์มนต์! เยี่ยม! ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มการอ่านอย่างละเอียดกันเลย!

                เวทย์มนต์ทั้งหมดจะมีอยู่สามประเภท

                เวทย์มนต์โจมตี

                เวทย์มนต์รักษา

                เวทย์มนต์อัญเชิญ

                เวทย์อัญเชิญฟังแล้วน่าสนใจอยู่นะ แต่ถ้าทางจะยากน่าดู จากนิยายในสมัยก่อนที่เคยอ่าน มันจะมีเด็กผมแดงคนหนึ่งที่คลั่งเวทย์สายซัมมอนอยู่แถมชอบมังกรซะด้วย แต่พออ่านแล้วก็วิวัฒนาการเวทย์อัญเชิญไปซะไกลเลย แถมแต่ละอย่างนุ่งยากทั้งนั้นเลย สไลม์เกล็ดมังกรอย่างนี้น่ะ เพราะฉะนั้นแล้ว เวทย์มนต์อัญเชิญผมน่าจะเรียนเป็นอย่างท้ายๆในชีวิตเลยล่ะ

                การใช้เวทย์มนต์ต้องมีพลังเวทย์ก่อน…มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วนี่นา ไม่สิตัวผมที่มาจากโลกอื่นจะคิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะนี่เป็นหนังสือสำหรับคนบนโลกนี้ แต่ให้เทียบพลังเวทย์เป็นอย่างอื่นล่ะก็น่าจะเป็นมานาอะไรเทือกนั้นสินะ

                พลังเวทย์จะถูกกำหนดไว้ตั้งแต่กำเนิด และไม่สามารถเพิ่มได้…ถ้าอย่างนั้นเท่ากับว่า ถ้าผมมีพลังเวทย์อยู่แค่สิบ ต่อให้ระดับของผมเพิ่มขึ้นก็จะเป็นสิบเหรอ ไม่มีทางหรอกน่า แต่ผมก็คงต้องมากกว่านั้นแหละ ก็ขอพรจากพระเจ้ายูกิเอาไว้ว่า ขอให้ใช้เวทย์ได้ทุกธาตุนี่นา

                ทุกคนสามารถใช้ได้ทุกเวทย์แต่ความถนัดของแต่ละคนจะต่างกัน แต่สามารถฝึกการใช้เวทย์สายที่ไม่ถนัดได้ด้วยการใช้บ่อยๆ…ถ้าอย่างนั้นพรที่ขอให้ใช้เวทย์ได้ทุกธาตุก็เปล่าประโยชน์ไปเลยไม่ใช่เหรอ ผมขอพรข้อนั้นใหม่ได้ครับท่านพระเจ้า!

                “…”

                ไม่มีการตอบรับใดๆ จากพระเจ้าทั้งสิ้น ถ้าตามนิยายที่เคยอ่านมันต้องคุยกับพระเจ้าได้สิ! เหมือนเรื่อง ซาเรียน่ะ!

                ช่างมันเถอะนะ ยังไงก็ตาม ผมได้ขอพรเอาไว้ว่าขอให้ผมเป็นจิ้งจอกเก้าหาง ผมน่าจะถนัดเวทย์ธาตุอะไรเจ๋งๆบ้างล่ะ แต่ไหนหางของผมล่ะเนี่ย บางทีเรื่องหางนี่อาจจะต้องรอมันงอกออกมา หรือว่ามันควรจะมีตั้งแต่เกิดกันนะ

                ช่างเถอะ จากนั้นผมก็ลองเปิดหาเวทย์มนต์ที่น่าสนใจ เพราะเวทย์ ดินน้ำลมไฟเนี่ยมันเบสิคอยู่แล้ว เลยลองเปิดไปเรื่อยๆจนกระทั่งผมเจอกับหมวดธาตุที่น่าสนใจ

                “เวทย์มนต์ธาตุวิญญาณ…งั้นเหรอ”

                “มันเขียนว่า…ดวงวิญญาณทั้งหลายที่อยู่รอบกายของข้าจงแสดงตัวออกมาให้ข้าเห็นแล้วรับใช้ข้าซะ”

                เมื่อผมร่ายเสร็จ ก็มีความรู้สึกเหมือนมีบางอย่างไหลไปที่ดวงตา หลังจากนั้นก็ค่อยๆไหลไปทั่วทั้งร่างกาย

                ทันใดนั้นเองผมก็เห็นอะไรบางอย่างคล้ายลูกไฟ โดยแต่ละลูกจะมีสีที่แตกต่างกันด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนมิกิงฮิโ*ะในพี่น้องปริศนาเลย!

                “เอ่อ…นายท่านขอรับ มีอะไรให้รับใช้ไหมขอรับ”

                หลังจากที่ผมกำลังนึกตื่นเต้นนั้นเอง วิญญาณหน้าผมก็พูดออกมา เจ๋งไปเลยแฮะ

                “อ๊ะ เปล่าค่ะ เมื่อกี้แค่ลองใช้เวทย์นี้เฉยๆค่ะ ช่วยกลับไปก่อนได้ไหมคะ”

                “ขอรับ”

                จากนั้นวิญญาณตรงหน้าก็หายไป สุดยอดไปเลยแฮะเวทย์ธาตุนี้ จะว่าไปตรงนี้มีส่วนเสริมอะไรด้วยแฮะ

                เวทย์ธาตุวิญญาณนั้นอันตรายอย่างมากถ้าหากวิญญาณที่เรียกออกมานั้น ไม่ยอมรับในตัวผู้เรียก จะทำร้ายตัวผู้เรียกทันที

                เมื่ออ่านเสร็จ ผมถึงกับใบ้กิน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องอ่านคู่มือก่อนใช้งานหรือเปล่านะ เมื่อกี้เองก็คงแค่โชคดีเฉยๆแน่ เพราะฉะนั้นแล้วน้องๆหนูควรจะอ่านคู่มือที่เขาแจกมาให้กับผลิตภัณฑ์นะคะ!

                จะว่าไปแล้ว ความรู้สึกหลังจากร่ายเวทย์เสร็จมันเป็นยังไงกันนะ เอ…ไอ้เจ้าอะไรบางอย่างนั้นคงเป็นพลังเวทย์สินะ พลังเวทย์ไหลไปที่ดวงตาแล้วค่อยๆไหลไปทั่วทั้งร่างกาย…

                “มีอะไรหรือขอรับนายหญิง”

                ในทันทีที่ผมกำลังลองทำตามกับที่เคยทำเอาไว้ ก็มีวิญญาณดวงเดิมโผล่ออกมา

                “เอ๊ะ อ๋อ เปล่าค่ะคือเมื่อกี้กำลังพยายามจดจำแล้วทำตามให้เหมือนตอนร่ายน่ะค่ะ ถ้ายังไงก็ช่วยเก็บหนังสือที่วางกองสุมกันให้หน่อยได้ไหมคะ”

                “ขอรับนายหญิง”

                หลังจากที่วิญญาณนั้นพูดเสร็จก็ปรากฏเป็นร่างของพ่อบ้านหนุ่มทันทีแล้วก็เก็บหนังสือไว้ที่เดิม

                “เอ๋!”

                ผมอุทานออกไปด้วยความตกใจ

                “กระผมคือวิญญาณเมื่อสักครู่ยังไงล่ะขอรับ”

                “เอ๋!!”

                “ไม่ต้องแปลกใจไปหรอกขอรับกระผมเพียงแค่ใช้พลังเวทย์ของนายหญิงมาเปลี่ยนรูปเท่านั้นเองขอรับ”

                “อ๋อ…ค่ะ แต่ว่าถ้ายังไงก็เรียกหนูว่าคุณหนูก็พอค่ะ เรียกนายหญิงมันดูแก่เกินไปสุดๆนะคะ”

                นึกภาพว่าเด็กหนึ่งชวบถูกคนที่ดูเหมือนจะอายุยี่สิบกลางๆเรียกว่านายหญิงสิ มันแปลกสุดๆไปเลยล่ะ

                “รับทราบขอรับ”

                แต่ว่าอยู่ในรูปแบบคนแบบนี้นานๆจะกินพลังเวทย์ของเราไหมนะ

                “ไม่ต้องห่วงขอรับคุณหนู เมื่อสักครู่นี้ถือเป็นเวทย์อัญเชิญขอรับ จะเสียพลังเวทย์ก็แค่ตอนที่อัญเชิญออกมาเท่านั้นขอรับ”

                “แต่ว่าหนูยังไม่ได้อัญเชิญอะไรออกมาเลยนะคะ”

                “ในตอนที่คุณหนูร่ายออกมาจะเห็นเป็นลูกไฟสีต่างๆจะเห็นเฉพาะผู้ร่าย แต่ถ้าอัญเชิญคนอื่นก็จะเห็นกระผมยังไงล่ะขอรับ”

                เหมือนกับเป็นการอัญเชิญทางอ้อมเลยนะเนี่ย

                พาไปหาแม่ดีกว่า!

                “ไปหาแม่ของหนูกันค่ะ!”

                “จะดีเหรอครับคุณหนู ทุกคนจะตกใจกันหมดนะครับ”

                “ไปเถอะค่ะ ทุกคนอาจจะดีใจก็ได้นะคะที่ได้พ่อบ้านเพิ่ม”

                ผมพยายามตื้อ

                “ก็ได้ครับ”

                “ว่าคุณชื่ออะไรเหรอคะ หนูชื่อมาฮิโระนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

                ผมแนะนำตัวอย่างเป็นธรรมชาติ อยากรู้จังเลยว่าเด็กหนึ่งขวบนิดๆกำลังทำอะไรแบบนี้ภาพจะออกมายังไง

                “กระผมชื่อคุโระขอรับคุณหนู”

                เอ๋…ชื่อตรงข้ามกับคุณชิโระเหรอเนี่ย บางทีนี่อาจจะเป็นเนื้อคู่กันก็ได้นะ หุหุหุ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset