พลิกชะตาชายาสยบแค้น – ตอนที่ 211 ทูลขอให้ปล่อยตัว

ตอนที่ 211 ทูลขอให้ปล่อยตัว

ฮ่องเต้วางฎีกาลง พู่กันสีแดงถูกวางลงด้านข้างตามไปด้วย พระองค์กำลังจักส่งหมอหลวงไปตรวจสอบ พลันเห็นฝูเชวียนเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบแล้วโน้มกายทูลอันใดบางอย่าง

“เหลวไหล ! ”

ฮ่องเต้ปัดฎีกาบนโต๊ะทิ้งด้วยความโกรธ “ที่ฉู่โจวพบโรคระบาดตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน  นายอำเภอกลับปิดบังเรื่องนี้เอาไว้ พอมีคนตายนับร้อยก็ปิดบังต่อไปมิได้จึงเปิดเผยออกมาเยี่ยงนี้หรือ ? ”

“ขุนนางเหล่านั้นมัวทำอันใดอยู่ หากนายอำเภอปิดบังเรื่องนี้ พวกเขาจักมิสังเกตเห็นเลยหรือไร ? ”

มู่จวินฮานได้ยินก็พอคาดเดาเรื่องราวได้ ฉู่โจวที่อยู่ใกล้เมืองจิงต้องเกิดโรคระบาดแล้วแน่นอน ขุนนางที่นั่นมิทำหน้าที่ให้ดีจนปล่อยให้เกิดการระบาด เรื่องนี้มิมีคนทูลรายงานฮ่องเต้เลย

เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตนับพันนับหมื่นของราษฎร แต่ขุนนางปิดบังเรื่องเอาไว้ ฮ่องเต้จึงกริ้วถึงเพียงนี้

ฮ่องเต้มิได้เร่งให้หมอหลวงไปตรวจสอบโรคอีก แต่ออกราชโองการทันที “จงเลือกหมอจากสำนักหมอหลวง 10 คนไปที่ฉู่โจว ต้องรีบควบคุมโรคระบาดโดยเร็วที่สุด”

ฝูเชวียนรับราชโองการแล้วถอยออกไป มู่จวินฮานยังยืนอยู่ที่เดิม เขากล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท พื้นที่เกิดโรคระบาดมิได้มีเพียงฉู่โจวแค่ที่เดียว หมู่บ้านเมื่อครู่ก็มีคนตายมิน้อย เกรงว่าสถานการณ์จักเลวร้ายมากกว่าที่เราคาดเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เหลือบมองเขา มู่จวินฮานผู้ที่มิเอาไหนและมีนิสัยเสเพลมาโดยตลอด พอถึงเวลาสำคัญกลับดูมิตื่นตระหนกสักนิด หากเขาเป็นโอรสในเชื้อพระวงศ์ มิใช่บุตรของอ๋องมู่คงดียิ่งนัก

น่าเสียดาย…

เพียงครู่เดียวฮ่องเต้ก็ปรับท่าทางให้เป็นปกติ

“ข้าจักให้หมอหลวงไปควบคุมโรคระบาดที่นั่น เรื่องนี้เจ้ามิต้องยุ่งแล้ว” ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ มิให้โอกาสมู่จวินฮานได้กล่าวอันใดออกมา “รอประชุมพรุ่งนี้เช้า ข้าจักปรึกษาเรื่องนี้กับเหล่าขุนนาง เจ้ากลับไปก่อน”

มู่จวินฮานจึงทำได้แค่กลับจวนอ๋องมู่ ก่อนไปเขายังมิลืมสั่งคนปกป้องอันหลิงเกอไว้อย่างลับ ๆ

โรคระบาดได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมของเมืองจิงแล้ว เช้าวันที่สองตอนประชุมราชสำนัก ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งได้ยืนขึ้น “ทูลฝ่าบาท เรื่องโรคระบาดที่ฉู่โจวมิอาจละเลยได้แม้แต่น้อย ได้โปรดฝ่าบาทส่งหมอหลวงไปรักษาด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ประทับอยู่บนบัลลังก์ สีพระพักตร์ดูแย่กว่าวันก่อนมาก

ตอนที่โรคระบาดยังมิเกิด พระองค์โกรธมากที่อันอิงเฉิงกล้าสร้างเรื่องนี้ขึ้นมา จนวันนี้โรคระบาดเกิดขึ้นจริงแล้ว พระองค์กลับหวังให้เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องโกหก หวังให้ต้าโจวยังคงสงบสุขดังเดิม

“เมื่อวานข้าส่งหมอหลวงไปแล้ว มิถึง 3 วันก็น่าจักถึงฉู่โจว ” ฮ่องเต้หลับดวงเนตรลง ใต้ตาของพระองค์มีสีคล้ำ คาดว่ามิได้บรรทมอย่างสนิทหลังจากเกิดโรคระบาด

ขุนนางเหล่านั้นได้แต่เอ่ยคำแนะนำเดิม ๆ แต่มิได้เอ่ยถึงสองคนที่โดนขังอยู่ในคุกแม้แต่น้อย

ทั้งที่สองพ่อลูกได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาก่อนและขอให้ฮ่องเต้ทรงป้องกันเรื่องโรคระบาด แต่เพราะนายอำเภอของฉู่โจวปิดบังเรื่องนี้เอาไว้จึงทำให้อันอิงเฉิงถูกเข้าใจผิดจนถูกจับขังคุก

วันนี้โรคระบาดเกิดขึ้นจริง ๆ ทั้งสองคนกลับกลายเป็นผู้ถูกลืมไปเลย

มู่จวินฮานมองขุนนางเหล่านั้นกล่าววาจาไร้สาระด้วยแววตาเย็นชา หลังจากนั้นถึงได้ยืนขึ้นแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ทูลฝ่าบาท ท่านโหวอันเคยรายงานเรื่องนี้ต่อพระองค์ ทั้งยังขอให้พระองค์ทรงหาทางป้องกันโรคระบาด เขาจงรักภักดีเช่นนี้ย่อมมิถือเป็นการหลอกลวง มิทราบว่าฝ่าบาทจักปล่อยเขาออกมาได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้เลิกพระขนงขึ้น มู่จวินฮานเกลียดคุณหนูใหญ่อันมาตลอดมิใช่หรือ แต่ตอนนี้เขากลับช่วยกล่าวแทนอันอิงเฉิง เช่นนั้นก็เหมือนช่วยกล่าวแทนอันหลิงเกอ

ทว่าพระองค์เพิ่งมีคำสั่งให้ขังอันอิงเฉิงและอันหลิงเกอเพียงมิกี่วัน หากปล่อยสองคนออกมาตอนนี้ แล้วพระองค์จักเอาหน้าไปวางไว้ที่ใด ?

พระพักตร์ฮ่องเต้ดูเย็นชาขึ้น ท่าทางมิสามารถเจรจาได้ “โหวอันทำผิดจึงโดนคุมขัง เขาบอกว่าเมืองจิงจักเกิดโรคระบาด แต่เจ้าดูสิ โรคระบาดเกิดขึ้นที่ฉู่โจว เขากำลังทำให้ข้าเข้าใจผิด ทำให้ข้าต้องเสียแรงเฝ้าระวังเมืองหลวงจนมิได้ใส่ใจเรื่องที่ฉู่โจว ! เช่นนี้ข้าจักปล่อยเขาออกมาได้เยี่ยงไร ? ”

“แต่โรคระบาดที่ท่านโหวกล่าวก็ได้เกิดขึ้นจริงพ่ะย่ะค่ะ” สายตาของมู่จวินฮานดูแน่วแน่ยิ่งนัก “ขอฝ่าบาททรงปล่อยท่านโหวอันด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

“เรื่องนี้มิต้องกล่าวถึงแล้ว” สีพระพักตร์ฮ่องเต้ดูเคร่งขรึม ท่าทางฉายแววข่มขู่ “สำคัญที่สุดตอนนี้คือการควบคุมโรคระบาด เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องของท่านโหวอันอีก”

ฮ่องเต้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่าจักมิปล่อยอันอิงเฉิงและอันหลิงเกอออกมา มู่จวินฮานเม้มปากกำลังจักกล่าวต่อ แต่ได้ยินอ๋องมู่กระแอมขึ้นมาทีหนึ่ง “ฝ่าบาทตรัสถูกต้อง โรคระบาดร้ายแรงยิ่งนักเราควรควบคุมอย่างสุดกำลัง เรื่องเล็กน้อยที่มิสำคัญเหล่านี้ค่อยหารือทีหลังก็ยังมิสาย”

พระพักตร์ฮ่องเต้ค่อย ๆ ดีขึ้นมา หลังจากนั้นก็ตรัสถามขุนนางชั้นผู้ใหญ่ว่ามีวิธีรักษาโรคระบาดหรือไม่ ขุนนางเหล่านั้นต่างก็ถกเถียงกันเรื่องยารักษาโรค ทะเลาะกันจนหน้าแดง น้ำลายกระเด็นโดยมิสนใจชื่อเสียงหน้าตา เรื่องของอันอิงเฉิงและอันหลิงเกอจึงโดนมองข้ามไปด้วยประการฉะนี้

แม้ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางสามารถเพิกเฉยต่อเรื่องของอันอิงเฉิงและอันหลิงเกอ แต่พวกเขามิสามารถเพิกเฉยต่อจำนวนคนตายที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ได้

เช้าวันต่อมาของการประชุมราชสำนัก สีพระพักตร์ของฮ่องเต้ยิ่งหม่นหมอง ใต้ดวงเนตรช้ำเขียวรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

“ข้าให้พวกเจ้าหาวิธีควบคุมโรคระบาด พวกเจ้าแต่ละคนกลับรู้แค่วิธีบอกปัด ฉู่โจวในเวลานี้มีคนตายมากกว่า 1,300 คนแล้ว หมู่บ้านโดยรอบเมืองจิงก็มีคนตายเพราะโรคระบาดเจ็ดร้อยกว่าคน พวกเจ้ากลับคิดวิธีที่เป็นประโยชน์มิได้ แล้วข้ายังต้องมีพวกเจ้าไว้ทำอันใด ? ”

ฮ่องเต้ตวาดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว พระองค์โกรธจนขมับเต้นตุบอย่างรุนแรง

“ฝ่าบาทโปรดถนอมพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”

ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ยืนขึ้น “โรคระบาดเป็นภัยพิบัติจากสวรรค์ ควบคุมยากยิ่งกว่าอุทกภัยและหิมะถล่ม เรามิได้ป้องกันจึงทำให้โรคระบาดติดต่อกันจากหนึ่งคนเป็นสิบคนและจากสิบเป็นพันคนจนรุนแรงเช่นนี้ แต่หมอหลวงได้เดินทางไปถึงฉู่โจวแล้ว อีกมินานต้องแก้ไขได้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“อีกมินาน อีกมินานคือเมื่อไรกัน? ” ฮ่องเต้จ้องขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนนั้นด้วยแววพระเนตรเย็นยะเยือกไร้ความอ่อนโยนเฉกเช่นวันก่อน “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกวันนี้มีคนตายนับร้อยคนทุกวัน เพียงยืดเยื้อเวลาไปวันเดียว ต้าโจวของข้าก็จักมีราษฎรตายเพิ่มมากขึ้น หากยังยืดเยื้อต่อไปเรื่อย ๆ ข้าจักสั่งให้พวกเจ้าทุกคนไปที่ฉู่โจวจนหมด ! ”

ตอนนี้ราษฎรฉู่โจวได้รับความทุกข์สาหัส ที่นั่นมีแต่เสียงร้องไห้คร่ำครวญไปทั่ว มีผู้คนติดโรคระบาดนับพันนับหมื่นคน คนธรรมดาที่ไปเหยียบเก้าในสิบต้องตายอย่างแน่นอน

ขุนนางผู้นั้นตกใจยิ่งนัก เขารีบคุกเข่าลงด้วยเนื้อตัวสั่นเทา “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย กระหม่อมต้องแก้ไขเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด มิให้ฝ่าบาทต้องกังวลอีกแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

ถึงตอนนี้ อยู่ ๆ มู่จวินฮานก็เอ่ยขึ้นมา “ทูลฝ่าบาท ตอนนั้นท่านโหวเป็นผู้เอ่ยเรื่องโรคระบาดเป็นคนแรก มิแน่เขาอาจมีแผนที่ดีก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อคำนี้ถูกเอ่ยขึ้นมา ทั่วท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบทันที

ผู้ใดต่างก็รู้ว่าการเกิดโรคระบาดครั้งนี้เหมือนเป็นการฉีกพระพักตร์ฮ่องเต้ไปแล้วหนหนึ่ง ผู้อื่นตั้งใจหลีกเลี่ยงเรื่องอันอิงเฉิงกันแทบตาย แต่มู่จวินฮานยังเอ่ยถึงเรื่องนี้ออกมาอีก นี่เขาจงใจทำให้ฝ่าบาทเสียหน้าอย่างเห็นได้ชัดใช่หรือไม่ ?

คิดว่าไทเฮาเอ็นดูตน แล้วฮ่องเต้ก็จักตามใจโดยมิสนอันใดหรือ ?

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง พลิกชะตาชายาสยบแค้นจวนโหวเต็มไปด้วยเสียงมโหรีดังอึกทึก ภายในประดับประดาด้วยโคมไฟและผ้าแพรหลากสี อันหลิงเกออยู่ในชุดแต่งงานสีแดง นางกำลังใช้ชาดทาปากอยู่หน้ากระจก ด้านหลังมีสาวใช้สองคนกำลังช่วยนางหวีผมแต่งตัว วันนี้ นางจะต้องเป็นเจ้าสาวที่งดงามที่สุดในเมืองหลวง

Comment

Options

not work with dark mode
Reset