ผู้รักษาสุดแกร่ง – ตอนที่ 247 รองศาสตราจารย์

ข่าวไม่กี่ข่าวนี้กลบข่าวไปเกือบทุกข่าว แม้แต่การค้นหาที่ร้อนแรงบนเว่ยป๋อก็ยังบดบังข่าวซุบซิบของเหล่าดาราทั้งหลาย

ทันใดนั้น แพทย์หญิงอัจฉริยะคนสวยก็รู้สึกร้อนรุ่ม

แต่ไหนแต่ไรผู้คนก็ชอบให้ความสนใจกับโลกการแพทย์เหล่านี้อยู่แล้ว แล้วนี่ยังมีภาพของ หลินเยวี่ยเหยาที่ถูกเปิดเผยออกมาอีก ซึ่งนี่ก็ได้จุดประกายให้เกิดการคอมเม้นท์กันอย่างดุเดือดเกิดขึ้นในทันที

ในโรงพยาบาล เธอสวมเสื้อกราวสีขาวและสวมหน้ากากที่ปิดบังใบหน้า ทำให้มองไม่เห็นอะไรเลย แต่หลังจากการค้นหารูปภาพแล้ว ทุกคนก็ถึงกับตกตะลึงในความงามนี้ของเธอในทันที

เพียงแค่ทักษะทางการแพทย์ที่ไม่เป็นรองใครก็สุดยอดอยู่แล้ว นี่ยังหน้าตาดีอีก!

เหตุการณ์นี้ทำให้เกียรติหลินเยวี่ยเหยามากยิ่งขึ้น ผู้นำของสถาบันการศึกษาตัดสินใจเลื่อนตำแหน่งหลินเยวี่ยเหยาจากรองผู้อำนวยการ เป็นผู้อำนวยการ และและดำรงค์ตำแหน่งเป็นรองศาสตราจารย์

รองศาสตราจารย์ที่มีอายุเพียง 25 ปี ในประเทศนี้ถือว่าหาได้ยาก

หลินเยวี่ยเหยาไม่ได้คาดหวังว่าคราวนี้จะมีกระแสและจะนำผลประโยชน์ที่ไม่คาดคิดมาสู่เธอได้ถึงขนาดนี้

ในขณะที่นั่งดูทีวีอยู่ที่บ้าน จู่ๆเธอรู้สึกผิดนิดหน่อย เพราะจริงๆนี่เป็นผลงานของฉินจุน

“พี่ชายก็มีความรู้พื้นฐานด้านแพทย์แผนจีนอยู่บ้าง ครั้งนี้เขาช่วยฉัน ถือว่าฉันติดหนี้บุญคุณเขา ฉันต้องหาโอกาสแนะนำอาจารย์หมอแพทย์แผนจีนให้เขาช่วยแนะแนวเขาแล้วล่ะ”

หลินเยวี่ยเหยารู้สึกว่าถ้าทักษะของฉินจุนเพิ่มขึ้นอีกซักนิด ก็จะพอที่จะเปิดคลินิกธรรมดาๆแล้ว

แต่ตอนนี้ก็ยังถือว่ายังขาดไปอยู่เล็กน้อย

……

เรื่องของหลินเยวี่ยเหยาแพร่ไปทั่วโลกโซเชี่ยล ช่วงสองสามวันนี้ผู้คนก็มักจะพ฿ดถึงเรื่องของเธอ

แม้แต่ฉินจุนและหมอหลายๆคนในโรงพยาบาลก็ต่างคุยกันถึงเรื่องนี้ ส่วนข่งฝานหลินเมื่อเห็นข่าวนี้เขาก็พูดพรางหัวเราะ

“หวันเอ๋อ เธอพยายามหน่อยนะ เดี๋ยวหมอสาวสวยคนต่อไปก็คือเธอนั่นแหละ”

เย่หวันเอ๋อหน้าแดงและพูดอย่างช่วยไม่ได้ไปว่า

“อาจารย์ข่งหยุดล้อเล่นฉันได้แล้วค่ะ ฉันมีทักษะขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะคะ?”

ที่จริงแล้วเย่หวันเอ๋อก่ออ่อนกว่าหลินเยวี่ยเหยาไปเล็กน้อย เพราะเธอไม่ได้มาจากสาขาวิชาเอก แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่เธอได้เรียนกับฉินจุนและข่งฝานหลินเป็นเวลาสองสามเดือนแล้ว เธอก็ไม่มีปัญหาอะไรกับอาการป่วยทั่วไป ตราบใดที่ไม่ใช่เรื่องฉุกเฉิน เธอก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว

หลังจากพูดจบเย่หวันเอ๋อก็มองไปที่ฉินจุนและกล่าวว่า

“พี่เสี่ยวจุน พี่ลำเอียงไปรึเปล่าคะ พี่คงให้การดูแลเป็นพิเศษกับน้องสาวของพี่ละสินะ?”

ฉินจุนส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ “ทักษะการแพทย์ของเยวี่ยเหยาไม่ใช่พี่สอนหรอก เธอเรียนมาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ด้วยตัวเธอเองทั้งนั้น”

เย่หวันเอ๋อเบ้ปากและกล่าวว่า “เห้อ ทำร้ายจิตใจฉันที่ไม่เคยเรียนวิทยาลัยแพทย์”

เมื่อได้ยินเย่หวันเอ๋อกำลังพูดตัดพ้อเช่นนี้ แม้แต่เจิ้งผิงหลงที่เฝ้าประตูก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้ว่า

“แม่สาวน้อยเย่ นี่เธอมีอาจารย์คอยสอนเธอถึงสองคนเชียวนะ เธอยังไม่พอใจอีกหรือไง”

ข่งฝานหลินเป็นแพทย์แผนจีนระดับปริญญาโท ถ้าหากไปเรียนที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ ที่นั่นระดับของติวเตอร์ก็จะเป็นระดับปริญญาเอก และเป็นเรื่องยากสำหรับนักศึกษาทั่วไปที่จะได้เข้าฟังการบรรยายของพวกเขา

ส่วนฉินจิน นั่นก็ยิ่งสุดยอด ขนาดข่งฝานหลินยังยอมให้เลย ยังต้องอธิบายอะไรอีกเหรอ?

เย่หวันเอ๋อยิ้มเล็กๆ “ก็จริง เหอะเหอะ”

ในตอนเช้า ทันทีที่คลีนิกเปิด ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ที่ประตูแล้ว

เมื่อเย่หวันเอ๋อมองเห็นเธอ หวันเอ๋อก็ถึงกับชะงัก และหันไปพูดกับฉินจุน

“พี่เสี่ยวจุน…พี่ลองออกไปดูข้างนอกหน่อยได้ไหม?”

ฉินจุนถึงกับชะงัก คนไข้แบบไหนกันที่ทำให้เย่หวันเอ๋อถึงกับตกใจได้?

เมื่อเดินไปดูที่หน้าประตู ก็เห็นเพียวผู้หญิงที่สวมเดรสยาวยืนอยู่ด้านหน้าประตู แถมเธอยังใส่หมวกฟาง ปิดหน้ากากอนามัย ใส่แว่นกันแดด

แม้ว่าเธอจะปกปิดมิดชิดแค่ไหน แต่สามารถสังเกตได้จากผิว ว่าผิวของเธอไม่ได้ดีมากนัก อาจมีรอยแผลเป็นหรือรอยสิวทั่วร่างกายซึ่งดูน่ากลัวเล็กน้อย

แต่ผู้หญิงคนนี้หุนดี สูงและสง่างามและดูจากท่ายืนก็ดูดีมากเช่นกัน

เมื่อเธอเห็นฉินจุนเดินออกมา เธอก็ถามเบาๆ

“ที่นี่สามารถรักษาโรคผิวหนังได้ไหมคะ?”

เสียงของเธอฟังดูอ่อนโยนและฟังสบายมาก

ฉินจุนพยักหน้า “ได้ครับ เชิญด้านในเลยครับ”

เย่หวันเอ๋อขมวดคิ้วทันทีที่เห็นผู้หญิงคนนั้นเข้ามา

เพราะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์เล็ดลอดออกมาจากตัวของเธอ

ผู้หญิงคนนั้นถอดแว่นกันแดดออกแล้วพูดด้วยท่าทางที่รู้สึกอยากจะขอโทษ

“ต้องขอโทษทีด้วยนะคะ ฉันอาจจะมีกลิ่นตัวนิดหน่อย”

เย่หวันเอ๋อรีบส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ”

ฉินจุนดมยุครู่หนึ่ง แล้วเขาก็ขมวดคิ้วตาม กลิ่นนี้ไม่ค่อยจะดีนัก แต่นี่ไม่ใช่เพราะว่าผู้หญิงคนนี้ไม่สนใจเรื่องสุขอนามัย แต่มันเป็นเพราะว่ากลิ่นเหม็นนี้ออกมาจากผิวของเธอ

“เชิญนั่งครับ”

หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นถอดหน้ากากและหมวกออก ฉินจุนก็รู้สึกได้ว่า คราวนี้เขาอาจต้องเผชิญหน้ากับโรคที่รักษาไม่หายขาด

ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นเต็มไปด้วยสิว รอยสิวต่างๆ และรอยแผลเป็นชิ้นหนึ่ง ราวกับว่ามันเต็มไปด้วยเกล็ดหรือเปลือกหอยเล็กๆ ดูแล้วทำให้คนขนลุก

แม้แต่ข่งฝานหลินที่อยู่ข้างๆ ก็ยังแปลกใจ

เขาเองก็เป็นถึงอาจารย์แพทย์แผนจีน เป็นแพทย์มาก็หลายปี แต่จะมีคนไข้แบบไหนกันที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน?

แต่ผิวของผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ กลับทำลายความรู้ความเข้าใจของเขาไปเลยจริงๆ

นี่แทบจะเหมือนไหม้ไปแล้วทั้งตัว นี่มันรุนแรงเกินไปแล้ว?

ผู้หญิงคนนั้นมองเขาด้วยความรู้สึกขอโทษ “ขอโทษนะคะ ฉันทำให้พวกคุณตกใจแล้วสินะคะ?”

ข่งฝานหลินส่ายหน้า “คุณเป็นคนไข้และเราเป็นหมอ จะตกใจได้อย่างไรกันครับ อาจารย์ฉิน มา เดี๋ยวฉันตรวจชีพจร”

ข่งฝานหลินก็สนใจคนไข้รายนี้เช่นกัน เขาและฉินจุนก็ได้เริ่มตรวจชีพจร

หลังจากผ่านไปไม่กี่สิบวินาที ข่งฝานหลินก็ปล่อยมือออกและส่ายหัว

“โรคของคุณมีมาแต่กำเนิดแล้วใช่ไหมคราบ? ”

หญิงสาวพยักหน้า “ใช่ค่ะ เป็นมาตั้งแต่เกิดแล้วค่ะ”

ข่งฝานหลิน แสดงความเห็นอกเห็นใจ ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ไม่รักความงาม เกิดมาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็ก ก็คงต้องทนรับสายตาที่ใครต่อใครมองดูเขาอย่างเยือกเย็น

ดูเหมือนผู้หญิงคนนี้ จะไปพบแพทย์มาหลายคนแล้ว และปฏิกิริยาของทุกคนก็อยู่ในความคาดหมายของเธอ

แต่ฉินจุนกลับต่างออกไป

ปกติแล้ว เมื่อเธอไปพบแพทย์ และเดินเข้าไปในโรงพยาบาล ปฏิกิริยาแรกของคนส่วนใหญ่คือตกใจหรือไม่ก็แสดงท่าทางรังเกียจเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ

จากนั้นพวกเขาก็จะเปลี่ยนเป็นดูใกล้ชิดและแสร้งทำเป็นห่วงใยเธอ

เธอชินกับความรู้สึกนี้แล้ว ดังนั้นเมื่อผิวเผินพวกเขามักจะยิ้มอย่างสุภาพ แต่ที่จริงแล้วภายในใจของพวกเขาเย็นชามาก

แต่ฉินจุนไม่เหมือนกับพวกเขาเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

ตั้งแต่ผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามา เขาก็เอาแต่ขมวดคิ้ว แต่ท่าทางของเขาไม่ได้แสดงถึงความรังเกียจอะไรแบบนั้น แต่กลับแสดงท่าทางครุ่นคิด

คนอื่นๆ กลัวที่จะทำร้ายสภาพจิตใจของเธอและจงใจหลีกเลี่ยงบางสิ่ง แต่ฉินจุนกลับพยายามดมกลิ่นที่รุนแรงนั้น

ในระหว่างการวินิจฉัยชีพจร เขาไม่ได้หลบเลี่ยงแต่อย่างใด แต่เขากลับขมวดคิ้วด้วยท่าทีที่ดูจะลำบากเอามากๆ

เธอไม่ได้รับการปฏิบัติเหมือนผู้ป่วยปกติมาเป็นเวลานานแล้ว และทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าหมอหนุ่มคนนี้ดูไม่ธรรมดาเลย

ฉินจุนวินิจฉัยชีพจรอยู่ประมาณ 5 นาที และข่งฝานหลินที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนแทบจะตายแล้วนั้น เขาก็อยากจะถามฉินจุนจริงๆ ว่า ชีพจรนี้สามารถวินิจฉัยได้บ้าง?

อย่างไรก็ตาม โรคผิวหนังที่มีมาแต่กำเนิดนั้นโดยทั่วไปจะรักษาไม่หายและสามารถแก้ไขได้โดยการทำศัลยกรรมพลาสติกเท่านั้น

ในที่สุด ฉินจุนก็ปล่อยมือออก แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

ข่งฝานหลินอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นว่า “คุณผู้หญิงครับ คุณไม่ได้ไปโรงพยาบาลศัลยกรรมมาเลยเหรอครับ?”

แม้ว่าคำถามจะดูสุดโต่งไปบ้าง แต่มันก็เป็นความจริง เพราะการรักษานั้น รักษายากแน่นอนและหลังการรักษาก็อาจไม่ทำให้ดูดีขึ้นได้ สู้ตรงไปที่โรงพยาบาลศัลยกรรมตกแต่งเลยดีกว่า

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มจาง ๆ “ฉันเคยไปมาแล้วค่ะ แต่ร่างกายของฉันมีความพิเศษมากเกินไป ฉันใช้ยาชาไม่ได้ ก็เลยไม่สามารถผ่าตัดได้ และปลูกถ่ายผิวหนังก็ไม่ได้ด้วยค่ะ”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset