ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) – บทที่ 27 วันนี้นายมานอนที่ห้องฉัน (บน)

คำพูดของเจียงเยว่ถง ทำให้คนที่อยู่ที่นั่นตื่นตกใจกันทุกคน แต่ก็ได้รับสายตาที่ชื่นชมจากหนุ่มสาวหลายตระกูล ไม่ว่าอย่างไรการกระทำของเจียงเยว่ถงก็สอดคล้องกับภาพลักษณ์ผู้หญิงดีในหัวใจของพวกเขา
แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกทึ่ง เพราะใครก็รู้ว่าก่อนหน้านั้นเจียงเยว่ถงเองก็ไม่ชอบฉินเฟยเช่นเดียวกัน และคิดจะหย่ามาโดยตลอด
ฉินเฟยเองก็ตกตะลึงจนตาค้างพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน
พูดตามตรง เมื่อครู่ที่เสิ่นหัวกำลังพูดอยู่ ในใจของเขาก็ประหม่าไม่น้อยเหมือนกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตามต้องดูสถานการณ์โดยรวมของตระกูลเจียงเป็นหลัก แต่คิดไม่ถึงว่าพ่อตาที่มีบุคลิกเงียบสงบมาตลอดจะพูดขึ้นก่อน แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงคนอื่นเท่านั้น
เขาจับจ้องมองไปที่เจียงเยว่ถงด้วยสายตาที่แรงกล้า ในเวลานี้หัวใจของเขาประทับใจยิ่งนัก จนอยากร้องเสียงดังระบายออกมา
ความพยายามของเขา มันไม่ได้เสียเปล่าเลย!
“ดี! นี่สิถึงจะใช่ลูกสาวของฉัน เจียงเฟิ่งหยุน!” เจียงเฟิ่งหยุนยืนขึ้นและสูดลมหายใจหนึ่งเฮือก มองไปยังฉินเฟย: “พ่อหนุ่มน้อย มันเป็นความผิดฉันทั้งหมด สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต และด้วยวิธีทำของเธอในครั้งนี้ ฉันยอมรับเธอเป็นลูกเขยแล้ว ซึ่งต่อให้ไม่มีความสามารถอะไร ก็อย่ารู้สึกต่ำต้อยในตัวเอง แค่พยายามทำให้ดีก็พอ หากถงถงกล้าดูถูกเธอ เธอก็บอกฉันมาตรงๆ และดูว่าฉันจะตีก้นเธอให้เจ็บอย่างไร!”
เพียงแค่คำพูดเดียวก็พลางทำให้เจียงเยว่ถงหน้าแดงก่ำไปทั่ว และก้มศีรษะลงอย่างแรง โดยฉินเฟยเองก็ตกตะลึงเหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขามองว่าพ่อตาของตัวเองเป็นคนที่ไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ นิสัยใจคอก็นิ่มนวลเป็นอย่างมาก กลับคิดไม่ถึงว่าตัวเองดูผิดไป
สมกับที่เคยเป็นทหาร ถือว่ามีเลือดเนื้อของทหาร
“คุณพ่อ ผมรู้แล้วครับ อันที่จริงเยว่ถงไม่ได้ดูถูกผม เธอแค่โกรธที่ผมไม่มีใจที่พัฒนาขึ้นเท่านั้น” ฉินเฟยกล่าวขึ้น และคำว่า‘พ่อ’คำเดียวนี้ เขาก็เรียกมาออกมาจากใจจริง
“ ฮ่า ฮ่า ตกลงๆ” เจียงเฟิ่งหยุนยิ้มพลางพยักหน้า และเงยหน้าขึ้นมองคุณย่าเจียงชั่วประเดี๋ยวเดียว จากนั้นกวาดสายตามองไปที่ทุกคนอีกครั้ง: “ฉันรู้ว่าพวกคุณกังวลเรื่องอะไร ไม่เป็นไร เรื่องที่ล่วงเกินฮั่วจงเหยียน ทางครอบครัวฉันเจียงเฟิ่งหยุนจะรับไว้เพียงผู้เดียว และเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเจียง”
หลังจากเสียงพูดของเจียงเฟิ่งหยุนจบลง สีหน้าของคนในตระกูลเจียงเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก
อันที่จริงแล้ว ยังมีอีหลายคนที่ถอนหายใจในใจด้วยความโล่งอก!
จะอย่างไรก็ตามคำพูดของเจียงเฟิ่งหยุน ก็เท่ากับตัดความสัมพันธ์กับตระกูลเจียงอย่างสิ้นเชิง
สีหน้าคุณยายเจียงปรวนแปร ลักษณะท่าทางดูหดหู่ แต่กลับไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร ด้านหนึ่งคือความอยู่รอดของตระกูลเจียง อีกด้านหนึ่งก็เป็นลูกชายแท้ๆของตน นางยากที่จะตัดสินใจได้!
เสิ่นหัวโกรธจัดจนหน้าเขียว และจ้องมองฉินเฟยด้วยสายตาอาฆาตพยาบาท แต่ด้วยหัวหน้าครอบครัวของบ้านนี้คือเจียงเฟิ่งหยุน เธอเป็นเพียงคนที่แต่งเข้าตระกูลเจียง และตัวเองก็เพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น
เจียงเฟิ่งหยุนก็พูดออกไปแล้ว เธอเองก็ไม่สามารถขัดได้
นอกจากนี้แล้ว ในฐานะที่เธอเป็นคนคู่เคียงเรียงหมอนของเจียงเฟิ่งหยุน แน่นอนว่าเธอรู้จักสามีของตัวเองดีที่สุด ซึ่งอย่ามองว่าปกติเจียงเฟิ่งหยุนเหมือนอารมณ์เสีย นั่นเป็นเพราะเขาแค่ไม่แสดงออกมาแค่นั้น
ถ้าเจียงเฟิ่งหยุนอารมณ์เสียขึ้นมาจริงๆ เธอเองก็ต้องเชื่อฟังอย่างว่านอนสอนง่ายเช่นกัน
“เฟิ่งหยุน เธอนี่พูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน!” ซึ่งในเวลานี้ก็มีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้นจากทางประตูคฤหาสน์
ทุกคนหันหน้าพร้อมกันด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ส่วนคนที่มาเยือนคือเจียงเฟิ่งหยู่ และเป็นพี่ใหญ่ของตระกูลเจียง พ่อของเจียงเฉิงเย่
เนื่องจากเขาเป็นอัมพาต จึงมีน้อยครั้งมากที่จะลงจากเตียง และก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องของตระกูลอีก
ซึ่งตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเข็น ส่วนคนที่เข็นเขาก็คือ เจียงเฟิ่งซวง
เธอเป็นลูกคนที่สี่ของตระกูลเจียง และเป็นลูกสาวคนเดียวของคุณย่าเจียง
เจียงเฟิ่งซวงดูแล้วอายุประมาณสี่สิบปี แต่กลับบำรุงรักษาได้เป็นอย่างดี มีรูปร่างสวยน่ารัก หน้าตาปานกลาง และดวงตาทั้งคู่ที่สดใสเป็นพิเศษ ในเวลานี้เธอสวมชุดสูทเข้ารูปบวกกับกางเกงขายาว ส่วนผมถักเปียมัดขึ้น ทำให้ดูเป็นคนความสามารถและฉลาด
ซึ่งเธอไม่ได้ทำงานในตระกูลแล้ว เพราะเธอแต่งงานที่เซี่ยงไฮ้
“พ่อ ท่านร่างกายไม่แข็งแรง ทำไมถึงมาที่นี่ได้?” เจียงเฉิงเยว่รีบวิ่งเข้าไป และทักทายอาหญิงด้วยความสุภาพนอบน้อม
อยู่ในครอบครัวนี้ เจียงเฉิงเยว่ นอกจากจะกลัวคุณย่าเจียงและพ่อของแล้ว ที่กลัวที่สุดก็คืออาหญิงของตนเอง
“ฮึม ถ้าฉันยังไม่มาอีก ต้องเกิดเรื่องใหญ่กับตระกูลเจียงแน่!” เจียงเฟิ่งหยู่ถลึงตาใส่ลูกชาย และพูดพึมพัม เพราะเป็นอัมพาตติดเตียงมาตลอดทั้งปี โดยไม่ได้ออกไปไหนบ่อยนัก ทำให้สีหน้าของเจียงเฟิ่งหยู่ซีดเหลืองของอาการป่วย
ในครอบครัวตระกูลเจียง เจียงเฟิ่งหยู่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ทางธุรกิจที่สุด แต่น่าเสียดายที่พระเจ้าไม่เข้าข้างคุ้มครองตระกูลเจียง!
แต่ถึงกระนั้น บารมีและความน่าเชื่อถือของเจียงเฟิ่งหยู่ในตระกูลเจียงถือว่ายังมีมากเช่นกัน เมื่อเห็นเจียงเฟิ่งซวงเข็นเขาเข้ามา ทุกคนต่างก็หลีกทางให้
“เสี่ยวหยู่ เสี่ยวซวง……” คุณย่าเจียงถือไม้เท้าพยุงตัวขึ้น ด้วยสีหน้าขมขื่นที่ไม่อาจพูดออกมาได้
สามารถพูดได้เลยว่าเลยว่า คนที่ลำบากที่สุดก็คือเธอแล้ว เหล่าต้าเป็นอัมพาตติดเตียง เหล่าเอ้อประสบอุบัติเหตุและเสียชีวิตเมื่อหลายปีก่อน คนหัวขาวต้องมาส่งคนหัวดำ ส่วนเหล่าซื่ออยู่ข้างนอกตลอดทั้งปี ไม่ค่อยได้กลับบ้าน ซึ่งมีแค่มีเพียงเหล่าซาน แต่ตอนนี้กลับจะตัดสามสัมพันธ์กลับตระกูลเจียงอีก
คุณย่าเจียงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะอะไร ทำไมสวรรค์ถึงได้ลงโทษตัวเองเช่นนี้ หรือว่าตัวเองทำผิดไปแล้วจริงๆเหรอ? และถ้าหากต้องไล่เหล่าซานออกจากตระกูลเจียงไปจริง เธอรู้ดีว่าเมื่อไปถึงข้างล่าง สามีที่ล่วงลับไปต้องไม่ให้อภัยตัวเองอย่างแน่นอน ในฐานะพี่ใหญ่ เสี่ยวหยู่เป็นคนที่ทำงานมีความมั่นคงและมีพรสวรรค์ แต่คนที่สามีชอบที่สุดกลับเป็นเหล่าซาน
แต่หากไม่ทำเซ่นนี้ ถ้าตระกูลเจียงต้องตกที่นั่งลำบากขึ้นมาจริง เธอก็จะเป็นคนบาปของตระกูลเจียง!
“คุณแม่ หลายปีที่ผ่านมาท่านทำงานเพื่อตระกูลเจียงมากเหลือเกิน ลำบากท่านแล้ว”
แม่ควรจะได้พักผ่อนมานานแล้ว แต่กลับเพราะว่าตัวเองเป็นอัมพาต จิตใจของเหล่าซานก็ไม่อยู่ที่นี่ เลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นแก่ส่วนรวมเป็นใหญ่
“เสี่ยวหยู่ก็โทษแม่อย่างนั้นเหรอ?” ไม่มีใครรู้จักลูกชายเท่าคนเป็นแม่แล้ว และถึงแม้ว่าคุณย่าเจียงจะอายุเยอะแล้วก็ตาม แต่ก็สามารถรับรู้ความนัยที่แฝงอยู่ของเจียงเฟิ่งหยู่ได้
“เปล่าเลยครับ” เจียงเฟิ่งหยู่ส่ายหัวไปมา และเหลือบมองไปที่น้องสาม ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น: “ถึงแม้ว่าตระกูลเจียงของเราจะไม่ใช่ตระกูลบุญหนักศักดิ์ใหญ่ และเมื่อเทียบกับตระกูลเหล่านั้นก็ห่างไกลยิ่งนัก แต่ว่าพี่น้องตระกูลเจียง ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ก็ไม่มีคนขี้ขลาดแม้แต่คนเดียว และไม่มีวันยอมให้คนอื่นมารังแกได้
ถึงแม้ว่าเสียงของเจียงเฟิ่งหยู่จะดูธรรมดา แต่เมื่อพูบจบ ทุกคนในตระกลูเจียงที่อยู่ที่นั่นต่างก็ตื่นเต้น และในใจก็ฮึกเหิมขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
เจียงเฟิ่งหยุนพยักหน้าเล็กน้อยและกล่าวว่า: “พี่ใหญ่พูดถูก”
“ท่านลุง อาหญิงเหล็ก” เจียงเยว่ถงรีบทักทายขึ้นทันที เธอเคารพและเลื่อมใสท่านลุงคนนี้ของตนเองที่สุด ซึ่งในขณะเดียวกันเธอใช้มือน้อยๆจิ้มไปที่ฉินเฟยเบาๆ
“ท่านลุง อาหญิงเล็ก” ฉินเฟยก็รีบทักทายเช่นเดียวกัน
“เหะๆ ถงถงยิ่งโตก็ยิ่งสวยแล้วนะ ช่างดีเหลือเกิน” เจียงเฟิ่งหยู่พยักหน้าให้เจียงเยว่ถง และเหลือบมองฉินเฟยอีกครั้ง โดยในสายตาแสดงออกถึงความชื่นชม
“เสี่ยวซวง เธอก็หมายความอย่างนั้นเหมือนกันเหรอ?” คุณย่าเจียงมองไปยังลูกสาวและกล่าวขึ้น
“ฉันเป็นลูกสาว และก็ไม่ได้อยู่ตระกูลเจียงนับค่อนปี จึงไม่มีสิทธิ์พูดอะไร แต่ฉันคิดตระกูลเจียงเราควรสามัคคีให้มากขึ้น เพราะอำนาจที่อ่อนแอของเรา” เจียงเฟิ่งซวงกล่าว ด้วยสายตาที่แปล่งประกายแต่แฝงไปด้วยสติปัญญา: “ถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะไม่แตกต่างอะไรจากยุคโบราณที่แบ่งแยกที่ดิน เพื่อแสวงหาสันติภาพแต่อย่างใดเลย?”
“ยิ่งดูออ่อนแอ คนอื่นก็ยิ่งมารังแก และยิ่งถ้ามีครั้งหนึ่งเป็นแบบอย่าง แสดงว่าขอแค่ใครที่มีอำนาจหน่อย ก็สามารถมาเหยียดหยามหญิงสาวที่ตระกูลเจียงได้ตามใจชอบอย่างนั้นเหรอ? ซงไห่มีหลายตระกูลที่แข็งแกร่งและมีอำนาจกว่าเรามากมาย ซึ่งการแสวงหาสันติภาพด้วยการอ่อนข้อ มีแต่จะทำให้ตัวอย่างพันธมิตรแปดชาติในปีนั้นเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง!”
“พวกเราตระกูลเจียงควรสามัคคีรวมใจเป็นหนึ่ง หากใครรังแกพวกเรา พวกเราก็จะสู้กับเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ถึงแม้ว่าจะสู้พวกเขาไม่ได้ และสุดท้ายต้องเสียเลือดเสียเนื้อ แต่ตระกูลเจียงเราก็ไม่ใช่จะมารังแกกันอย่างง่ายดาย!” เจียงเฟิ่งซวงพูดอย่างเย็นชา แต่มีวาทศิลป์ที่เต็มไปด้วยพลัง
ลูกหลานวัยรุ่นหลายคนที่อยู่ที่นั่น เนื่องจากเป็นเด็กวัยรุ่น และร่างกายมีลือดอันพรุ่งพร่านและเร่าร้อนเป็นทุนอยู่แล้ว สายตาของพวกเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที และรู้สึกว่าที่เธอพูดมีเหตุผล
“ฮ่าๆ ที่นังหนูพูดมีทั้งศาสตร์และศิลป์ จนฉันชักจะฟังไม่เข้าใจแล้ว” จัยงเฟิ่งหยุนหัวเราะ
“พี่สาม พี่หัวเราะเยาะฉันอีกแล้วนะ!” เจียงเฟิ่งพูดขึ้นอย่างขุ่นเคือง
เมื่อเห็นความสัมพันธ์ของสามพี่น้องแน่นแฟ้นขนาดนี้ คุณย่าเจียงก็โล่งใจเป็นอย่างมาก แต่ความหมายของเจียงเฟิ่งซวงก็แสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้ว
พูดอย่างนี้ก็มีเหตุผล แต่ถ้าตระกูลฮั่วเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วกดขี่อุตสาหกรรมของตระกูลเจียงในทุกด้าน คาดว่าตระกูลเจียงคงได้หายจากซงไห่ในไม่ช้า วงการการค้าก็เหมือนสนามรบ แม้ว่าสนามรบในปัจจุบันจะไม่มีไฟสงครามของเขม่าควันปืนให้เห็นก็ตาม แต่กลับสามารถสังหารคนให้ตายได้จริงๆ!
ถ้าตระกูลเจียงจบลง ลูกหลานตระกูลเจียงจะไม่ถูกคนอื่นรังแกแบบเดิมหรอกหรือ? คุณย่าเจียงไม่ได้คิดว่าตัวเองผิดตรงไหน!
เจียงเฉิงเย่ยืนอยู่อีกฝั่งอ้าปากจะพูดหลายครั้ง แต่ก็ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว เขากลัวอาหญิงเล็กของตัวเองอย่างมาก แต่ก็กลัวพ่อมากกว่า
และการปรากฏตัวของเจียงเฟิ่งซวงในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องกะทันทันแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะพรุ่งนี้เป็นวันเกิดครบรอบเจ็ดสิบปีของแม่แล้ว เธอจึงมาเพื่ออวยภรวันเกิด
“คุณเซียว โชคดีที่เมื่อสักครู่ได้คุณมาช่วย” ฉินเฟยพูดกับเซียววี่ด้วยนำเสียงที่ทราบซึ้งในบุญคุณอย่างจริงใจ เมื่อครู่เขาถือดาบดาบเสวี่ยอิ่นในมือ ในใจเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น และอยากตัดหัวของฮั่วจงเหยียนให้ขาดในดาบเดียวเสียจริง
ถึงแม้ว่าฮั่วจงเหยียนจะสมควรตายก็จริง แต่การฆ่าคนนั้นมันผิดกฎหมาย
“ไม่ต้องเกรงใจ” เซียววี่ส่ายหัว และยิ้มเล็กน้อยแสดงให้เห็นว่าไม่สนใจ: “แต่ว่าคุณต้องเตรียมใจรับให้ดี ฮั่วจงเหยียนคนนี้ไม่ใช่คนคนธรรมดาทั่วไป”
“เขาเป็นคนของตระกูลฮั่วหรอกหือ?” ฉินฟเยชะงักเล็กน้อย
เขาต้องรู้แน่นอนอยู่แล้ว ที่ผู้ชายคนนี้สามารถอาละวาดในตระกูลเจียงได้ขนาดนี้ แน่นอนว่าอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังที่ตระกูลเจียงไม่สามารถรุกรานได้
“อืม เขาเป็นหลานชายของฮั่วเหล่าซาน” เซียววี่อธิบายต่อว่า ต่างเป็นตระกูลใหญ่ของซงไห่เหมือนกัน ก็ย่อมรู้ซึ่งกันและกันอยู่แล้ว
และฮั่วเหล่าซานที่เธอพูดถึงนั้นก็คือรุ่นเก่าของตระกูลฮั่ว ฮั่วเหล่าต้าเสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บเมื่อสิบปีกว่าปีก่อน ซึ่งคนมีอำนาจที่แท้จริงคือฮั่วเหล่าเอ้อ
ความสัมพันธ์สองพี่น้องระหว่างฮั่วเหล่าเอ้อและฮั่วเหล่าซานไม่เคยลงรอยกัน
ดังนั้นอำนาจส่วนใหญ่และบริษัทอุตสาหกรรมในสังกัดของตระกูลฮั่วทั้งหมด ล้วนอยู่ในมือของฮั่วเหล่าเอ้อและทายาทโดยตรงของเขา เพราะสองพี่น้องไม่ลงรอยกัน ลูกชายและหลานชายของฮั่วเหล่าซาน แม้ว่าจะมีสายเลือดของตระกูลฮั่ว แต่ก็ไม่ได้รับการให้ความสำคัญแต่อย่างใด
และถึงแม่จะเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยฮั่วจงเหยียนก็แซ่ฮั่ว การที่ตบหน้าฮั่วจงเหยียนก็คือบตบหน้าตระกูลฮั่วเช่นกัน
ตระกูลใหญ่ส่วนมากให้ความสำคัญกับหน้าตาเกียรติยศของวงตระกูล ยากที่จะรับประกันได้ว่าตระกูลฮั่วจะไม่เข้าไปแทรกแซง และนี่ก็คือสาเหตุที่คุณย่าเจียงไม่กล้าล่วงเกินฮั่วจงเหยียนนั่นเอง
“อืม” ฉินเฟยพยักหน้าลง และสีหน้าก็แปรเปลี่ยนด้วยความเคร่งเครียด
ในปีนั้นที่ตระกูลฉินล่มสลาย ในนั้นก็มีเงาของตระกูลฮั่ว และจุดคำคัญที่สุดของการล่มสลายของตระกูลฉินก็คือบริษัทการค้าระหว่างประะเทศสากลในสังกัดของตระกูลฉิน ถูกตรวจสอบเจอสินค้าต้องห้าม!
ตำรวจที่เกี่ยวข้องได้ทำการสืบสวนคดี ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นข่าวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หลังการวิพากษ์วิจารณ์เปรียบดั่งสัตว์ป่าเถื่อนที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ จากนั้นตลาดหลักทรัพย์ตระกูลฉินพังทลายลง และผู้สนับสนุนรายใหญ่ก็คือตระกูลฮั่ว
หุ้นของตระกูลฉินที่ราคาตกอย่างรุนแรงจนไม่เหลือราคา บริษัทในสังกัดทั้งหมดของตระกูลกำลังเผชิญกับการล้มละลาย และเวลานี้ไม่มีคนยื่นมือช่วย มีแต่จะซ้ำเติมเท่านั้น
ฉินเฟยไม่สามารถลืมช่วงเวลานั้นได้ และสำหรับทุกคนในครอบครัวตระกูลฉิน มันเหมือนกับเป็นวันสิ้นโลกไม่มีผิด!
โดยเครื่อข่ายวงศ์ตระกูลในซงไห่เกือบทั้งหมดมีส่วนร่วมอยู่ในนั้น พวกเขาใช้วิธีอำนาจกลืนกินแบบปลาวาฬ(ยักยอกทรัพย์โดยวิธีต่างๆ) มาฮุบอุตสาหกรรมทั้งหมดของตระกูลฉินที่กำลังจะล้มละลายและล้มละลายแล้ว
เพียงข้ามคืนเดียว ตระกูลฉินที่ยิ่งใหญ่ ก็หายสาบสูญไปจากซงไห่!
และหลังจากที่ตระกูลฉินล่มสลายลง ตระกูลฮั่วกลายเป็นผู้ที่ได้รับผลปประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุด ไม่เพียงแต่ฮุบอุตสาหกรรมมากมายของตระกูลฉินเท่านั้น แต่ยังระบายและเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยถือโอกาสนี้ขึ้นครองตำแหน่งจนกลายเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในซงไห่
ในเวลาที่ตกต่ำมักจะทำให้จิตใจคนหดหู่ บางทีคนของตระกูลฉินจำนวนมากมายที่ร่อนเร่พเนจรอยู่ข้างนอก อาจไม่คิดถึงความรุ่งโรจในอดีตอีกต่อไป และไปใช้ชีวิตอยู่เมืองอื่น การสามารถอยู่รอดได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
แต่ฉินเฟยในฐานะที่เป็นหลานชายคนโตของครอบครัว ที่รู้เรื่องราวที่แฝงอยู่มากที่สุด และอยากค้นหาคนร้ายในปีนั้นมากที่สุด
และฉินไม่ใช่คนโง่เขลา เขารู้ดีถ้าต้องการตรวจสอบสิ่งเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ต้องการมีอำนาจเท่านั้น แต่ต้องมีความสามารถอีกด้วย! และความสามารถนี้ ไม่ใช่แค่ว่าสมองของตัวเองฉลาดขนาดไหน สิ่งที่สำคัญกว่านั้นความสามารถของตัวเองที่เป็นอยู่ด้วย!
ในเมืองที่สว่างไสวนี้มีคนในความมืดดำรงอยู่มากมาย ฉินเฟยรู้ว่าเมื่อใดที่เขาเปิดเผยตัว สิ่งที่ต้องเผชิญไม่ใช่เพียงการกดขี่ของตระกูลฮั่วเท่านั้น แตยังรวมถึงการลอบสังหารในเหงามืดอีกด้วย
นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมเขาถึงให้ดาบเสวี่ยอิ่นเลือกเจ้านายวันนี้ เพราะเขาไม่เพียงต้องปกป้องหญิงสาวอันเป็นที่รัก ที่สำคัญกว่านั้นคือให้พวกคนร้ายเหล่านั้น ได้รับโทษอย่าสาสม!
ฉินเฟยจับดาบเสวี่ยอิ่นในมือไว้แน่น ดูเหมือนดาบเสวี่ยอิ่นจะสัมผัสถึงเสียงคำรามในใจของฉินเฟย ซึ่งก็ได้สั่นไหวขึ้นเล็กน้อยเช่นเดียวกัน……

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)
Status: Ongoing
อ่านนิยายผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)ฉินเฟยเป็นเขยแต่งเข้าแห่งตระกูลอันดับรอง แต่งงานมาสามปีเมียไม่เคยให้แตะเลย พอชีวิตถูกบีบมาจนถึงขีดสุด หลังเผยตัวจนที่แท้จริงเท่านั้นแหละ เธออดใจไม่ไหวแล้ว…………

Comment

Options

not work with dark mode
Reset