ผมเกิดใหม่เป็นจิ้งจอกสาวเก้าหาง – ตอนที่ 9: ได้เพื่อนคนแรกแล้ว น่ารักน่ากอดน่าอุ้มสุดๆไปเลย

                “นี่ มาฮิโระจัง พร้อมหรือยังเนี่ย”

                “ยังเลยค่ะ”

                “ตอนนี้ก็สายแล้วนะ เดี๋ยวชั้นก็เดินทางออกไปเลยหรอก”

                คุณยูริพูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา

                วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่คุณยูริจะอยู่บ้านหลังนี้ ในตอนแรกคุณยูริก็จะเดินทางออกไปเลยอยู่หรอกนะ แต่เพราะผมกับคุณแม่ขอร้องให้คุณยูริให้อยู่ต่ออีกสักหน่อย คุณยูริก็เลยยอมใจอ่อนโดยแลกเงื่อนไขว่าผมต้องออกไปด้านนอกกับคุณยูริ

                คือผมเคยบอกเอาไว้ว่าผมกลัวด้านนอกบ้านน่ะ ถึงจะบ่ายเบี่ยงเหตุผลจริงๆไปก็เถอะ ถ้าเกิดบอกไปว่า

                “กลัวเสาไฟฟ้าล้มใส่ค่ะ”

                คือมันจะแปลกน่าดู เพราะที่นี่ไม่มีเสาไฟฟ้าที่ทำด้วยปูน แต่มีเสาตะเกียงที่ทำจากไม้ แถมพ่อยังเคยบอกเอาไว้ว่าเสาพวกนี้เปลี่ยนทุกๆหกเดือนเลยด้วย โอกาสหักต่ำมากเลยล่ะ

                แต่คือมันเป็นเหตุการณ์ฝังใจไปแล้วน่ะสิ

                แถมบางทีผมยังคิดเลยถ้าเกิดจู่ๆมีพวกบ้าที่ไหนไม่รู้เดินมาร่ายเวทย์

                “เสาอากาศ!”

                ใส่ผมขึ้นมา ต่อให้ผมไม่ตาย บางทีผมอาจจะช็อกตายก็ได้

                จริงๆก็ไม่น่าขนาดนั้น แต่ผมอาจจะกลัวจนขยับตัวไม่ได้เลยก็ได้ล่ะนะ

                เอาเถอะ ถ้าผมมัวระลึกความหลังคุณยูริจะต้องหนีผมไปแน่ๆ

                “มาแล้วค่ะคุณยูริ”

                “กว่าจะมาได้นะ ชั้นเกือบจะไปอยู่แล้วเชียว”

                ผมที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ จากนั้นผมกับคุณยูริก็เดินออกมาถึงหน้าบ้าน

                ผมเริ่มรู้สึกกลัวหน่อยๆจนต้องเกาะขาคุณยูริแล้วสิ

                “เธอกลัวข้างนอกจริงๆด้วยสินะ”

                “คิดว่าหนูพูดเล่นเหรอคะ…”

                ผมพูดตอบคุณยูริที่กำลังกลั้นขำพร้อมมองค้อนใส่

                “จะกลัวอะไรกันล่ะ ถ้าจะกลัวมอนสเตอร์ มีชั้นอยู่ทั้งคนเลยนะ อีกอย่างเธอเองก็สู้ไหวอยู่แล้วล่ะ”

                คุณยูริพูดปลอบพร้อมกับลูบหัวผม วันนี้มาแปลกแฮะปกติคุณยูริไม่ค่อยทำอะไรแบบนี้ด้วยสิ

                “มันเป็นการฆ่าสิ่งมาชีวิตจริงๆเลยนะคะ…”

                “ทำใจไว้เลยนะ ถ้าเกิดเลือกมาทางสายนี้แล้ว สักวันก็ต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตจริงๆอยู่ดีนั่นแหละ”

                คุณยูริพูดปลอบใจผม แต่ทว่าสีหน้าที่แสดงออกมานั้นเหมือนกับเจอเรื่องร้ายๆมาก่อน

                ผมพยักหน้ารับเบาๆก่อนที่คุณยูริจะเริ่มเดินต่อ

                “จะว่าไป เธอเก่งขนาดนี้ อีกไม่นานก็คงได้จดหมายจากผู้อำนวยการโรงเรียนเวทย์มนต์มาเจสตี้ก็ได้นะ”

                “คงไม่หรอกค่ะ หนูไม่ได้เก่งขนาดนั้นซะหน่อย”

                “เดี๋ยวก่อน นี่เธอคิดว่าเด็กอายุห้าขวบที่เป็นจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์แบบถนัดทุกธาตุมันหาได้ง่ายๆหรือยังไงกัน ชั้นเองก็ใช้เวลาอยู่นานโขเชียวนะ แถมคนที่เป็นจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์อายุน้อยที่สุดก็คือเธอนะ”

                “ขอโทษค่ะ แฮะๆ”

                ผมขอโทษคุณยูริที่ผมถ่อมตัวเกินไป ก็ผมได้พรมานี่นา

                “ว่าแต่เธอน่ะ ไม่เคยออกจากบ้านเลยสินะ แสดงว่าเธอไม่มีเพื่อนเลยล่ะสิ”

                “ค่ะ”

                คุณยูริเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดบอกผมด้วยสีหน้ารู้สึกสนุก

                “งั้นภารกิจของเธอคือหาเพื่อนก็แล้วกัน”

                “เอ๊ะ..?”

                เดี๋ยวสิผมเพิ่งจะออกจากบ้านมานิดหน่อยเองนะ จะให้ผมหาเพื่อนเลยเหรอ ผมไม่ได้เตรียมใจมาด้วยสิ อีกอย่างการเข้าสังคมที่ผ่านมาของผมนั้น ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่

                คุณยูริพูดเสร็จก็บอกกับผมว่า“ขอตัวไปทำธุระสักครู่ให้เดินหาเพื่อนไปก่อนเลย”แล้วก็เดินหายไป

                ผมจึงต้องจำใจเดินต่อไปคนเดียว

                ผมเดินไปเรื่อยๆทางตรงจะได้ไม่หลงทาง พอเดินไปสักพักผมก็เจอกับกลุ่มเด็กผู้ชายที่กำลังแกล้งเด็กผู้หญิงที่เดินผ่านมาอยู่

                ทันใดนั้นเองภาพความทรงจำสมัยตอนที่ผมมักจะถูกแกล้งก็ย้อนคืนกลับมา ถึงผมจะทำใจได้เรื่องถูกแกล้ง แต่การเข้าไปช่วยนั่นเท่ากับการเป็นศัตรูกับพวกหัวโจก…และนั่นจะทำให้ผมหาเพื่อนได้ยาก…

                …ทำยังไงดี…ผมควรจะเข้าไปช่วยหรือเปล่านะ…ผมควรจะเดินหนีไปเหมือนไม่เคยเห็นหรือเปล่า…

                ตัดสินใจแล้ว ผมจะช่วยผู้หญิงคนนั้น เพราะว่านี่คือการเริ่มต้นใหม่ของผม เรื่องสมัยก่อนน่ะ ช่างมันไปสิ!

                และอีกอย่างคือในฐานะ(อดีต)ลูกผู้ชายยังไงล่ะ!

                “เฮ้ยพวกเรา ไอ้เจ้านี่มันไปขโมยของใครมาวะ ไปแย่งของมันมาเร็ว”

                ผู้ชายที่ไหนเขาแกล้งเด็กผู้หญิงกันล่ะ! สุภาพบุรุษกันหน่อยสิ!

                “หยุดนะ!!”

                ผมตะโกนใส่พวกเด็กเกเรที่กำลังง้างหมัดใส่ผู้หญิง

                “อะไรของแกน่ะ เป็นแค่ผู้หญิงแท้ๆ อยู่เงียบๆซะ ถ้าไม่อยากโดนเหมือนเจ้านี่”

                “แล้วพวกนายล่ะ! เป็นผู้ชายประสาอะไรทำไมถึงรังแกผู้หญิงล่ะ”

                ผมตะโกนด่าพวกเด็กเกเร แต่พอพวกนั้นได้ยินผมพูดก็ทำหน้างงเล็กน้อยก่อนจะเถียงผมต่อ

                “ก็เจ้านั่นมันขโมยของมายังไงล่ะ ว่าแต่แกล่ะ เป็นลูกเจ้าเมืองใช่ไหม”

                “ใช่ ชั้นเอง และถ้าเธอคนนี้เป็นคนขโมยของมาจริงก็คงต้องรีบเดินหนีหรือวิ่งออกไปตั้งแต่ตอนขโมยมาแล้วสิ! พวกนายน่ะ ก็แค่อยากจะแกล้งใช่ไหมล่ะ!”

                พอผมพูดชี้ถูกจุด หัวโจกก็ทำหน้าเลิ่กลั่ก

                “มะ..ไม่ใช่นะ! เจ้านี่น่ะขโมยของมา!”

                “ถ้าอย่างนั้น…เธอช่วยบอกชั้นได้ไหมว่านั่นคืออะไร”

                ผมพูดพร้อมส่งรอยยิ้มให้เด็กผู้หญิงตรงหน้า

                “ข้าวกล่อง…ของคุณพ่อ”

                “อย่าไปเชื่อมันนะ! เจ้านี่น่ะเป็นหัวขโมยต่างหาก!”

                ผมเมินเด็กหัวโจกแล้วพูดกับเด็กผู้หญิงตรงหน้าแทน

                “ถ้าอย่างนั้น…ขอชั้นดูหน่อยได้ไหม”

                “อะ..อืม”

                พอผมได้เปิดดูแล้วนั้น…ใช่ มันคือข้าวกล่อง เพราะมันมีแต่ข้าว ไม่มีกับข้าวเลย

                “นี่นายน่ะ…สรุปแล้วก็แค่อยากแกล้งเด็กผู้หญิงคนนี้ใช่ไหมล่ะ!”

                “มะ..ไม่ใช่! มันต้องใช้เวทย์ลวงตาแน่!”

                “ชั้นว่าพวกนายควรพอได้แล้วนะ…”

                ผมพูดเตือนพวกเด็กเกเรเป็นครั้งสุดท้าย

                “อะไรกันเล่า! ก็ยัยนี่มันขโมยของมานี่ ใช่ไหมพวกเรา ไอ้เจ้านี่มันก็ขโมยของคนอื่นทุกวันแหละ ฮ่าๆ”

                ความจริงแล้วการที่อีกฝ่ายเถียงหัวชนฝาขนาดนั้น มันมีความเป็นไปได้ว่าสิ่งที่เด็กหัวโจกพูดจะเป็นความจริง แต่ผมจับความผิดปกติเรื่องนี้ได้บางส่วน เช่นหัวโจกพวกนี้มันจะพูดตะกุกตะกักหรือเลิ่กลั่กเวลาผมพูดตรงจุด และเด็กผู้หญิงคนนี้เองก็มีท่าทางที่กลัวอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด แต่ไม่ได้เกิดจากการที่กลัวว่าอีกฝ่ายจับได้ว่าทำผิด แต่เป็นความกลัวที่โดนแกล้ง และยังมีความโกรธปะปนอยู่ด้วย ถ้าเกิดถามว่าทำไมผมถึงรู้น่ะเหรอ… เพราะผมเองก็เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาเหมือนกัน

                ถึงสุดท้ายผมก็ซ้อมพวกที่มาแกล้งผมจนหมอบก็เถอะ

                “แกล้งอีกฝ่ายที่เป็นเด็กผู้หญิง แถมยังทำร้ายร่างกายอีก นี่น่ะเหรอผู้ชายน่ะ!”

                “เป็นแค่ผู้หญิงแท้ๆ พวกเรา! จัดการยัยลูกเจ้าเมืองเลย!”

                ตอนนี้พวกเด็กเกเรก็เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นผมเรียบร้อย ถึงผมจะไม่มั่นใจว่าจะสามารถสู้เด็กพวกนี้ได้หรือเปล่า แต่จากที่คุณยูริได้บอกเอาไว้ ผมน่าจะสู้ได้สบายๆเลย

                “โห..? ก็เข้ามาสิ”

                “ขอเตือนไว้ก่อนเลยนะยัยลูกเจ้าเมือง ยอมแพ้ตอนนี้ยังทันนะ”

                “เป็นแค่เด็กผู้หญิงแท้ๆล่ะนะ ขอร้องพวกฉันสิ ฮ่าๆๆ”

                ลูกน้องทั้งสองของเด็กเกเรพูดขึ้นมาและก็หัวเราะพร้อมกัน

                “หวายกลัวจังเลยค่ะ”

                ผมพูดล้อเลียนพร้อมเอาหน้าซุกไหล่เด็กผู้หญิงเพื่อแสดงว่าตัวเองกำลังกลัว

                “ปากดีนักนะ! ด้วยพลังแห่งธรรมชาติแด่เทพเจ้าแห่งไฟ จงสถิตในมือข้า ไฟบอล!!”

                แหม เปิดมาก็ใช้เวทย์ที่ทำให้คนธรรมดาบาดเจ็บเกือบสาหัสได้เลยนะ

                “ช่วยไม่ได้นะคะ คุณคุโระคะ รบกวนช่วยหน่อยนะคะ”

                ผมเรียกคุณคุโระออกมา ผมไม่รู้ว่าผมจะสู้เด็กพวกนี้ได้หรือเปล่า แต่อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ ผมอาจจะสู้ได้ แต่ให้คุณคุโระมาสู้แทนอย่างน้อยคุณคุโระเขาก็น่าจะควบคุมอะไรได้ดีกว่าผม เพราะปกติผมจะใช้เวทย์สู้กับผู้ใหญ่ แต่กับเด็กวัยเดียวกัน ผมไม่เคย

                “เฮ้อ…รับทราบครับคุณหนู รู้ไหมว่าผมกำลังยุ่งกับชิโระอยู่เลยนะครับ เสียดายจริงๆ”

                ว้ายๆ สองคนนี้ยังไงกันคะเนี่ย หรือว่า… ไม่พูดดีกว่า

                “ขี้โกง! ไปเรียกผู้ใหญ่มาช่วยนี่นา! แต่ก็รับไปซะเถอะ เวทย์ลูกบอลไฟของ[email protected]%ผู้นี้”

                ทำไมผมถึงไม่ได้ยินชื่อของไอ้เจ้านี่ตอนมันพูดกันนะ

                ในทันทีที่ลูกไฟเข้าระยะฟันของคุณคุโระก็ใช้สันมือฟันเข้าใส่ลูกไฟนั่นทันที

                แหม จะเก่งเกินไปแล้วนะเนี่ย

                “บ้าน่า! นี่แกเป็นปีศาจหรือยังไงกัน!”

                ไอ้หัวโจกหลังจากที่เห็นว่าลูกบอลไฟของตัวเองโดนฟันทิ้งด่าสันมือก็ทำหน้าเหวอพร้อมตะโกนถามออกมาด้วยความตกใจ

                ลูกตาจะถลนออกมาแล้วนะนั่นน่ะ

                “…”

                คุณคุโระเงียบไม่ตอบหัวโจกคนนั้นพร้อมกับยืนตั้งรับอย่างสบายๆ

                “นี่ชั้นถามแกอยู่นะเฟ้ย!”

                “คุณหนูครับ อนุญาตให้ผมตอบไหมครับ”

                คุณคุโระหันหลังกลับมาถามผมโดยไม่ได้สนใจเด็กเกเรด้านหน้า

                ผมพยักหน้าสองทีเป็นการตอบรับ

                “ผมไม่ใช่ปีศาจหรอกนะ ผมก็แค่พ่อบ้านที่เคยเป็นอดีตราชาองค์รักษ์โต้กลับแค่นั้นเอง”

                พอคุณคุโระพูดเสร็จก็ปล่อยแรงกดดันออกมาจนพวกเด็กเกเรกลัว

                “ถะ..โถ่เอ๊ย! ถอยก่อนก็ได้! แต่ที่ถอยก็เพราะมีธุระอื่นต่างหากล่ะ! พวกเราน่ะไม่ได้แพ้ราชาดาบจอมปลอมกับยัยคุณหนูที่เป็นพวกโจรหรอกนะ! ไปเว้ย!”

                จากนั้นพวกเด็กเกเรก็วิ่งหนีออกไป

                จ้า ชั้นเป็นคุณหนูจอมโจรจ้า

                “ถ้าเกิดว่าเรียบร้อยแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมขอกลับไปก่อนนะครับ ให้ตายสิ กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มเลย”

                “ค่ะ วันนี้คงไม่รบกวนแล้วค่ะ กลับไปกระหนุงหระหนิงกับคุณชิโระได้ตามสบายเลยนะคะ”

                คุณคุโระหน้าแดงก่อนจะหันหลังกลับด้วยความเขินแล้วก็หายตัวไป

                แหม ผมเห็นนะที่วันก่อนคุณคุโระพยายามจับมือคุณชิโระน่ะ

                “ขอบคุณมากเลย…นะครับ”

                เด็กผู้หญิงที่ผมช่วยเอาไว้พูดขอบคุณผม แต่เดี๋ยวนะ “ครับ” อย่างนั้นเหรอ…

                “เธอเป็นผู้ชายอย่างนั้นเหรอ…”

                อ๊ะ! หลุดปากออกไปซะแล้ว

                “ใช่ครับ…ผมเป็นผู้ชาย”

                อ๊า! นายคนนี้น่ารักเสียจนผมรู้สึกผิดที่เกิดมาเป็นผู้หญิงเลยนะเนี่ย

                “แล้วเธ—เอ๊ย นายชื่ออะไรเหรอ”

                ผมถามพร้อมยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆด้วยความสนใจ

                “ผะ..ผมชื่อคาเอลครับ”

                พอผมยื่นหน้าเข้าไปใกล้คาเอลก็หน้าแดงขึ้นมา

                ทำไมนายถึงได้น่ารักน่ากอดอย่างนี้เนี่ย!

                “แล้ว ข้าวกล่องเปล่าๆนี้คาเอลจะเอาไปให้ใครเหรอ”

                “เอาไปให้ท่านพ่อครับ”

                “อ๋อ…อ๊ะ ชั้นลืมแนะนำตัวเองเลย ชั้นชื่อ มาฮิโระ อิจิฮานะ ชื่อเล่นของชั้นคือมากิ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”

                ให้ตายเถอะ ผมเกือบจะแนะนำตัวว่า ชื่อเล่นของชั้นคือ มากินะ แล้วไหมล่ะ ไม่อย่างนั้นผมคงต้องเปลี่ยนจากชื่อมากิ เป็น มากินะ แล้วไหมล่ะ

                ไม่รู้ทำไมคาเอลถึงได้หน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความน่ารักของคาเอล ผมเลยอยากลองแกล้งแบบในอนิเมะดูซักครั้ง นั่นก็คือ

                “นายเป็นหวัดหรือเปล่า”

                พูดเสร็จผมก็เอาหน้าผากของผมไปแตะหน้าผากคาเอล

                “วะ..หวา! อย่าทำแบบนี้เลยครับคุณมากิ”

                ว่าแล้วคาเอลก็เอามือดันผมออกไป

                ทำไมน่ารักจังเลย

                “อืม นายตัวร้อนนะ แต่ว่านะ นายอย่าพูดสุภาพกับชั้นเลย ไม่ต้องเรียกชั้นว่าคุณก็ได้ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันแล้วนะ”

                “เพื่อน…อย่างนั้นเหรอ”

                “นายไม่เคยมีเพื่อนเลยเหรอคาเอล”

                คาเอลก้มหน้าลงต่ำแล้วผงกหัวเบาๆ

                “ถ้าอย่างนั้น ชั้นกับนายก็เป็นเพื่อนคนแรกของกันและกันสิ เนอะ”

                พอผมพูดเสร็จ คาเอลก็น้ำตาไหลออกมา อย่าร้องไห้สิ เดี๋ยวผมจะร้องตามเอานะ?

                “มากิก็ไม่เคยมีเพื่อนเหมือนกันเหรอครับ”

                คาเอลเช็ดน้ำตาก่อนจะถามผม

                “ก็นะ ชั้นต้องเรียนเวทย์มนต์ที่บ้านตลอดเลยน่ะ อีกอย่าง ชั้นยังต้องออกกำลังกายและฝึกดาบอีก แถมชั้นเองก็ชอบอ่านหนังสือด้วยน่ะ เลยไม่เคยออกจากบ้านเลย ชั้นก็เลยไม่มีเพื่อนล่ะนะ”

                “เวทย์มนต์เหรอครับ…สุดยอดเลย มากิช่วยสอนเวทย์มนต์ให้กับผมได้ไหมครับ!”

                “ก็ได้อยู่นะ แต่ชั้นไม่รู้ว่านายถนัดธาตุอะไรน่ะสิ”

                “ไม่ใช่ว่าใช้ได้ทุกธาตุเหรอครับ”

                เอาล่ะในเวลาแบบนี้ต้องมีกระดานกับไม้ชี้กระดานให้ผมอธิบายแล้วล่ะ

                “จริงๆตอนแรกที่ชั้นอ่านหนังสือก็คิดเหมือนนาย แต่ว่ามันจะมีความต่างกันอยู่ อย่างเช่น สมมติว่า ชั้นถนัดธาตุไฟกับน้ำ แต่ธาตุที่เหลือไม่ถนัด เวลาใช้ธาตุไฟกับน้ำ จะมีความรุนแรงกว่า มีประสิทธิภาพกว่า แต่พอเป็นธาตุอื่นๆมันก็จะเบากว่าเล็กน้อย แต่เห็นได้ชัดล่ะ”

                ถึงผมจะพูดไปแบบนั้นแต่จริงๆแล้วถนัดทุกธาตุก็เถอะ

                แต่ผมเคยได้ยินว่าผู้กล้าในตำนานถึงไม่ถนัดทุกธาตุก็ยังมีความรุนแรงอยู่มากๆล่ะนะ

                “ถ้าอย่างนั้นช่วยสอนผมด้วยเถอะครับ”

                “ชั้นสอนไม่เก่งหรอกนะ แต่ที่บ้านก็มีหนังสืออยู่ นายอ่านออกใช่ไหม”

                “ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอไปบ้านมากิเลยได้ไหมครับ”

                จริงๆผมก็อยากจะเล่นมุกผู้ชายขอเข้าบ้านล่ะ

                “ไม่ใช่ว่านายต้องเอาข้าวไปให้พ่อเหรอ”

                คาเอลทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้แล้วก็วิ่งออกไปโดยลืมข้าวกล่องไว้

                “เดี๋ยว! คาเอล! ข้าวนายอยู่นี่! แล้วนายจะเอาข้าวเปล่าๆไปให้พ่อกินอย่างเดียวเรอะ!”

                แล้วคาเอลก็วิ่งกลับมา

                “ชอบคุณที่เตือนนะครับ แต่เรื่องกับข้าว…คือ…”

                “คือ..?”

                คาเอลหลับตาปี๋พร้อมตะโกนออกมา

                “ผมทำกับข้าวไม่เป็นครับ!”

                “…คิก..คิกคิก…”

                ผมพยามยามกลั้นหัวเราะเอาไว้ โอ้ย เรื่องแค่นี้เอง นายจะเศร้าไปทำไมเนี่ย จะ..จะกลั้นไม่ไหวแล้วนะ คิกคิก

                “อย่าหัวเราะสิครับ!”

                “แหม ก็มันไม่ใช่เรื่องใหญ่นี่นา ปกติผู้ชายหุงข้าวได้ก็เก่งแล้วนะ”

                “อย่างนั้นเหรอครับ…”

                “เอาล่ะ ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวชั้นให้คุณแม่บ้านของชั้นทำอาหารมาให้นะ”

                “รบกวนด้วยนะครับ…”

                ผมพยักหน้าให้แล้วก็เรียกคุณคุโระออกมา

                “เหวอ!”

                คาเอลตกใจที่คุณคุโระโผล่มากะทันหัน แหมตอนที่ผมเรียกคุณคุโระมาครั้งแรกไม่เห็นตกใจ

                “มีอะไรอีกครับคุณหนู ตอนนี้ผมกำลังยุ่งกับชิโระอยู่นะ”

                “คือคุณคุโระคะ รู้แล้วค่ะว่าจีบกันอยู่ แต่ไม่ต้องบอกทุกครั้งก็ได้ค่ะว่ากำลังยุ่งอยู่กับคุณชิโระ”

                “อึก… แล้วที่เรียกมามีอะไรครับ”

                “หนูจะขอฝากให้คุณชิโระทำกับข้าวอะไรก็ได้ที่กินกับข้าวที่เร็วและอร่อยที่สุดมาให้หน่อยค่ะ พอดีจะให้คาเอลเอาไปให้พ่อของคาเอลค่ะ”

                “เด็กคนนี้คือคาเอลสินะครับ รับทราบครับ”

                แล้วคุณคุโระก็หายตัวไป

                ผมกับคาเอลก็เลยนั่งรออยู่ที่เดิมแล้วก็คุยกันเพื่อทำความรู้จักให้มากขึ้น ผมกับคาเอลก็คุยกันไปเรื่อยๆจนผมถามถึงสิ่งที่ผมคาใจมาตั้งแต่ตอนแรก

                “จะว่าไป ทำไมนายถึงไว้ผมยาวเหรอ”

                ถ้าคาเอลยังไว้ผมยาวต่อไป สักวันหนึ่งผมอาจจะจับกดคาเอลก็ได้นะ

                “คือว่า ผมคิดว่ามันเหมาะกับผมดีน่ะครับ”

                “ชั้นก็ว่ามันเหมาะ…เหมาะมากถ้านายเป็นผู้หญิงล่ะนะ”

                คาเอลทำหน้าช็อคแล้วลงไปคุกเข่าในท่า Orz บนพื้น

                “ครับ…หลังจากนี้ผมจะไว้ผมสั้นแล้วครับ..ฮึก”

                อย่าร้องไห้นะ! ตอนนายยังผมยาวยังน่ารักอยู่เลย!

                “แล้วนายจะตัดผมยังไงล่ะ”

                “ก็คงต้องหาอะไรคมๆหน่อยมาเฉือนล่ะครับ”

                “ชั้นคิดว่าหาอะไรที่มันคมกว่านี้จะดีกว่านะ เพราะว่าอย่างน้อยมันก็จะเป็นทรงที่เราต้องการมากกว่า”

                ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะเส้นผมของคาเอลเนี่ยเรียกได้ว่าดูแลมาสุดๆ นุ่มสวยสลวยพอๆกับผมที่ดูแลมาอย่างดีเลยล่ะ เล่นเอาเสียดายนิดๆเลยนะเนี่ย

                “ถ้าอย่างนั้นเอาอะไรมาตัดดีครับ”

                “เดี๋ยวชั้นใช้เวทย์มนต์ช่วยให้นะ”

                “ฝากด้วยนะครับ”

                ว่าแล้วผมก็ใช้เวทย์มีดสายลมแล้วค่อยๆตัดผมของคาเอลออก

 

                สองนาทีผ่านไป

 

                “ทรงนี้นะ เสร็จแล้ว”

                “ขอบคุณนะครับ ว่าแต่เมื่อกี้มากิใช้อุปกรณ์เวทย์เหรอครับ”

                “เปล่าๆ ชั้นใช้เวทย์โดยไม่ร่ายได้น่ะ”

                “ทำยังไงเหรอครับ!”

                คาเอลถามผมด้วยความตื่นเต้น ทำไมผมรู้สึกเหมือนเห็นประกายวิบวับๆด้วยล่ะเนี่ย

                “เอาไว้ชั้นค่อยบอกตอนไปที่บ้านของชั้นก็แล้วกันนะ”

                เอาล่ะๆ ขอผมมาอธิบายทรงผมของคาเอลดีกว่า แน่นอนว่าผมไม่รู้ว่าเรียกทรงนี้ว่าอะไร ผมรู้แต่ชื่อทรงผมผู้หญิงล่ะนะ แต่อธิบายทรงนี้ว่า จากเด็กผู้หญิงน่ารักสู่เด็กชายสุดหล่อเลยล่ะ หล่อจนหมั่นไส้เลยนะเนี่ย

                แง หล่อกว่าผมในชาติที่แล้วอีก!

                

                หลังจากนั้นพวกผมก็นั่งรออีกสักแปบนึงคุณคุโระก็โผล่มานำอาหารมาส่ง แล้วก็หายตัวกลับไปที่บ้านเลย

                “ถ้าอย่างนั้น เราไปกันเลยนะ เดี๋ยวชั้นถือกับข้าวให้นะคาเอล”

                “ขอบคุณครับ”

 

 

—-
เปิดตัวพระเอกคนเดียวของเรื่องงง

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset