ผมเกิดใหม่เป็นจิ้งจอกสาวเก้าหาง – ตอนที่ 5: เพราะทำกำแพงถล่มเลยได้เรียนกับอาจารย์สอนพิเศษเวทย์มนต์

                ตั้งแต่ที่ผมมาต่างโลกจนถึงปัจจุบันโดยการเกิดใหม่ ก็เป็นเวลาสองปีแล้ว นั่นเท่ากับว่า ปัจจุบันผมนั้นกลายเป็นเก้าหางแล้วนั่นเอง และด้วยพลังที่มันค่อนข้างมากจนเกินไปในวัยนี้ อาจจะมีผลกระทบต่อร่างกายได้

                ผลกระทบต่อร่างกายอาจจะมีหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ผมคิดว่าผมสายตาสั้นลงนะ

                แม่ของผมก็เลยได้สร้างของที่ใช้ในการผนึกพลังของผมไว้ นั่นก็คือ…!

                แว่นตานั่นเอง เนื่องจากว่าคุณแม่มาถามผมว่าอยากได้อะไรที่ไว้ใช้ในการผนึกพลัง ระหว่างโบว์กับแว่นตา ผมก็เลยเลือกแว่นตามานั่นเอง

                แต่กระนั้นเอง ผมก็ยังคงเป็นแค่เด็กสองขวบอยู่ดี จะให้ไปใส่แว่นโพสท่าน่ารักๆน่ะ ไม่ไหวหรอก รอผมเจ็ดขวบก่อนเถอะ

                ผมที่คิดว่าตัวเองยังเป็นแค่เด็กสองขวบก็ทำให้นึกอยากได้โบว์แทนแว่นตาขึ้นมาเสียอย่างนั้น ก็แหมเพิ่งจะสองขวบ จะให้ใส่แว่นแล้วหรือยังไง แต่ในเมื่อเลือกไปแล้วก็ช่างมันเถอะ

                และที่สำคัญ เป็นแว่นขอบบางด้วยล่ะ

                ช่างมันอีกรอบหนึ่งเถอะ ผมไม่ได้เจอแว่นมาเสียนานเลยตื่นเต้นไปสักหน่อย

                เข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน ตั้งแต่ที่ได้เจอกับคุณคุโระ ผมก็ตั้งใจอ่านหนังสือเวทย์นั่นอย่างเอาเป็นเอาตาย จนทำให้รู้ลายละเอียดในเรื่องของระดับชั้นนักเวทย์ด้วย

                ประเภทธาตุ:ระดับ ในส่วนของระดับมี

1.ขั้นต้น

2.ขั้นกลาง

3.ขั้นสูง

4.ศักดิ์สิทธ์

5.ราชา

6.จักรพรรดิ

7.(ธาตุ)จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์

8.เทพ

                ดูยังไงก็ลอกเรื่องของรู…คุงมาชัดๆ

                โดยการเรียกจะแบ่งตามธาตุที่ถนัดเช่น เทพน้ำ เทพไฟ เทพลม เทพดิน จะเรียกให้คำหรูขึ้นยังได้เลย เช่น เทพวายุ เทพวารี เทพเพลิง เทพพสุธา

                แถมยังเจอกับสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเวทย์มนต์ในหนังสือเล่มนี้ด้วย เป็นเรื่องของเก้าหาง

                หนังสือบอกว่า ตามตำนานแล้ว เก้าหางจะอยู่แทบจะทุกสรรพสิ่งรองลงมาจากผู้กล้า เลยถือได้ว่า จิ้งจอกเก้าหางเป็นขุนนางชั้นสูงมาก

                ขุนนางชั้นสูงมากมันสูงแค่ไหนกัน ถึงได้เรียกว่าสูงมาก

                และเหมือนว่าเก้าหางจะเป็นตัวตนที่จะทำอะไรก็ลำบากคนจะมาชอบขอพรนั่น ขอพรนี่ แม่ผมเลยให้ผมใส่แว่นเพื่อนผนึกพลังเอาไว้

                แต่พอผนึกพลังไปแล้ว พลังเวทย์ของผมก็ลดลงไปจากเดิม

                และในหนังสือยังคงมีอีกหมวดหมู่หนึ่ง ที่ถ้าจะเขียนขึ้นมา ก็น่าจะแยกเล่มไปเลยมากกว่า

                มันก็คือเรื่องของอุปกรณ์เวทย์มนต์นั่นเอง สิ่งที่ผมอ่านให้ฟังมันเป็นสิ่งที่ผมย่อมาแล้วล่ะนะ

                อุปกรณ์เวทย์เป็นสิ่งที่ใช้ในการอำนวยความสะดวกในการร่ายเวทย์ แต่แตกต่างจากคทาเวทย์ เพราะคทาเวทย์จะมีความสามารถก็คือการช่วยเสริมพลังของเวทย์มนต์ช่วยให้รุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่อุปกรณ์เวทย์จะช่วยให้ร่ายได้ง่ายขึ้น สมมติว่าตัวผมจะร่ายเวทย์บอลน้ำ ซึ่งต้องร่ายว่า

                ‘ด้วยพลังแห่งธรรมชาติ แด่เทพเจ้าแห่งน้ำ จงมารวมกันอยู่ที่มือข้า วอเทอร์บอล’

                ซึ่งเสียเวลาในการร่าย ยกเว้นคุณจะเป็นนักร้องเพลงแรป

                แต่ถ้าหากเราใช้อุปกรณ์เวทย์มนต์ มันจะช่วยให้เราใช้เวทย์ได้ง่ายขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลาร่ายโดยการส่งพลังเวทย์ไปที่อุปกรณ์ แล้วเวทย์มนต์ก็จะเริ่มดำเนินการทันที แต่จะเสียเวลาเล็กน้อยในการดำเนินพลังเวทย์เล็กน้อย แต่ถ้าเวทย์ที่จะร่ายมันซับซ้อนก็จะนานขึ้น แต่ว่าผมไม่เข้าใจเรื่องนี้สักเท่าไหร่ ผมเลยจะขอสนุปในแบบที่ผมเข้าใจก็คือ

                หากเราใช้เวลาในการร่ายเวทย์สองวินาที การใช้อุปกรณ์เวทย์จะใช่แค่หนึ่งวินาที

                ผมไม่ได้หมายความว่าการใช้อุปกรณ์เวทย์จะร่ายไวกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ผมจะสื่อว่ามันจะไวกว่าเล็กน้อยเท่านั้นเอง โดยความคิดส่วนตัวของผมก็คือ มันไม่ได้สะดวกขนาดนั้น และผมเองก็ไม่ได้ร่ายเวทย์ ผมแค่จำความรู้สึกตอนร่ายได้ และลองทำตาม จากนั้นเวทย์นั้นก็ถูกร่ายทันที เท่ากับว่าการร่ายเวทย์และอุปกรณ์เวทย์ไม่มีประโยชน์กับผมเท่าไหร่นั่นเอง

                แต่การร่ายเวทย์ก็ยังสำคัญสำหรับผมนะถ้าเกิดจะใช้เวทย์นั้นครั้งแรก เพราะผมต้องจำความรู้สึกนั้นได้ก่อน ถึงจะใช้ได้

                จริงๆนี่อาจจะเป็นพรข้อที่ผมไม่ได้ขอไปล่ะมั้ง

                

                และหลังจากตอนที่คุณคุโระมาทำหน้าที่เป็นพ่อบ้านคู่กับคุณชิโระที่เป็นแม่บ้าน ก็ทำให้ผมต้องเรียนหนังสือคุณคุโระ จริงๆแล้วก็จะเป็นเรื่องเดิมๆ บวกลบอะไรประมาณนี้ ประวัติศาสตร์ในจุดเล็กๆบ้าง ซึ่งผมก็ทำออกมาได้ดี เพราะอ่านมาแล้ว

                และก็มีอีกอย่างหนึ่งที่ผมต้องเรียนนั่นก็คือ วิชามารยาท ผมไม่ค่อยชอบวิชานี้เท่าไหร่ เพราะมันทำให้ความเป็นชายของผมลดลง แต่ก็ทำออกมาได้ดี ดีจนเกินไป…

                และแน่นอนว่า ผมเกิดมาตั้งสองปี ทำให้ผมรู้ชื่อทุกคนในบ้าน นั่นก็คือ

                พ่อ อิกนัส อิจิฮานะ

                แม่ จิฮิโระ อิจิฮานะ

                ส่วนผม มาฮิโระ อิจิฮานะ

                ชื่อค่อนข้าง ไม่สิ เรียกได้ว่าเหมือนภาษาญี่ปุ่นสุดๆ เล่นเอาผมสงสัยว่า ผมเกิดเป็นลูกคนต่างโลกหรือเปล่า พักนึงเลยล่ะ

                ส่วนชื่อเต็มของคุณชิโระกับคุณคุโระ ผมไม่รู้

                คุณชิโระกับคุโระ ไม่เก่งเวทย์มนต์เท่าไหร่ แต่เรื่องฝีมือดาบ สำหรับผมคิดว่าเก่งสุดๆไปเลยล่ะ ผมเองก็เกือบจะได้เรียนวิชาดาบแล้ว แต่ผมเองยังอายุแค่สองขวบ จะให้ผมเริ่มฝึกดาบมันก็กระไรอยู่ ผมจึงได้ออกกำลังกายเกือบตลอดทั้งบ่ายเลย จนตอนนี้ผมคิดว่าผมเป็นสาวน้อยนักกล้ามแล้ว แต่กลับกลายเป็นว่า ผมดูไม่มีกล้ามเนื้อเลย มันเนียน กระชับ นุ่มไปหมด ทำให้ผมรู้สึกว่าความเป็นชายของผมกำลังลดลงไปอีกขึ้นหนึ่ง

                

 

 

                ผมลงไปอยู่แถวๆรั้วบ้าน เพื่อจะลองเวทย์มนต์ที่ผมสนใจ

                เอาล่ะๆ  เรามาเริ่มการทดลองกันเลยดีกว่า เวทย์นี้มันชื่ออะไรนะ… อ๋อ Soul Strike เป็นเวทย์ที่รวมพลังเวทย์ไว้ด้วยกันแล้วจู่โจมใส่เป้าหมาย น่าสนใจดีแฮะ

                “ดวงวิญญาณรอบตัวของข้าและดวงวิญญาณที่รับใช้ข้าจงพุ่งจู่โจมใส่เป้าหมายที่บังอาจขวางหน้าข้า Soul Strike”

                แล้ววิญญาณในรูปก้อนพลังที่ส่องสว่างก็พุ่งออกไปใส่กำแพงบ้าน

                “…”

                ไม่มีสิ่งใดๆเกิดขึ้นเลยเหรอ หรือว่าผมร่ายอะไรผิดพลาดไป

                ด้วยความสงสัยของผม ผมจึงลองจับที่กำแพงดู ปรากฏว่า เมื่อผมลองเอามือไปแตะ มันก็ถล่มลงมา

                “อุหวา…”

                ทันใดนั้น แม่ที่ได้ยินเสียงถล่มก็วิ่งมาหาผมเป็นคนแรก

                “มาฮิโระ! เป็นอะไรหรือเปล่าลูก!”

                แม่จะผมหมุนสามร้อยหกสิบองศาเพื่อดูว่าเป็นอะไรหรือเปล่า

                “ลูกเป็นอะไรไหม ใครทำกำแพงนี้ถล่มกัน! มอนส์เตอร์เหรอ หรือว่าปีศาจ มันอยู่ไหน”

                พ่อที่วิ่งตามมาก็ตะโกนออกมา

                “แต่แม่ว่านะพ่อ… ลูกอาจจะเป็นคนทำเองก็ได้นะ”

                “ทำไมล่ะ”

                “คุณก็ดูลูกสิว่าถืออะไรอยู่”

                แล้วคุณแม่ก็ชี้ไปที่หนังสือเวทย์มนต์ในมือของผม

                ซวยล่ะสิ ถ้าเป็นอย่างนี้คงต้องขอโทษก่อนล่ะนะ

                “ขอโทษค่—”

                “แม่ว่าแล้ว ว่าลูกของแม่เป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ มาให้มากอดหน่อย มานี่มา~”

                แล้วแม่ก็กอดผมอย่างแนบแน่นจนหายใจเกือบไม่ออก

                “หวา.. แม่ไม่โกรธที่หนูทำกำแพงบ้านพังไปเยอะเลยเหรอคะ”

                “แม่จะโกรธทำไมกันล่ะ อย่างน้อยมันก็ทำให้แม่รู้ว่า ลูกของแม่เก่งเวทย์มนต์นะ”

                แล้วคุณแม่ก็กอดผมอีกที

                “…ค่ะ”

 

 

                หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ผมก็ได้อาจารย์สอนพิเศษมาหนึ่งคน

                เหมือนว่าเพราะผมเป็นลูกขุนนางรายได้เลยค่อนข้างดี แต่พ่อผมเป็นขุนนางระดับล่าง เลยได้อาจารย์มาอย่างฉิวเฉียด

                และอาจารย์ที่มาสอนผม ยังเป็นนักเวทย์ธาตุวิญญาณอีกต่างหาก เพราะคนที่ถนัดธาตุวิญญาณมีน้อยมาก เมื่อเทียบกับธาตุอื่นๆ อย่างน้อยก็คนที่พาโยเนียกับพรอนเทเรียก็มีคนที่ถนัดอยู่ไม่กี่คนเท่านั้น

                ผมทนั่งคิดอะไรเพลินๆอยู่ แต่แล้วก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา สงสัยอาจารย์จะมาแล้วล่ะ

                “ครับ บ้านอิจิฮานะครับ”

                พ่อตะโกนตอบเสียงเคาะประตูที่หน้าบ้าน แล้ววิ่งไปหา

                “สวัสดีค่ะ เป็นอาจารย์สอนพิเศษ ชื่อยูริค่ะ”

                อืม ผมมองสำรวจทั่วร่างกายของอาจารย์ยูริ หน้าตาจัดว่าสวย ผิวขาวซีด พร้อมกับหมวกที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของจอมเวทย์ ดวงตาสีแดงเหมือนเลือด ท่าทางดูหยิ่งเล็กน้อย ส่วนคทาก็…ผมไม่แน่ใจ แต่เหมือนคทาที่เคยเห็นในหนังสือ เป็นกิ่งไบซิลิส จากป่าไบฟรอสต์

                “ยินดีต้อนรับจ้า มานั่งก่อนนะยูริ”

                แม่เดินไปจับมือาจารย์แล้วก็ลากไปนั่งด้วยกัน

                รู้สึกแม่จะอารมณ์ดีกว่าปกตินะเนี่ย

                “ค่ะ”

                อาจารย์ตอบกลับด้วยใบหน้านิ่งๆ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีอยู่นะ

                “เอาล่ะ ลูก แนะนำตัวสิ”

                “สวัสดีค่ะ หนูชื่อ มาฮิโระ อิจิฮานะ ค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ อาจารย์”

                “ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ไม่ต้องเรียกชั้นว่าอาจารย์หรอก เรียกชั้นว่ายูริก็พอ”

                “ค่ะ คุณยูริ”

                “เรียกชั้นว่ายูริก็พอ”

                “หนูอายุน้อยกว่านะคะ ถ้ายังไงก็ให้หนูเรียกอาจารย์ว่าคุณยูริเถอะค่ะ”

                พอต้องพูดคำว่าค่ะบ่อยๆแล้วก็รู้สึกจั๊กจี้ยังไงไม่รู้สิ

                “อืม…เอาอย่างนั้นก็ได้ ว่าแต่เธอใช้เวทย์มนต์ได้หรือเปล่า”

                “ได้ค่ะ”

                ก็อยากจะตอบไปว่า ถ้าไม่ได้จะให้มาสอนเหรอ

                ไม่สิ เราจะคิดตามที่เราเป็นไม่ได้สิ ตามนิยาย พวกตัวเอกจะได้เองโดยบังเอิญ แต่ตามหลักสามัญของโลกใบนี้แล้วก็น่าจะต้องมีคนมาสอนก่อนถึงจะใช้เวทย์มนต์ได้

                “ถ้าอย่างนั้นเธอช่วยใช้ให้ชั้นดูหน่อยนะ เดี๋ยวเราไปข้างนอกกัน”

                “ค่ะ”

                “งั้นเดี๋ยวแม่ไปเอาน้ำมาให้นะ”

                แล้วผมกับคุณยูริก็ออกมาอยู่แถวๆตรงรั้ว

                

                “ถ้าอย่างนั้น เอาบทนี้ก่อนแล้วกัน Soul Strike นะ”

                “ค่ะ”

                “เดี๋ยวชั้นทำให้ดูก่อนนะ”

                “ค่ะ”

                “ดวงวิญญาณรอบตัวของข้าและดวงวิญญาณที่รับใช้ข้าจงพุ่งจู่โจมใส่เป้าหมายที่บังอาจขวางหน้าข้า Soul Strike”

                เมื่อคุณยูริร่ายเสร็จ ผมก็ได้ยินเสียงแก้วแตก หรือว่านี่จะเป็นเสียงประกอบสำหรับคนที่ใช้ถูกต้องแล้วกันนะ

                “แด่เทพเจ้าแห่งสายลมด้วยพลังแห่งธรรมชาติ จงป้องกันข้าจากอันตรายทั้งปวง โล่อากาศ!!”

                เมื่อผมหันไปทางต้นเสียงก็เห็นแม่ที่ทำแก้วแตกกำลังร่ายเวทย์อยู่

                แล้ว Sol Strike ก็ไปโดนโล่อากาศของแม่ผม จนพลังของ Soul Strike หายไป

                อ๋อ คือ เสียงแก้วแตกที่ได้ยินตอนแรก ไม่ได้เป็นเสียงประกอบของเวทย์มนต์ แต่เป็นแก้วที่แตกจริงๆ ก็ว่าอยู่แล้วเชียว

                “นี่!! คุณยูริคะ ชั้นให้คุณใช้กำแพงบ้านชั้นเป็นเป้าหมายตอนไหนคะ! อย่างน้อยก็ใช้เวทย์ดินทำกำแพงหน่อยได้ไหมคะ!”

                แม่ที่ปกป้องรั้วบ้านเสร็จก็วิ่งมาดุคุณยูริ

                “ขะ..ขอโทษค่ะ ชั้นเพียงแค่แสดงให้มาฮิโระดูเท่านั้นค่ะ ขอโทษด้วยค่ะ”

                แล้วคุณยูริก็ทำหน้าเศร้า

                “สัญญากันค่ะ ว่า-จะ-ไม่-ทำ-อีก-แล้ว!!”

                ถ้าถามว่าทำไมแม่โกรธได้ขนาดนี้ ก็คงเป็นเพราะว่ารั้วบ้านนั้นเป็นต้นไม้จากป่าในบ้านเกิดของแม่ เหมือนเป็นของที่ระลึก อะไรทำนองนั้น แม่เลยเอามาทำเป็นบ้านและรั้ว เพื่อให้รู้สึกเหมือนอยู่บ้านเกิดตลอดเวลา

                ผมเองก็เคยเห็นพ่อฝึกกระบวนดาบเพลิน จนไปฟันใส่กำแพงบ้านเข้า แม่ที่นั่งดูอยู่ก็วิ่งมากระทืบพ่อด้วยร่างเจ็ดหางทันที ก็เล่นทำเอาอัศวินระดับราชาดาบลงไปนอนจมกองเลือดได้เลยล่ะนะ

                “สะ..สะ..สัญญาค่ะ!”

                แม่ที่ตะคอกใส่คุณยูริก็เปลี่ยนไปอยู่ในร่างเจ็ดหางทันที ทำให้คุณยูริตกใจกลัว แล้วรีบตอบกลับทันที

                “ถ้าสัญญาแล้วก็ยกโทษให้ค่ะ แต่ถ้าเกิดยังมีครั้งหน้าอีก…”

                คุณแม่ยกนิ้วโป้งมาปาดคอตัวเอง เป็นการข่มขู่ว่า ครั้งหน้าตายแน่

                บรรยากาศบริเวณนี้ดูตึงขึ้น จนทำให้พ่อชะโงกหัวลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้นจากชั้นสอง

                “มะ..ไม่ทำแล้วค่ะ ไม่มีครั้งต่อไปด้วยค่ะ…”

                คุณยูริที่ตอบกลับแบบนั้น คุณแม่ก็กลับมาอยู่ในร่างคนปกติแล้วยิ้มออกมา

                “ถ้าอย่างนั้นชั้นก็ไม่ว่าอะไรคุณแล้วค่ะ ตามสบายเลย แล้วเดี๋ยวจะเอาน้ำมาให้นะคะ”

                แล้วคุณแม่ก็ใช้เวทย์มนเก็บเศษแก้วแล้วก็เข้าบ้านไป

                “เฮ้อ…เกือบโดนไล่ออกแล้วสิเรา”

                คุณยูริเอามือทาบหน้าอกตัวเองแล้วถอนหายใจเบาๆ

                “ไม่เป็นไรนะคะ คุณยูริ”

                ผมถามคุณยูริด้วยความเป็นห่วง มาทำงานวันแรก แต่เจอแบบนี้น่าจะฝังใจน่าดู

                “อืม…ชั้นไม่เป็นไรแล้วล่ะ มาต่อกันเลยนะ เดี๋ยวชั้นสร้างกำแพงดินเป็นเป้าให้”

                ผมพยักหน้าสองครั้ง แล้วเราก็เริ่มการเรียนการสอนต่อไป

 

—–

ใช่ครับ ผมได้แรงบรรดาลใจมาจากเกิดชาตินี้พี่ต้องเทพ นิดนึง แค่ช่วงนี้แหละ เพราะมันสอดคล้องกับเนื้อเรื่องพอดี

Comment

Options

not work with dark mode
Reset