ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) – บทที่ 67 เสิ่นเจียเหวินยอมพลีกายเองเลย (3)

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา) บทที่ 67 เสิ่นเจียเหวินยอมพลีกายเองเลย (3)
ที่พักของเสิ่นเจียเหวินห่างจากว่านเซียง มูวีไม่ไกลมากนัก ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของริมฝั่งแม่น้ำ ปัจจุบันนี้รัฐบาลเมืองซงไห่กำลังให้ความสำคัญในการพัฒนาทางทิศตะวันออกของแม่น้ำ ย่านธุรกิจบริเวณนี้ถือว่ามีสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์ กอปรกับบริเวณริมแม่น้ำมีอากาศที่ดีกว่าในเมือง ปัจจุบันราคาบ้านของที่นี้ถือว่ามีราคาที่สูงที่สุดแห่งหนึ่งในเมืองซงไห่

หมู่บ้านหมิงเจียหุ้ย คือหมู่บ้านหรูหราแห่งหนึ่ง โดยเสิ่นเจียเหวินพักอยู่ในตึกอาคารสูงขนาดเล็กที่มีสิบแปดชั้น ซึ่งน่าจะเป็นการเช่าอยู่

ตรงตามที่หลิวโป๋ฮุ่ยได้พูดเอาไว้ ถึงแม้เสิ่นเจียเหวินจะมีหน้าที่การงานในระดับผู้บริหาร แต่หากต้องการที่จะซื้อบ้านในเมืองที่ที่ดินมีราคาสูงแบบนี้แล้ว ก็คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เสิ่นเจียเหวินบอกให้นำรถปอร์เช่ไปจอดไว้ในโรงรถ แล้วฉินเฟยก็ลงจากรถพร้อมกับเดินวนผ่านหัวรถ เพื่อมาเปิดประตูรถให้กับเธออย่างสุภาพ

เสิ่นเจียเหวินที่นั่งอยู่ในรถเหมือนจะลังเลใจเล็กน้อย

แต่ภายใต้สายตาที่แปลกประหลาดของของฉินเฟยนั้น เธอก็กัดฟันแล้วเดินลงมาจากรถ

“อ่า! แต่เมื่อเท้าเหยียบถึงพื้น เสิ่นเจียเหวินก็ส่งเสียงโอดครวญขึ้น ร่างกายโซเซไปมา แล้วก็หงายหลังลงไปโดยที่ทรงตัวไม่ได้”

ฉินเฟยที่ยืนอยู่ด้านข้าง เดิมทีกำลังรอที่จะมองส่งเสินเจียเหวินขึ้นไปชั้นบนแล้วก็จะกลับนั้น เมื่อได้ยินเสิ่นเจียเหวินส่งเสียงร้องครวญก็ตกใจขึ้นทันที ยังดีที่เขามีการตอบสนองที่รวดเร็ว จึงได้ยื่นมือออกไปโอบตัวของเสิ่นเจียเหวินที่กำลังจะล้มลงเข้ามาในทรวงอก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เธอต้องล้มลงไปหัวร้างข้างแตก เพียงแต่มือนั้นได้ไปสัมผัสกับบริเวณที่อ่อนนุ่ม เมื่อก้มหน้าลงมอง ก็พลันเขินอาย ซึ่งมือขวาของตนเองนั้นกำลังจับไปที่จุดละเอียดอ่อนของเธอ……

“นาย นายรีบปล่อยตัวฉันเดี๋ยวนี้! ” เสิ่นเจียเหวินร่างกายสั่นเทา หลังจากที่ตกใจชั่วขณะแล้วก็รีบกลับคืนสู่ความสงบนิ่ง เพียงแต่ที่รู้สึกว่ามือขนาดใหญ่ของฉินเฟยได้มาสัมผัส ก็เกิดความโกรธขึ้นบ้างเล็กน้อย

อย่ามองว่าโดยปกติเธอพูดคุยเก่งเหมือนกับเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์เย้ายวน ที่จริงแล้วเธอนั้นรักนวลสงวนตัวอย่างมาก ร่างกายบางจุดไม่ใช่ว่าจะให้ผู้ชายสัมผัสได้ตามอำเภอใจ

“ขอโทษด้วยขอโทษด้วย” ฉินเฟยเองก็เก้อเขิน พร้อมกับรีบปล่อยแขนลงทันที

แต่หลังจากที่ปล่อยแขนออกแล้ว ร่างของเสิ่นเจียเหวินก็โอนเอนไปมา ข้อเท้าเจ็บปวดอย่างมากจนทำให้ร่างกายของเธอสั่นเทาอย่างรุนแรง จึงร้องโอดครวญขึ้นแล้วก็หงายหลังล้มลงไปอีกครั้ง

“ข้อเท้าเธอพลิกตั้งแต่เมื่อไรกัน? ห้ามขยับตัวอีก! ฉินเฟยโอบเสิ่นเจียเหวินเข้ามาในอ้อมอกอีกครั้ง เพื่อต้องการพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้จงใจที่จะถูกต้องเนื้อตัวของเธอ เขาจึงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย”

“ก็ก่อนหน้านี้ตอนที่โดนหลิวโป๋ฮุ่ยก่อกวน ฉัน……”

“อะไรของคุณอีกล่ะ ทำไมถึงไม่บอกตั้งแต่แรก? เมื่อได้ยินที่พูดนี้ ฉินเฟยก็พลันตกใจ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า: “อย่าขยับตัวอีก มานี่! ”

ท่าทางแบบนี้ของทั้งสองคนทำให้เสิ่นเจียเหวินรู้สึกว่าไม่ค่อยจะเหมาะสม ยังดีที่อยู่ในโรงรถ บริเวณรอบข้างก็ไม่มีคน หลังจากที่พยายามดิ้นรนเล็กน้อยก็ไม่กล้าจะขยับตัวอีก และปล่อยให้ฉินเฟยประคองตัวเธอเข้าไปพิงที่รถ

เวลานี้ไม่ต้องให้ฉินเฟยพูดเตือนอีกแล้ว เธอเองก็รับรู้ได้ว่าข้อเท้าของตัวเองบาดเจ็บ อีกทั้งยังบาดเจ็บไม่เบาอีกด้วย

แม้ว่าปัจจุบันเธอจะอยู่ในตำแหน่งรองประธาน แต่ก็ไม่เหมือนกับหญิงสาวทั่วไป ที่ได้รับการเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ตรงกันข้าม ในตอนเด็กเธอนั้นมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก

ดังนั้นก่อนหน้านี้คิดว่าเธอเองก็แค่ข้อเท้าพลิกเท่านั้น จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร

“ทำไมคุณถึงไม่ยอมบอกตั้งแต่แรก? ช่างน่าโมโหจริง ๆ ยืนดี ๆ เลย อย่าขยับตัวอีก! ” ฉินเฟยกำชับอย่างจริงจัง เวลานี้สีหน้าท่าทางของเขาค่อนข้างเคร่งขรึม ซึ่งแตกต่างกันมากกับท่าทางของหนุ่มน้อยหน้าใสที่อ่อนโยนก่อนหน้านี้

เสิ่นเจียเหวินตกใจขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รู้สึกเสียใจกับคำต่อว่าของฉินเฟย แต่เมื่อเห็นท่าทางที่เคร่งขรึมของฉินเฟยแล้ว เธอก็ทำปากจู๋เล็กน้อยโดยที่ไม่กล้าคัดค้าน และปล่อยร่างกายพิงเข้าไปที่รถอย่างเชื่อฟัง

ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้เธออดทนได้ แต่เมื่อครู่ที่ขณะเหยียบลงไปบนพื้นเพราะความเจ็บปวดจึงทำให้ข้อเท้าพลิกอีกเล็กน้อย ข้อเท้าเจ็บปวดอย่างรุนแรง ถึงกับทำให้ร่างกายของเธอสั่นเทาไปหมด

“กระดูกข้อเท้าเคลื่อน เป็นเวลานานกว่ายี่สิบนาทีแล้ว อาการก็คงจะหนักมาก หากรอให้ปูดบวมขึ้นมาแล้วค่อยรักษาคงจะยุ่งยากมากทีเดียว! ” ฉินเฟยคุกเข่าลงไปที่พื้น แล้วสังเกตอาการข้อเท้าของเสิ่นเจียเหวินก็สามารถวินิจฉัยได้ถึงระดับความรุนแรงของอาการได้แล้ว

เรื่องพวกนี้ในตอนที่เขายังเด็ก ได้เคยเรียนรู้มาขณะที่ฝึกฝนหมัดมวยทหารในตระกูลฉิน ทั้งการป้องกันหมัดมวยทหารรวมถึงการรักษาเมื่อได้รับบาดเจ็บ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถือเป็นวิชาสำคัญที่ลูกหลานตระกูลฉินจะต้องศึกษา และยังจะมีการทดสอบอีกด้วย

“ถ้างั้น……ถ้างั้นควรจะทำอย่างไรล่ะ? ” เสิ่นเจียเหวินเองก็สับสนลนลาน ก่อนหน้านี้เธอเคยข้อเท้าพลิก แต่เธอรู้สึกได้ว่า ครั้งนี้มันรุนแรงกว่าครั้งก่อน เจ็บปวดจนถึงกับปากสั่นในขณะที่เธอพูด จนทำให้ขาดความคิดการตัดสินใจ

ฉินเฟยสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก จากที่นี่ไปถึงโรงพยาบาลกระดูกและข้อระดับสามที่ใกล้ที่สุดจะต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมง ซึ่งยังเป็นในกรณีที่รถไม่ติดด้วย

“ถ้าหากคุณเชื่อฉัน ฉันจะลองช่วยคุณขยับข้อกระดูกที่เคลื่อนให้เข้าที่เอง” ฉินเฟยกัดฟัน และเงยหน้ามองไปที่เสิ่นเจียเหวินด้วยสายตาที่จริงจัง

“นายยังสามารถขยับข้อกระดูกให้เข้าที่ได้ด้วยเหรอ? ” เสิ่นเจียเหวินตกใจ และมองไปที่ฉินเฟยอย่างน่าประหลาด

“ก่อนหน้านี้ทำได้ แต่ฉันกลัวว่าจะไม่คล่องเหมือนก่อนแล้ว แต่หากจะไปโรงพยาบาลในตอนนี้อย่างน้อยต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง ดูแล้วคงจะไม่ทันกาล” ฉินเฟยรีบพูดอธิบาย อย่างรีบร้อน: “อีกอย่าง จะเจ็บมากหน่อยนะ”

“ฉันไม่กลัวเจ็บ” เสิ่นเจียเหวินพูดขึ้น จากนั้นก็หลับตาลง ข้อเท้ายิ่งเจ็บปวดมากขึ้นจนเธอแทบจะทนความเจ็บปวดไม่ไหว แม้แต่พูดจาก็ยังตัวสั่นไปหมด

ฉินเฟยพยักหน้า สีหน้าไม่ค่อยจะผ่อนคลายสักเท่าไร โดยเฉพาะตอนที่เขาถอดรองเท้าส้นสูงของเสิ่นเจียเหวินออก แล้วกุมไปที่ข้อเท้าที่เริ่มจะปูดบวมขึ้นเล็กน้อยก็ยิ่งจะเคร่งเครียดขึ้นไปอีก เพราะว่าเวลาผ่านไป ข้อเท้าของเสิ่นเจียเหวินก็เกิดอาการบวมขึ้น อีกทั้งเมื่อครู่หญิงโง่คนนี้ก็ไม่ยอมบอกกับเขาก่อน โดยได้ลงมาจากรถเองจึงทำให้อาการยิ่งหนักขึ้นไปอีก ทำให้กระดูกข้อเท้าที่เคลื่อนนั้นผิดตำแหน่งมากกว่าที่ฉินเฟยคาดการณ์เอาไว้เสียอีก

ฉินเฟยเงยหน้ามองไปยังเสิ่นเจียเหวินที่ปิดตาแน่น และพูดเตือนว่า: “คุณอดทนหน่อยนะ”

เสิ่นเจียเหวินลืมตาขึ้น เม้มปากแล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย ในขณะนั้นเอง เธอพลันรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดของข้อกระดูกที่พุ่งขึ้นมาจากข้อเท้า ขณะเดียวกันยังได้ยินเสียงกระทบเสียดสีกันของกระดูก: “กร็อกแกร็ก”

นั่นคือความเจ็บปวดที่ทรมานหนักหนาอย่างที่สุด! ซึ่งความเจ็บปวดที่มาจากจิตวิญญาณส่วนลึกนั้นทำให้เสิ่นเจียเหวินร่างกายสั่นไหวอย่างรุนแรง แรงพลังในร่างกายเหมือนกับถูกดูดออกไปทั้งหมด ร่างกายที่พิงอยู่กับตัวรถนั้นก็ค่อย ๆ ลื่นไหลลงมา

มือขนาดใหญ่ที่อ่อนโยนได้รองรับร่างกายของเธอก่อนที่จะล้มลงเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงที่โล่งใจของฉินเฟยดังขึ้น: “ข้อกระดูกที่เคลื่อนนั้นได้กลับเข้าที่เรียบร้อยแล้ว แต่เส้นเอ็นที่ตึงจนบาดเจ็บนั้นคงยากที่จะหลีกเลี่ยง อาการเหล่านี้ยังถือว่าไม่หนักเท่าไร เพียงแค่นวดไม่กี่ครั้ง และพักผ่อนอีกไม่กี่วันก็หายเป็นปกติแล้ว และจะไม่มีโรคตกค้างหรือแทรกซ้อนอะไร” เสิ่นเจียเหวินค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แววตาแฝงไปด้วยความน่าทึ่ง ความเจ็บปวดเมื่อครู่นี้รุนแรงจนแทบจะทำให้เธออดทนไม่ไหว แต่ความเจ็บปวดก็แค่ช่วงพริบตาเดียว เมื่อความเจ็บปวดผ่านพ้นไปแล้ว ตอนนี้บริเวณข้อเท้ารู้สึกชา เหมือนกับว่าความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

เสิ่นเจียเหวินก้มมองลงอย่างเหลือเชื่อ พบว่ามือซ้ายของฉินเฟยกำลังกุมอยู่ที่เท้าของตัวเอง มือขวาอยู่ตรงที่บริเวณข้อเท้าที่บาดเจ็บพร้อมกับนวดไปมาด้วยเทคนิคพิเศษ ซึ่งหลังจากที่เขานวดนั้น เสิ่นเจียเหวินก็รู้สึกได้ว่ามีพลังความร้อนพิเศษจากข้อเท้าแผ่กระจายไปทั่ว และแฝงไปด้วยความชา ทำให้เธอสบายตัวถึงขนาดที่อยากจะร้องตะโกนออกมาเลย

เสิ่นเจียเหวินที่สังเกตเห็นการกระทำดังกล่าวก็ถึงกับหน้าแดงขึ้นชั่วขณะ ในเวลานี้ ฉินเฟยก็พูดขึ้นว่า: “โชคดี ที่การเข้าที่ของข้อกระดูกนั้นไม่มีปัญหา ฉันรับรองได้ว่าจะไม่มีอาการตกค้างหรือโรคแทรกซ้อนอะไรแน่ แต่ตอนนี้ฉันแค่ทำการนวดให้เธอชั่วคราวเท่านั้น ยังจำเป็นต้องใช้ยาพิเศษนวดเพิ่มอีก เพื่อผ่อนคลายเส้นเลือดที่เท้า อาการของคุณในตอนนี้คงไม่สามารถเดินได้ ฉันจะพาคุณไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลย”

“นายได้ช่วยฉันเคลื่อนข้อกระดูกให้เข้าที่แล้วไม่ใช่เหรอ? ไม่ไปโรงพยาบาลได้ไหม?” เสิ่นเจียเหวินพลันพูดขึ้น

“ก็ได้ แต่ฉันก็แค่ต้องการจะพาคุณไปเอกซเรย์เพื่อให้แน่ใจอีกหน่อย แบบนี้ถึงจะวางใจได้”

“ไม่ต้องหรอก ฉันรู้สึกได้ว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ฉันกลับบ้านไปพักผ่อนสักหน่อยก็คงจะหายดี” เสิ่นเจียเหวินส่ายศีรษะ และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แม้ว่าอาการของเธอนั้นจะค่อนข้างรุนแรง แต่เธอก็เชื่อในการวินิจฉัยของฉินเฟย ในเมื่อข้อกระดูกกลับเข้าที่แล้ว เธอก็ไม่ต้องไปโรงพยาบาลอีกแล้ว

“ถ้างั้น……บ้านของคุณอยู่ชั้นไหน จะให้ฉันอุ้มคุณหรือแบกคุณขึ้นไปล่ะ คุณเลือกเอาเอง เพราะตอนนี้คุณคงยังเดินไม่ได้แน่นอน”

ฉินเฟยสีหน้าจริงจัง เน้นย้ำว่าตนเองนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะถูกเนื้อต้องตัวเธอ

“ชั้นสิบเอ็ดหลังที่อยู่ทิศตะวันออก นายอุ้มฉันขึ้นไปก็แล้วกัน” เสิ่นเจียเหวินเบะปากและพูดขึ้น

“อืม” ฉินเฟยพยักหน้า แล้วก็ก้มตัวลงมา เสิ่นเจียเหวินที่พิงอยู่ที่รถนั้นก็รีบยื่นมือออกมาโอบไปที่คอของฉินเฟย แล้วฉินเฟยก็ใช้มือสอดเข้าไปที่ใต้ขาพับของเธอ และโอบอุ้มเธอขึ้นมาอย่างง่ายดาย

เสิ่นเจียเหวินหลับตาลงเล็กน้อย และโน้มศีรษะลงมาแนบไปที่อกของฉินเฟย ฉินเฟยไม่สูบบุหรี่ บนร่างของเขามีกลิ่นน้ำยาซักผ้ากลิ่นลาเวนเดอร์ ผสมกับกลิ่นของเหงื่อไคลที่แห้งแล้ว

เสิ่นเจียเหวินรู้ว่า ฉินเฟยจะไปออกกำลังกายทุกวัน

แต่เสิ่นเจียเหวินคิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่ง ที่ตัวเองถูกชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าตัวเองอุ้มอยู่ในอ้อมอกแบบนี้ และยิ่งคิดไม่ถึงว่ากลิ่นตัวของผู้ชายคนหนึ่งนั้นจะทำให้เธอเคลิบเคลิ้มขนาดนี้

กลิ่นเหงื่อไม่น่าพึงประสงค์เท่าไร แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธ และยิ่งไม่ได้รังเกียจ ก็เหมือนกับตัวเขาคนนี้ ที่สะอาดสะอ้าน ทำให้เธอหลงใหล ทำให้เธออุ่นใจ

ผ่านการลังเลใจอยู่สักพัก เสิ่นเจียเหวินก็ตัดสินใจให้ฉินเฟยอุ้มตัวเองขึ้นไปบนตึก เธอรู้สึกว่าแบบนี้อย่างน้อยยังสามารถปกปิดใบหน้าของตัวเองได้ ไม่ต้องให้คนที่ขึ้นตึกพบเห็นแล้วเกิดความอับอาย

แต่ไม่นานนักเธอก็พบว่าตัวเองนั้นคิดมากเกินไปแล้ว ฉินเฟยไม่ได้ขึ้นลิฟท์ แต่เดินออกจากโรงรถชั้นใต้ดินไปยังบันได แล้วก็ก้าวขึ้นบันไดไปอย่างมั่นคง ทำให้เสิ่นเจียเหวินตกใจอย่างมาก

เธอคิดไม่ถึงอย่างมากว่า พละกำลังของคนหนึ่งนั้นจะแข็งแกร่งได้มากขนาดนี้ ถึงแม้ตัวเองจะไม่อ้วนแต่ก็มีน้ำหนักห้าสิบกว่ากิโลกรัม ประธานเด็กหนุ่มที่ตัวเองคิดว่าเป็นหนุ่มน้อยหน้าใสคนนี้ อุ้มตัวเองเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นสิบเอ็ด โดยที่ไม่แม้แต่จะมีเสียงหอบสักนิดเลย

ดวงตาที่สวยงามของเสิ่นเจียเหวินที่อยู่ในอ้อมอกของฉินเฟยนั้นยิ่งประหลาดใจหนักมากขึ้น เธอไม่มีตระกูลเบื้องหลังอะไร การที่ได้ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งรองประธานได้นั้น เป็นเพราะเธอขยันมุมานะไต่เต้าขึ้นมาเรื่อย ๆ ถึงขนาดที่ว่าเธอยังเคยเป็นรองผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความปลอดภัยอยู่ถึงสองปี

ยามรักษาความปลอดภัยของว่านเซียง กรุ๊ปล้วนผ่านการคัดเลือกอย่างพิเศษ โดยเฉพาะยามรักษาความปลอดภัยที่รับผิดชอบดูแลผู้บริหารชั้นสูง โดยคุณสมบัติขั้นพื้นฐานก็คือทหารที่ปลดประจำการแล้ว กระทั่งที่เป็นทหารหน่วยรบพิเศษ พละกำลังของพวกเขาก็ถือว่าแข็งแกร่งเหมือนกัน บางทีพวกเขาก็อาจจะสามารถแบกของหนักขึ้นชั้นสิบเอ็ดแบบนี้ได้เหมือนกัน แต่ก็คงจะไม่ใช่แบบฉินเฟยที่แสดงออกมาอย่างง่ายดาย

ลมหายใจของฉินเฟยที่ยาวนานนั้น มันเกินกว่าที่เธอจะรับรู้และเข้าใจได้

เสิ่นเจียเหวินนึกคิดมาตลอดว่าฉินเฟยนั้นเป็นเพียงหนุ่มหน้าใสที่เรียบง่ายสนใจแต่วิชาความรู้ แต่เรื่องราวในวันนี้นั้น มันเกินกว่าที่เธอเคยรู้จักและเข้าใจฉินเฟยอย่างมาก อีกทั้ง เมื่อครู่เขายังช่วยเธอเคลื่อนข้อกระดูกให้กลับเข้าที่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้

แน่นอนว่า ผู้ที่ถูกประธานจางคัดเลือกมานั้น จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน

ฉินเฟยโอบอุ้มเสิ่นเจียเหวินที่อ่อนแอไร้แรงกำลัง ขึ้นบันไดทั้งหมดสิบเอ็ดชั้น แล้วก็เข้าไปสู่บ้านพักของเสิ่นเจียเหวิน

……

บ้านหลังนี้เป็นแบบสองห้องนอนที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ภายในบ้านไม่ได้หรูหราและไม่มีของตกแต่งอะไรมากมาย แต่กลับมองออกว่าในทุกจุดของบ้านนั้นได้เคยถูกเจ้าของบ้านตั้งใจตกแต่งมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นของตกแต่งบ้านหรือภาพฝาผนังภายในบ้าน แต่ละที่ล้วนแสดงออกถึงความมีรสนิยมและทันสมัยของหญิงเจ้าของบ้าน บริเวณใกล้กับหน้าต่างฝรั่งเศสยังจะมีมินิบาร์อีกด้วย โดยด้านบนนั้นได้จัดวางเหล้าชื่อดังแต่ละประเภทจำนวนมากมาย

ฉินเฟยพูดในใจว่าผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมอกคนนี้ ช่างรู้จักดื่มด่ำเสพสุขกับชีวิตเสียจริง

ฉินเฟยนำตัวเสิ่นเจียเหวินวางลงไว้บนโซฟา แล้วก็ถอนหายใจยาว มองไปที่เธอและพูดว่า: “อาการบาดเจ็บที่เท้าของคุณนั้นรุนแรงมาก แม้ว่าฉันจะช่วยคุณทำให้มันกลับเข้าที่แล้ว แต่กี่วันต่อจากนี้ยังจะต้องให้หมอนวดผู้เชี่ยวชาญมานวดจึงจะฟื้นฟูหายเป็นปกติได้เร็วขึ้น ไม่อย่างนั้นจะง่ายต่อการเกิดอันตรายอื่นที่แทรกซ้อน”

“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าที่เมืองซงไห่นี้มีหมอนวดผู้เชี่ยวชาญอยู่ที่ไหนบ้าง ก่อนหน้านี้ฉันเห็นนายนวดแล้วเหมือนจะค่อนข้างชำนาญพอสมควร หรือว่ากี่วันจากนี้นายมาช่วยนวดให้ฉันหน่อยได้ไหมล่ะ? ” เมื่อเสิ่นเจียเหวินพูดจบก็ตกใจกับคำพูดนั้นของตัวเอง

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)

ผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)
Status: Ongoing
อ่านนิยายผมเป็นเขย(ผู้ไม่ธรรมดา)ฉินเฟยเป็นเขยแต่งเข้าแห่งตระกูลอันดับรอง แต่งงานมาสามปีเมียไม่เคยให้แตะเลย พอชีวิตถูกบีบมาจนถึงขีดสุด หลังเผยตัวจนที่แท้จริงเท่านั้นแหละ เธออดใจไม่ไหวแล้ว…………

Comment

Options

not work with dark mode
Reset