ผมเกิดใหม่เป็นจิ้งจอกสาวเก้าหาง – ตอนที่ 14: ดอกไม้สีขาว

                “อืม…”

                อา…ที่นี่ที่ไหนเนี่ย สภาพไม่เหมือนห้องของผมเลยสักนิด ผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมอยู่ในป่ากับคาเอล แล้วผมก็ซ่อนตัวอยู่ในกำแพงดิน

                อ๋อ ผมใช้พลังเวทย์ที่เหลืออยู่ในตอนนั้นเสริมความแข็งแกร่งของกำแพงดินแล้วสลบไปสินะ

                ว่าแต่นี่ผมแข่งสลบกับคุณซาเรียอยู่จริงๆใช่ไหมเนี่ย?

                ยังไงก็ตาม การที่ผมยังมีชีวิตและไม่ได้อยู่ห้องของตัวเองก็ต้องเป็นโรงพยาบาลล่ะนะ

                แผลของผมไม่ได้มากกว่าตอนก่อนจะสลบไป เพราะฉะนั้นผมคิดว่าคาเอลก็คงจะปลอดภัยดีล่ะมั้งนะ

                แต่รู้สึกเป็นห่วงคาเอลมากๆเลยแฮะ อาจจะด้วยที่ผมรู้สึกผิดที่ทำเหมือนหนีปัญหาด้วยการสลบไปเลย รู้สึกผิดสุดๆเลยล่ะ

                ผมลุกขึ้นนั่งจัดหมอนใหม่แล้วเอนลงไปแทน นอนนานๆแล้วมันก็เมื่อยล่ะนะ

                “หืม? ดอกทิวลิปงั้นเหรอ สีชมพูซะด้วย”

                ผมพูดถึงดอกไม้ในแจกันที่วางอยู่บนโต๊ะข้างๆหัวเตียง รู้ใจกันจริงๆเลยนะ คงจะเป็นฝีมือของคุณแม่ล่ะมั้ง ผมน่ะชอบดอกนี้ถึงขั้นเอาไปใส่กระถางในห้องแล้วรดน้ำทุกวันเลยนะ

                ไงล่ะ ผมน่ารักใช่ไหมล่ะ

                อาจจะด้วยความที่ตอนนี้มันเช้ามากๆเพราะพระอาทิตย์เพิ่งขึ้น ก็เลยยังไม่มีใครมาหาผมเลย อย่างน้อยผมก็ได้นอนพักจนรู้สึกหายเหนื่อยจากการใช้พลังเวทย์จนหมดล่ะนะ

                อยากรู้จังเลยว่าคาเอลจะเป็นยังไงบ้างนะ ผมคิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไร แต่ก็เป็นห่วงอยู่ดีแฮะ

                ใจจริงผมก็อยากจะลุกออกไปเลยก็เถอะ แต่ไม่รู้ว่าคุณหมอหรือพยาบาลจะว่าเอาหรือเปล่า เพราะอย่างนั้นผมคงต้องนั่งรอจนกว่าจะมีใครมาหาผมล่ะนะ ระหว่างนี้ก็หวีผมรอแล้วกัน อย่างน้อยผมก็ขอดูดีตลอดเวลาดีกว่าล่ะ

 

 

 

                ผมที่ว่างมากๆก็มองออกไปยังนอกหน้าต่าง ดูพระอาทิตย์ค่อยๆพ้นจากหลังภูเขา กับแสงที่กระทบลงแม่น้ำที่ตัดผ่านใกล้ๆ ถ้าเป็นโลกที่ผมเคยอยู่ จะหาดูแบบนี้ได้ที่ไหนบ้างนะ

                “โอ…ท่านเทพ…”

                “เหมือนเจ้าหญิงเลยนะ”

                “ลูกสาวแม่จัดท่าทางวางตัวดีเก่งนะเนี่ย”

                ผมที่กำลังเหม่อมองอยู่ก็เลยตกใจเล็กน้อยที่จู่ๆม่านก็เปิดแถมพูดอะไรกันก็ไม่รู้

                อ๊ะ คุณแม่ กับคาเอลที่ถือตะกร้าผลไม้ แล้วก็…คุณหมอล่ะมั้ง

 

 

 

 

                “ลูกสงสัยล่ะสิว่าผู้หญิงข้างๆแม่เป็นใครน่ะ”

                ผมค่อยๆพยักหน้าตอบ ก็น่าจะเป็นคุณหมอแหละ แต่เอ๊ะ เป็นหมอ มากับแม่และคาเอล ต้องเป็นแม่ของคาเอลแน่เลย!

                “น้าเป็นกิ๊กของคุณจิฮิโระจ้า”

                “ใช่แล้วล่ะ นี่กิ๊กของแม่เองล่ะ”

                แล้วทั้งสองก็หันไปหอมแก้มกันคนละที

                เอ๊ะ…เอ๊ะ! นี่แม่ผมก็มีรสนิยมแบบนี้เหรอ เอ๊ะ ไม่หรอก จริงๆเรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าแปลกอะไรในโลกเดิมของผมล่ะนะ แต่ก็คงจะไม่แปลกในโลกนี้เหมือนกันล่ะนะ แต่ผมก็มีสามีซึ่งก็คือพ่อของผม ถือว่าเป็นไบเซ็กชวลสินะ อืม อืม

                “บอกความจริงไปเถอะค่ะคุณจิฮิโระ ลูกสาวคุณสติแตกไปแล้วนะคะ”

                “แม่ล้อเล่นๆ นี่คือคุณเอลลี่ เป็นแม่ของคาเอลและก็เป็นหมอที่นี่ด้วยจ้ะ”

                “โถ่คุณแม่กับคุณน้าล่ะก็ สวัสดีค่ะคุณน้าเอลลี่ หนูมาฮิโระค่ะ เรียกหนูว่ามากิก็ได้ค่ะ”

                ผมหน้ามุ่ยตอบจากนั้นก็แนะนำตัวอย่างเป็นกันเองจากความเป็นกันเองของคุณน้าเอลลี่ล่ะนะ

                “ลูกรู้สึกยังไงบ้างล่ะ รู้สึกเหนื่อยหรือเจ็บตรงไหนไหมใช้เวทย์มนต์แล้วรู้สึกเหนื่อยหรือเปล่า”

                แม่ยิงคำถามใส่ผมเป็นชุดเลยแฮะ แน่ล่ะ ก็ผมเป็นลูกสาวนี่นา

                ผมก็เลยลองจุดไฟที่ปลายนิ้วชี้ดู ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเท่าไหร่ แต่คุณน้าเอลลี่ทำตาลุกวาวเลยล่ะ

                “นอกจากหิวก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษเลยค่ะ”

                ก็ตั้งแต่เมื่อวานตอนที่พ่อไปเอาข้าวจนผมสลบถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยล่ะนะ

                “นั่นสินะ ตั้งแต่พ่อพาลูกกลับมา ลูกก็หลับไม่ตื่นรวมๆก็สองวันเลยนี่นะ”

                นี่ผมหลับไปสองวันเลยเหรอเนี่ย มิน่าล่ะถึงได้รู้สึกหิวแปลกๆ

                สรุปคือผมกำลังแข่งสลบกับซาเรียจังอยู่จริงๆสินะ ถึงจะพูดแบบนั้นแต่ซาเรียจังไม่สนใจใครนอกจากอาเมสอยู่ดี

                “ดูจากอาการแล้ว คงไม่เป็นอะไรแล้วล่ะค่ะคุณจิฮิโระ ให้กินข้าวแล้วพักอีกสักหน่อย เย็นนี้กลับเองได้แล้วล่ะค่ะ”

                แม่มองคาเอลสลับกับผมก่อนจะจับมือคุณน้าเอลลี่แล้วลากออกไป

                “งั้นแม่กับคุณเอลลี่ออกไปหาซื้ออะไรมาให้ลูกกินก่อนนะจ๊ะ กินผลไม้ที่คาเอลเอามาฝากไปก่อนนะลูก”

                มีการหันหลังกลับมาปิดม่านให้ด้วยแฮะ

                คาเอลแอบหลบตาผมอยู่ล่ะ

                “เป็นอะไรหรือเปล่าคาเอล มานั่งที่เก้าอี้ก่อนสิ”

                คาเอลตอบรับแล้วก็นั่งที่เก้าอี้ แต่ยังคงหลบตาผมอยู่ดี

                “เพราะผมไล่งูแบบไม่ระวังก็เลยทำให้มากิสลบไปสองวัน…”

                โถ่ เรื่องนั้นมันสุดวิสัยไม่ใช่หรือไง แถมก่อนสลบไป เราก็คุยกันแล้วนี่นา แต่ก็อาจจะเป็นเพราะเห็นผมสลบไปสองวันล่ะมั้งเลยกลับมารู้สึกผิดอีกรอบ

                “โถ่คาเอล ไม่เห็นต้องรู้สึกผิดเลย ชั้นแข็งแรงดีนะเห็นไหม ห้ามเถียงแล้วนะ เพราะอย่างนั้นหันมามองหน้าชั้นได้แล้ว”

                “คะ..ครับ”

                ผมกับคาเอลจ้องตากันกว่าสิบวิ

                “อย่างนั้นแหละ… โล่งใจขึ้นไหมคาเอล”

                ผมคลี่ยิ้มออกมาบางๆเหมือนตอนที่ไปเล่นน้ำตกด้วยกัน

                “กะ..กินแอปเปิ้ลไหมครับ”

                คาเอลหยิบแอปเปิ้ลยื่นมาให้ผมทั้งลูก

                “หืม…หั่นแอปเปิ้ลให้ชั้นด้วยสิ”

                ตอนนี้ผมยังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ จะให้กัดเลยแบบเด็กผู้ชายมันก็…ทำได้แหละ แต่ปากผมมันเล็กน่ะ กินยากนะ แถมผมก็ไม่อยากให้คาเอลเห็นผมอ้าปากกว้างด้วยน่ะสิ แบบว่า มันน่าอายออกนะ

                “ผมว่าผมทำแล้วมันจะเละเอานะครับ…”

                “ช่วยไม่ได้ล่ะนะ ส่งมาสิ เอามีดในตะกร้ามาด้วยนะ”

                “ครับ”

                คาเอลยื่นแอปเปิ้ลและมีดมาให้ผม แน่นอนว่าผมทำเป็นอยู่แล้วล่ะนะเพราะว่าแม่ผมสอนมาดียังไงล่ะ

                เมื่อผมหั่นเสร็จก็หยิบออกมาหนึ่งชิ้นแล้วหันไปทางคาเอล

                “อ้าปากเร็ว อ้าม…”

                ผมป้อนแอปเปิ้ลคาเอล

                อย่าคิดอะไรแปลกๆกันล่ะ ผมน่ะก็แค่ป้อนเพื่อเป็นการขอโทษที่ปล่อยให้คาเอลอยู่คนเดียวตอนผมสลบไปล่ะนะ

                “อร่อยไหมคะ”

                คาเอลพยักหน้าด้วยความเขิน แน่นอนว่าอันนี้ผมตั้งใจแกล้งล่ะ

                แล้วผมก็แบ่งกินแอปเปิ้ลกับคาเอลคนละครึ่งจากทั้งหมดหกลูก

                ผมเริ่มรู้สึกอิ่มแล้วสิ ตอนนี้น่าจะเก้าโมงอยู่ ถือว่าแอปเปิ้ลเป็นข้าวเช้าของผมแล้วกันนะ

                จะว่าไปสองวันที่ผมสลบไป คาเอลทำอะไรบ้างกันนะ

                “ตอนที่ชั้นนอนหลับไป นายทำอะไรบ้างล่ะ เล่าให้ชั้นฟังหน่อยสิ”

                “ผมก็ไม่ได้ทำอะไรหรอกครับ ผมมานั่งรออยู่ตรงนี้ รอว่ามากิจะฟื้นตอนไหนน่ะครับ”

                เป็นห่วงผมขนาดนั้นเลยสินะ รู้สึกดีใจแบบแปลกๆแฮะ

                “ขอบคุณนะที่เป็นห่วงชั้นขนาดนี้ นายจะไม่เหงาแล้วนะ พรุ่งนี้ชั้นก็ยังคงต้องพักอยู่อีกล่ะมั้ง เพราะอย่างนั้นเราก็จะได้ไปเล่นกันล่ะนะ ถึงชั้นจะเดาว่าชั้นคงไม่ได้ออกไปไหนก็เถอะ”

                “นั่นสินะครับ ถ้าอย่างนั้นมากินอนพักอีกสักหน่อยนะครับ รอแม่ของผมกับคุณป้ากลับมาถึงค่อยลุกขึ้นมากินข้าวนะครับ”

                ผมพยักหน้ารับ จากนั้นก็ขยับหมอนให้วางเป็นแนวขวางแล้วก็นอนลงไป

                จะว่าไปผมไม่ได้อาบน้ำแล้วก็แปลงฟันมาสองวันเลยสินะ พอคิดถึงเรื่องนี้แล้วผมรู้สึกอายมากเลยแฮะ

                “นาย…ที่นี่อากาศดีเนอะ…”

                “นั่นสินะครับ ริมหน้าต่างอย่างนี้ลมก็พัดเข้ามาเรื่อยๆ ผมชอบมากเลยล่ะ โดยเฉพาะกลิ่นของดอกไม้ที่ลมพัดเข้ามา”

                “งะ..งั้นเหรอ นั่นสินะ กลิ่นดอกไม้มันหอมจริงๆนั่นแหละ ฮะๆๆ”

                ผมหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อน ดีที่มีแปลงดอกไม้อยู่ใกล้ๆกับสถานพยาบาล เพราะแบบนี้ล่ะมั้งกลิ่นตัวของผมเลยอาจจะไม่มี หรือเปล่านะ

                “นั่นสินะครับ ดอกไม้สีขาวด้านหน้านี่กลิ่นหอมมากเลยล่ะ ไว้ผมจะพาไปดูนะครับ”

                คาเอลสนใจพวกดอกไม้ด้วยเหรอเนี่ย ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย ถ้าอย่างนี้ผมก็มีหัวข้อไว้คุยกับคาเอลครั้งหน้าแล้วล่ะ

                “อื้ม ได้สิ ถ้างั้นชั้นนอนพักอีกสักแปบนะคาเอล ถ้าแม่มาแล้วฝากปลุกชั้นด้วยนะ”

                แล้วผมก็งีบอีกสักพัก

 

 

 

                “ขอบคุณนะหนูมากิ ที่คอยเป็นเพื่อนเล่นและก็ชวนลูกชายของน้าเรียนด้วยนะจ๊ะ”

                “ไม่หรอกค่ะ หนูต้องขอบคุณคาเอลด้วยซ้ำที่คอยชวนหนูเที่ยวเล่นและทำอะไรสนุกๆด้วยกัน”

                หลังจากที่คุณแม่และคุณน้ามาถึงเตียงที่ผมนอนอยู่ คาเอลก็ปลุกผมให้ตื่นมากินข้าว ระหว่างนั้นผมก็เลยได้คุยกับคุณน้าเอลลี่ด้วย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของคาเอลจากปากผมล่ะนะ

                “ตอนนั้นคาเอลก็เลยปืนรั้วบ้านคุณป้าเสนฟีแล้วไปแอบไปอุ้มแมวมาให้หนูแต่ก็โดนคุณป้ามาเห็นพอดีก็เลยรีบวิ่งออกมาเลยค่ะ”

                “ฮ่าๆๆ งั้นเหรอๆ เดี๋ยวนี้ลูกกล้าทำอะไรแปลกๆเยอะขึ้นเลยนะคาเอล”

                “ก็มากิอยากเล่นกับมันนี่ครับ…”

                “หนูคาเอลเป็นเหมือนเจ้าชายของมากิเลยนะ ตามใจทุกอย่าง หามาให้หมดทุกสิ่ง คิดอะไรกับลูกสาวของป้าหรือเปล่าเนี่ย หืม?”

                อะไรเนี่ย! แม่กำลังคิดว่าคาเอลชอบผมอยู่เนี่ยนะ ผมเป็นผู้ชายนะ!

                อ๊ะไม่สิ ตอนนี้เราเกิดใหม่เป็นผู้หญิงแล้วนี่นา แต่! ผมก็ยังมีความคิดเป็นผู้ชายเหลืออยู่บ้างนะ! อีกอย่าง ผมกับคาเอลต่างก็เป็นเพื่อนคนแรกของกันและกัน แถมคาเอลก็มีปัญหาเรื่องการโดนรังแกเหมือนผมในชาติก่อน ด้วยความเข้าใจกันและกัน ก็เลยสนิทกันมากๆเฉยๆหรอกนะ

                “ปะ..ป่าวครับ เพราะว่าผมมีเพื่อนคนเดียว และผมก็มีมากิแค่คนเดียว ผมก็เลยต้องเอาใจใส่ให้ดียังไงล่ะครับ”

                โห? แสดงว่าถ้ามีเพื่อนเพิ่มจะไม่เอาใจใส่ผมแล้วสิ

                แต่ก็ไม่ได้ไม่ดีใจหรอกนะ

                “ยิ้มเล็กยิ้มน้อยใหญ่เลยนะมากิ”

                “อากาศดีก็เลยอารมณ์ดีค่ะ”

                “เอาล่ะหนูมากิ นอนพักอีกสักหน่อย แล้วตอนเย็นค่อยกลับบ้านนะจ๊ะ”

                “ค่ะคุณน้า”

                เอาล่ะ ผมใกล้จะได้กลับบ้านแล้วสินะ แต่ทำไมผมต้องมารักษาที่สถานพยาบาลด้วยล่ะเนี่ย ผมรู้สึกว่าเหมือนมานอนเฉยๆมากกว่าอีกนะเนี่ย

                หลังจากนั้นผมก็งีบพักอีกสักหน่อย แม่กับคาเอลก็นั่งเฝ้าผมนิ่งๆไม่ได้พูดอะไรกันมากเท่าไหร่ เหมือนกลัวผมหายยังไงก็ไม่รู้

 

 

                ตอนนี้เป็นตอนเย็นแล้ว นอนทั้งวันนี่เมื่อยเหมือนกันนะ ปวดหลังปวดช่วงล่างไปหมดเลย ผมกับคาเอลแยกย้ายกันหน้าโรงพยาบาล ผมเดินกลับบ้านกับแม่ ส่วนคาเอลก็รอกลับพร้อมน้าเอลลี่หลังเลิกงาน ระหว่างทาง ผมก็เลยคุยกับแม่ระหว่างทางกลับบ้านเพื่อแก้ความเหงา แน่นอนว่าจริงๆผมก็มีเรื่องที่สงสัยแต่ก็พูดไม่ได้อยู่

                “แม่คะ หนูจำได้ว่าก่อนสลบไป หนูอยู่ในร่างเก้าหางนี่คะ ทำไมตอนนี้ถึงเป็นร่างคนปกติล่ะคะ”

                “อืม… ก็เพราะพ่อเขาพาลูกกลับมาที่บ้านก่อน แม่ก็เลยผนึกไว้ให้ก่อนหลังจากนั้นพ่อเขาก็ออกไปทำภารกิจสองวัน จะกลับมาวันนี้แหละ แถมวันนั้น คาเอลค้างบ้านเราด้วยนะ ตอนแรกคาเอลเกือบจะได้นอนห้องของคุโระแล้วล่ะ แต่แม่พาลูกไปหาคุณเอลลี่ เพราะถ้าได้รับเวทย์ฟื้นฟูจากคนที่ถนัดเวทย์สายนี้จะฟื้นตัวไวกว่าปกติน่ะ แม่รู้นะว่าลูกอยากจะไปเล่นกับคาเอลไวๆ ก็เลยตัดสินใจพาลูกไปหาคุณเอลลี่ แล้วให้คาเอลนอนห้องของลูกแทน”

                อือ มันเลยจากเรื่องที่ผมกลับเป็นร่างคนได้ยังไงไปไกลเหมือนกันเนอะ ว่าแต่! คาเอลได้นอนห้องผมเลยเหรอ นอนเฉยๆผมไม่มีปัญหาหรอกนะ แต่นอนค้างเลยมันก็…

                “จะว่าไป ดอกไม้บนโต๊ะข้างๆหัวเตียง แม่เป็นคนเอามาใส่ไว้เหรอคะ”

                ผมเปลี่ยนเรื่องคุยจากเรื่องคาเอลนอนที่ห้องของผม

                “ชอบใช่ไหมล่ะ”

                “ชอบค่ะ แม่ก็รู้นี่นาว่าหนูชอบดอกนั้นจนเอามาใส่กระถางปลูกในห้องเลยนะคะ”

                “นั่นน่ะ คาเอลเป็นคนไปหาซื้อมาจากในเมืองเพื่อใส่แจกันในห้องให้ลูกเลยนะ”

                อ้าว ไม่ใช่ฝีมือแม่หรอกเหรอ คาเอลเนี่ย เข้าห้องนอนของผมแค่สองครั้งเท่านั้นเอง แต่แค่นี้ก็รู้แล้วเหรอว่าผมชอบอะไรน่ะ แต่ก็นะ…

                เพราะอย่างนี้แหละ คาเอลถึงได้น่ารัก

 

 

                

                “นี่…อิกนัสคะ พร้อมรับบทลงโทษหรือยังคะ?”

                “บะ..บทลงโทษอะไรเหรอครับ มะ..มะ..ไม่เห็นจะรู้เรื่องเลย”

                “โฮ่? จะตีเนียนเหรอคะ อยากจะได้บทลงโทษที่รุนแรงกว่าที่เตรียมไว้สินะคะ”

                “ปะ..เปล่าครับ บะ..บทลงโทษเดิมเถอะครับ…”

                “หึ มีอะไรจะแก้ตัวไหมคะ คุณอิกนิเที่ยน”

                “มะ..ไม่มีครับ สะ..สารภาพผิดต้องรับโทษกึ่งนึงนะครับที่รัก…”

                “ไม่ได้ยินถือว่าไม่เคยค่ะ จงรับบทลงโทษที่พาลูกออกไปเจออันตรายซะเถอะ!!”

                “อ๊ากกกก!!!”

                พ่อกับแม่ผมเล่นอะไรกันล่ะน่ะ ผมจะไม่เล่าแล้วกันนะว่าพ่อผมโดนบทลงโทษอะไรบ้าง แต่พูดได้เลยว่าเละ

                “ชิโระจัง พรุ่งนี้ฝากไปบอกลูกน้องของอิกนัสทีนะว่า อิกนัสลาป่วย แล้วชิโระจังมะรืนนี้พามากิกับคาเอลไปฝึกกับมอนส์เตอร์แทนอิกนัสด้วยนะ ฝากด้วยนะจ๊ะชิโระจัง”

                “รับทราบค่ะท่านจิฮิโระ”

                เหมือนว่าหลังวันหยุดพรุ่งนี้ ผมจะได้ฝึกกับคุณชิโระแทนล่ะ คงจะสนุกน่าดูเลยล่ะ ถึงผมจะรู้สึกตื่นเต้นกับวันพรุ่งนี้มากกว่าก็เถอะ

                เพราะงั้นผมไปอาบน้ำแล้วรีบนอนดีกว่า ถึงผมจะนอนมาเยอะแล้วก็เถอะ แต่ก็ยังรู้สึกเพลียอยู่ดีล่ะนะ

                

 

                “ทิวลิปสีชมพูอย่างนั้นเหรอ…หมอนั่นจะรู้ความหมายหรือเปล่านะ?”

 

 

 

—–

หลังจากนี้จะลงทุกวันพุธนะครับ

Comment

Options

not work with dark mode
Reset