พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – ตอนที่ 112

* * *

รถม้าจากวังหลวงกำลังพามกุฎราชกุมารไปยังคฤหาสน์ท่านคานต์โรสเซนต์

รถม้าหุ้มทองอย่างหรูหรา ไม่ใช่แค่คันเดียวแต่มาถึงสองคัน คันหนึ่งไว้สำหรับอาซ ส่วนอีกคันไว้สำหรับบรรทุกทรัพย์สมบัติทองคำที่เตรียมไว้เป็นของขวัญ

“ตายจริง นั่นอะไรน่ะ?!”

เนื่องจากรถม้าขับผ่านบริเวณที่ผู้คนจำนวนเดินไปมาจึงตกเป็นจุดสนใจ

หากไม่เป็นงานที่ประกาศอย่างเป็นทางการ ภายในราชวงศ์ก็จะกระทำการอะไรต่างๆ อย่างเป็นความลับ แต่เนื่องจากพวกเขาที่เห็นการปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิด ทำให้เกิดการคาดเดาและข่าวลือขึ้น

‘หรือว่า… พระองค์จะไปหาเลดี้อาเรีย…?!’

เพราะรถม้าเดินทางไปยังคฤหาสน์โรสเซนต์ ข่าวลือข้อเท็จจริงต่างๆจึงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว เป็นข่าวลือแห่งศตวรรษที่ทุกคนต่างให้ความสนใจ

และทำให้อาซที่ตรวจเอกสารอยู่ในรถม้ายกยิ้มเบาๆ ต่างจากปกติที่มักจะทำหน้าตาเฉยชา แต่จู่ๆ กลับอารมณ์ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น เพราะกำลังเดินทางไปหาอาเรียอย่างไรล่ะ

แน่นอนว่าถึงไม่ออกตัวแบบนี้ก็สามารถไปหาได้อย่างที่ใจต้องการ แต่อาซตั้งใจเลือกรถม้าที่มีตราประทับของวังหลวง

เหตุผลง่ายๆ เพื่อที่จะทำให้คนอื่นรู้ถึงความสัมพันธ์ของตนเองและอาเรีย

แม้จะไม่มีใครที่ไม่รู้เรื่องนี้จึงไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ทางเลือกนั้นก็ตาม แต่เพราะอยากจะโอ้อวด หญิงที่เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรคือคนรักของเขา

“เรียนเชิญด้านในเพคะ”

หลังจากได้รับความสนใจจากทุกสายตาในที่สุดก็เดินทางมาถึงคฤหาสน์ท่านเคานต์

ทันทีที่รถม้าลงจอด ท่านเคานต์และเคานต์ติสต่างโค้งคำนับพลางกล่าวต้อนรับ แม้อาซจะยังไม่ลงมาจากรถม้า แต่ทั้งคู่ดูตื่นเต้นอย่างมาก

รวมไปถึงข้ารับใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เคาน์ติสต่างก้มหัวอย่างเต็มที่ มิเอลและเคนต่างยืนต้อนรับอย่างสงบเสงี่ยม

มีเพียงอาเรียที่ยืนตรงอยู่คนเดียวท่ามกลางทุกคนรอรับอาซ

เป็นอภิสิทธิ์สำหรับเธอเท่านั้น

“เลดี้อาเรีย”

อาซที่ลงมาจากรถม้า สวมใส่เสื้อผ้าที่สง่างามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ชุดสูทสีขาวแซมด้วยด้ายสีทองเป็นประกาย รวมไปถึงผมที่จัดเข้าทรงอย่างดีกระทั่งรูปลักษณ์ของเขาทำให้น่าประทับใจมาก

ต่างจากที่ผ่านมาจากที่เคยใส่แต่สีดำ การมาครั้งนี้ใครๆ ก็ดูออกว่าเป็นมกุฎราชกุมาร

‘หากสวมใส่มาแบบนี้ตั้งแต่ครั้งแรก ทุกคนก็รู้แล้วว่าเป็นมกุฎราชกุมาร’

เป็นภาพลักษณ์ที่เขาใส่ใจมากกว่างานประกาศจบการศึกษาจากสถาบันเสียอีก อาเรียมองเขาพร้อมกับแก้มขึ้นสีเลือดฝาด

“คุณอาซ เดินทางมาไกลลำบากแย่เลยนะคะ”

“เพราะเดินทางมาหาเลดี้ผมก็เลยเพลิดเพลินเสียมากกว่าครับ”

อาซตอบอาเรียด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน แม้จะได้ยินแค่เสียงแต่รู้สึกได้ว่าเขาต้องการอาเรียมากแค่ไหน ทำให้คนที่ได้ยินพลอยมีความสุขตามไปด้วย

“แต่ดูท่าแล้ว คนที่ลำบากน่าจะเป็นคนในคฤหาสน์มากกว่านะครับ”

น่ารักน่าชังเสียจริง

หากเป็นมกุฎราชกุมารน่าจะมีความเย่อหยิ่งอยู่บ้าง แต่เพราะอาซอยากจะได้ความสนใจจากคนรอบๆ ตัวอาเรียจึงพูดออกไป

“ถึงจะไม่ใช่เพราะอย่างนั้นก็มีคนที่ลำบากอยู่แล้วละค่ะ หวังว่าคุณจะเพลิดเพลินไปกับการชมคฤหาสน์นะคะ”

“ได้สิครับ คาดหวังเหมือนกันนะครับ เลดี้จะคอยอยู่แนะนำให้ผมใช่ไหม”

“แน่นอนสิคะ  ไม่ใช่ฉันแล้วจะเป็นใครอีกล่ะคะ”

อาเรียจึงพูดรับอย่างดีแสดงท่าทางแกล้งทำออกมา พวกเขาที่ได้ยินแค่เสียงจึงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

“…ท่านอัสเทอโรพี”

และทั้งสองคนต่างทิ้งให้ทุกคนโค้งคำนับอยู่อย่างนั้นพลางพูดเรื่องไร้สาระกันสองคนอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งชื่อของอาซถูกเรียกขึ้น เป็นเพราะที่จริงแล้วเขามัวแต่ต่อสนทนาจนของขวัญถูกขนลงจากรถม้าหมดแล้ว

คนที่เรียกอาซ อาเรียก็รู้จักเป็นอย่างดี องครักษ์ที่เคยพบที่ร้านขายของชำ ซอร์ค

ซอร์คที่สบตากับอาเรียโค้งคำนับให้อย่างสั้นๆ

“เอ่อ ผมเสียมารยาทสินะครับ ทุกคนเงยหน้าขึ้นมาได้แล้วครับ”

ทันใดนั้นคนในคฤหาสน์ต่างเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าของอาซ แตกต่างจากที่เคยได้เห็นจากข่าวลือที่ชนชั้นสูงต่างส่งต่อๆกัน เขาดูดีและหล่อเหลาจนแทบจะสบถออกมาแต่ก็ต้องฝืนกลืนคำนั้นลงไป

ยิ่งไปกว่านั้นแก้วแหวนเงินทองนั่นอะไรน่ะ ของขวัญที่มีจำนวนมากมายจนต้องใช้รถม้าอีกคันหนึ่งขนมา ได้ขโมยความสนใจของพวกเขา ราวกับเป็นของขวัญที่ออกมาจากในนิยายเสียอย่างนั้น

“ท่านพ่อและท่านแม่ของดิฉันเองค่ะ”

ท่านเคานต์และเคาน์ติสที่อึ้งอยู่ได้ยินอาเรียแนะนำตัวเองให้จึงรีบโค้งคำนับอีกครั้ง

“ได้ยินมาว่าท่านเป็นคนดีเลยล่ะครับ ยิ่งไปกว่านั้นท่านเคานต์ยังมีความสามารถด้านธุรกิจด้วยนี่ครับ ไม่รู้ว่าเลดี้ได้รับความสามารถมาจากท่านหรือเปล่านะครับ แล้วก็…ท่านเคาน์ติสช่างงดงามจริงๆ ครับ ได้ยินมาว่าหญิงที่งามที่สุดในอาณาจักรมีแค่เลดี้อาเรียเท่านั้นนี่นา แต่ทำไมตรงหน้าของผมถึงได้มีสองกันล่ะครับ ขอบคุณที่อนุญาตให้ผมได้มาเยือนนะครับ”

คำชมที่ออกมาจากปากของเขาอย่างไม่หยุดหย่อนทำให้คู่สามีภรรยาท่านเคานต์หายตื่นตระหนก เพราะเป็นมกุฎราชกุมารจึงกังวลเรื่องต่างๆ อยู่มาก แต่ท่าทางที่ได้เจอกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เคาน์ติสจ้องมกุฎราชกุมารอย่างปลาบปลื้มด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

“แล้วก็….นี่ เคน ท่านพี่ของฉันและ มิเอล น้องสาวของฉันค่ะ”

เคนและมิเอลที่อาเรียแนะนำตัวให้ทีหลังแสดงความเคารพ แม้จะดูอารมณ์ไม่ดีสักเท่าไรนัก แต่ท่าทางของทั้งคู่ก็ไม่ถึงกับขั้นที่สมควรถูกตำหนิ เป็นใบหน้าที่สามารถมองข้ามไปได้เพราะถือว่าอาจจะตื่นเต้น ถือว่าสามารถปิดสภาพที่แท้จริงของตนเองได้สมกับเป็นชนชั้นสูง

“อย่างนั้นสินะครับ”

แต่ท่าทางตอบกลับของอาซกลับเย็นชา เป็นเพราะเขารู้ทันท่าทางของเคน

ไม่มีทางที่เขาจะมองคนที่ยืนกรรมสิทธิ์อยากได้อาเรียในศาลไปในทางที่ดีได้ สวมหน้ากากแสร้งทำไปเพื่อน้องสาวแต่กลับอยากได้ไปในทางสกปรกแบบนั้น

ยิ่งไปกว่านั้นข้างๆ เขาคือมิเอลเจ้าของข่าวลือ น้องสาวของเธอที่ใช้วิธีสกปรกจนเกือบทำให้อาเรียต้องเสียชีวิต และยังเป็นหมารับใช้ของไอซิสคนที่เขาไม่อยากจะเห็นหน้าด้วยซ้ำ

แม้จะแสดงท่าทางดีก็ยังไม่ค่อยสบายใจเท่าไร แต่นี่กลับแสดงสีหน้าไม่พอใจหรือนี่

อาซที่กำหมัดแน่นครู่หนึ่งพลางมองปราดเป็นการตอบรับคำนับของเคนและมิเอลต่างจากที่ปฏิบัติกับท่านเคานต์และเคาน์ติส

“เริ่มหิวแล้วสิครับ เป็นเพราะผมต้องวุ่นวายแต่เช้าเพื่อมาพบเลดี้หรือเปล่าก็ไม่รู้”

ทำไมเขาถึงได้แสดงออกว่าพอใจขนาดนี้เชียว

อาซพูดคำหนึ่งอาเรียก็ยิ้มให้อย่างสดใส แต่ท่านเคานต์และเคาน์ติสกลับหน้าซีดเผือด

ทำสีหน้าราวกับ ‘เราควรจะเชิญท่านไปก่อนที่ท่านจะพูดออกมาแท้ๆ’ พร้อมกับพูดเชิญอาซไปยังห้องอาหารในสวนที่จัดเตรียมไว้แล้ว

เคนและมิเอลที่ยังแนะนำตัวไม่เสร็จสิ้นแสดงสีหน้าบูดเบี้ยวจึงเดินตามหลังไป หากอาซจะเมินพวกเขาตั้งแต่แรกก็ไม่แปลก เพราะในที่นี้ผู้ที่มีตำแหน่งสูงที่สุดก็คืออาซอย่างไรล่ะ

“โชคดีที่อากาศดีนะคะ พอดีเตรียมสำหรับกลางวันไว้ให้ที่สวนแล้วด้วยค่ะ”

จับมือมกุฎราชกุมารพลางเดินไปยังสถานที่จัดเลี้ยงตรงสวน เมื่อหันหลังมาเหลือบมองก็เห็นน้องสาวที่พยายามปิดบังใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธของเธอ

‘เจ้าชายมาเยี่ยมเยียนถึงที่ จะลุกออกก่อนก็คงจะไม่ได้’

ไม่รู้ว่าจะเป็นที่นั่งที่น่าอึดอัดแค่ไหนกันนะ

พวกเขาที่ดูแคลนเชื้อกำเนิดของอาเรียตอนนี้กลับไม่สามารถต่อต้านผู้ที่มีตำแหน่งเหนือกว่าตนได้จึงได้แต่กล้ำกลืนความโกรธนั้น

‘ทำอะไรย่อมได้อย่างนั้น’

อาเรียที่อารมณ์ดีขึ้นเพราะอาซจึงส่งยิ้มที่แสนสง่าและงดงามให้กับเขา รอยยิ้มที่งดงามยิ่งกว่าลิลลี่ทั้งสวน

ทันใดนั้นอาซที่ดูเหมือนจะอารมณ์ดีขึ้นจึงหันไปสบตาและส่งยิ้มให้อาเรียเช่นกัน ราวกับคู่รักข้าวใหม่ปลามันเสียอย่างนั้น เคาน์ติสที่ประทับใจกับภาพเหล่านั้นจ้องตาเป็นประกาย

เมื่อทุกคนนั่งลงที่โต๊ะอาหารเรียบร้อย ไม่นานมื้ออาหารก็เริ่มขึ้น ดูท่าข้ารับใช้ต่างได้รับกับฝึกมาอย่างดีจึงจัดการทุกอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ผิดพลาด

“ดูท่านคงจะใส่ใจมากเลยนะครับ”

ตามที่อาซพูดอาหารที่จัดเตรียมไว้อย่างดีถูกเสิร์ฟตามลำดับ เป็นชุดอาหารที่ใช้แต่วัตถุดิบชั้นเลิศ แต่จะว่าไปหากเป็นมื้อเย็นก็พอสมเหตุสมผล แต่สำหรับมื้อกลางวันแล้วปริมาณอาหารดูมากเกินไป

เพราะเคาน์ติสรับผิดชอบเรื่องอาหารทั้งหมด ท่านเคานต์ที่รู้ความจริงนั้นจึงใจหายใจคว่ำทันที ดูเหมือนว่าจะแฝงอะไรบางอย่างไว้ เพราะการต้อนรับที่เกินความเหมาะสมทำให้ท่านเคานต์กังวลว่าเขาจะโกรธหรือไม่พลางกลืนน้ำลายที่แห้งผาก

“เพราะเป็นงานจัดเลี้ยงครั้งใหญ่เลยไม่รู้ว่าจะต้องวางตัวอย่างไรครับ”

ต่างจากที่ท่านเคานต์กังวลอยู่ แทนที่อาซจะตำหนิกลับกล่าวขอบคุณทันทีพร้อมกับเพลิดเพลินกับมื้ออาหาร

ทันใดนั้นท่านเคานต์จึงแสดงสีหน้างุนงน เคาน์ติสที่ยังไม่เข้าใจบรรยากาศคิดว่าตัวเองได้รับคำชมจึงแสดงสีหน้าดีใจพลางถาม

“ไม่รู้ว่าจะถูกปากท่านหรือเปล่า”

“พูดอะไรกันครับ อร่อยมากๆ เลยล่ะครับ”

แม้เขาไม่จำเป็นจะต้องทำตัวให้ดูดีเนื่องจากตำแหน่งของเขาก็ตาม แต่ในขณะที่ทานอาหารอาซก็แสดงออกว่าเขาให้ความสนใจท่านเคานต์และเคาน์ติส

เขาปฏิบัติตัวเหมือนกับว่าตัวเองอยู่ตำแหน่งต่ำที่สุด ไม่ว่าจะมองเป็นศัตรูอย่างไร ท่านเคานต์ก็รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นที่มกุฎราชกุมารที่จะกลายเป็นจักรพรรดิในอนาคตลดตัวลงมาพูดคุยอย่างเป็นกันเอง จนกระทั่งพูดเรื่องไร้สาระราวกับลูกศิษย์ที่อยากได้รับคำชมจากอาจารย์

“ได้ยินมาว่าท่านลำบากเพราะธุรกิจผ้าขนสัตว์เหรอครับ”

“ครับ ใช่แล้วล่ะครับ เพราะว่าภาษีของสินค้าฟุ่มเฟือยไม่ธรรมดาเลยล่ะครับ!”

“ตายจริง… หากผมรู้ก่อนจะได้ให้การช่วยเหลือแล้ว.. น่าเสียดายจริงๆ ครับ”

“แค่ท่านพูดก็ขอบพระคุณมากแล้วล่ะครับ ดังนั้นเพราะภาษีจึงลำบากอยู่พักใหญ่ โชคดีที่อาเรียเสนอเรื่องธุรกิจโกดังจึงช่วยลดภาษีลงได้เยอะเลยล่ะครับ โชคดีมากจริงๆครับ”

พูดตามบรรยากาศไปจนไม่รู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปอย่างนั้นเหรอ ใครให้การช่วยเหลือใครกัน เพราะใครกันที่ทำให้ต้องลำบากเรื่องภาษีมาตั้งแต่แรก

อาซหัวเราะกับท่าทางโง่เขลาของเขาราวกับจะยืนยันว่าไม่ได้สนิทสนมกับอาเรียอย่างนั้น

“อา อย่างนั้นเหรอครับ เลดี้ช่างมีความสามารถเก่งมากครับ เพราะอย่างนั้นผมถึงไม่กล้าขัดอะไรได้แต่ตามใจทุกอย่างเช่นนี้อย่างไรล่ะครับ”

“…ตายจริง”

เคาน์ติสเผลออุทานออกมาไม่รู้ครั้งที่เท่าไร จนท้ายที่สุดการสนทนาจบลงด้วยคำชื่นชมอาเรีย

แน่นอนอยู่แล้ว เพราะตัวเอกของวันนี้ก็คืออาซและอาเรีย และอาเรียก็เหมาะสมที่จะได้รับคำชมนั้นด้วย จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเป็นพิธีการ

ในขณะที่ทานอาหารเธอไม่ได้ตักอะไรเข้าปากเลยแม้แต่น้อยทำให้ใบหน้าของมิเอลดูซีดเซียว  พลางจ้องพ่อของตัวเองที่ไม่หยุดพูดชมอาเรียด้วยสายตาราวกับโกรธแค้น

เคนก็เช่นกัน เขาไม่ได้แตะอาหารที่อยู่ตรงหน้าเลยสักนิด พลางโกรธจนกัดฟันแน่น แต่ก็กลัวว่าจะได้รับผลกระทบจึงไม่แสดงอาการใดๆ ออกไป

อาเรียยิ้มในขณะที่มองปราดทั้งคู่จากนั้นจึงพูด

“ท่านพ่อ แล้วก็คุณอาซ พูดอะไรกันคะ ลูกยังเทียบมิเอลไม่ได้แม้กระทั่งปลายเล็บเลยมั้งคะ จริงๆ แล้ว ลูกสิที่ต้องตามรอยเธอที่เป็นเลดี้ในตระกูลชนชั้นสูงใช่ไหมล่ะคะ”

ใครจะคิดแบบนั้นกัน เพราะรู้ว่าไม่มีใครคิดแบบนั้น อาเรียจึงจงใจแกล้งทำเป็นถ่อมตัว ทันใดนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนไปราวกับถูกสาดด้วยน้ำเย็น

แม้ไม่มีใครเห็นด้วย แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้มิเอลได้รับความอับอาย ในสายตาของคนอื่นอาจจะมองว่าเป็นแม่พระปกป้องน้องสาวที่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน แต่อาซที่รู้ตัวตนของอาเรียรู้จุดประสงค์นั้นจึงเปิดปากพูดเพื่อทำลายความเงียบ

“ใช่ไหมล่ะครับ ไม่เคยได้ยินเรื่องแบบนั้นเลยไม่รู้มาก่อนเลยครับ เลดี้อาเรียออกปากชมแบบนี้ ผมก็สงสัยว่าจะเป็นคนแบบไหนกัน ท่านเคานต์มีเลดี้ที่เฉลียวฉลาดแบบนี้คงจะอุ่นใจเลยสิครับ”

“…ขอบคุณค่ะ”

ท่านเคานต์ซับหน้าผากด้วยผ้าเช็ดหน้าพลางเห็นด้วยราวกับเพิ่งเคยได้ยินคำพูดแบบนี้ ส่วนมิเอลก็กลืนซูชิลงไปทั้งที่ขอบตาแดงก่ำ ให้ตำหนิด่าทอยังจะดีเสียกว่า

แต่เพราะมกุฎราชกุมารนั่งอยู่จะโวยวายหรือลุกออกจากที่นั่งก็ไม่ได้

เคนที่ทนเห็นสถานการณ์แบบนี้ไม่ได้จึงออกหน้าไกล่เกลี่ย

“…ที่ท่านมานี่ไม่ได้มาเพื่อขออนุญาตหรอกเหรอครับ?”

เพราะเรื่องของมิเอลไม่ได้สำคัญเท่าไรนักจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

ทันใดนั้นอาเรียที่มองสภาพน่าเวทนาของมิเอลก็ส่งสายตาราวกับสงสัยไปด้วย แม้จะคาดการณ์ไว้อยู่แล้วแต่ดูเหมือนว่าเธออยากจะฟังจากปากของเขาเอง

“เอ่อ จริงสิครับ”

ดูเหมือนว่าอาซไม่อยากจะเสียเวลาไปกับเรื่องไร้สาระจึงเข้าเรื่องจริงจัง คิดว่ารีบๆจบช่วงเวลาที่น่าเบื่อแบบนี้แล้วไปเดินชมคฤหาสน์กับอาเรียสองต่อสองจะดีซะกว่า

“สำหรับเลดี้ผมได้มอบแหวนให้แล้วครับ จึงคิดว่ามาขออนุญาตท่านทั้งสองอย่างเป็นทางการน่าจะดีครับ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…”

แม้จะมาขออนุญาตท่านเคานต์และเคาน์ติสก็ตาม แต่สายตาของเขากลับมองไปที่อาเรีย

สายตาราวกับขออนุญาตจากเธอ

“เพราะมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นมากกว่านั้นอย่างไรล่ะครับ ถึงจะคุยกับเลดี้ครั้งที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตามผมคิดว่าต้องมาขออนุญาตจากทั้งสองท่านน่าจะดีกว่าครับ”

มากกว่านั้น หากจะคบหากันมากกว่านั้นก็มีแค่อย่างเดียว

แม้อาจจะคาดการณ์ไว้แล้วก็ตาม แต่เมื่อได้ยินจากปากของมกุฎราชกุมารที่พูดคำนั้นออกมาเองทำให้ช็อกจนไม่สามารถแสดงท่าทางอะไรออกมาได้ ความแตกต่างระหว่างจินตนาการกับความเป็นจริงได้เข้ามาอย่างเงียบๆ

จะตอบกลับว่าอะไรดี เขาเป็นผู้ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้นี่นา

ภายในสวนที่เงียบสงัดนั้นมีเพียงอาเรียที่ระบายยิ้มออกมาอย่างเงียบๆ คนเดียว

……………………….

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์ อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่ ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…! “ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า” เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า! เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย! เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset