พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – ตอนที่ 120

สีของแหวน สายตาของอาเรียก้มมองต่ำไปยังมือ ตามคำพูดออกของอาซที่ฟังดูจริงจังพอสมควร

“…สีแหวนมันทำไมหรือคะ”

ทว่าแหวนนั้นไม่มีอะไรผิดปกติ แล้วอาเรียก็เอียงหัว อาซมองไปที่แหวนสักพัก แล้วมองไปที่อาเรียด้วยสีหน้างุนงง

“คุณอาซ”

“ผมมั่นใจว่าสีของแหวนมันเปลี่ยนไปนะ…”

เขาขมวดคิ้วพูดอย่างคลุมเครือ เขาไม่สามารถยกเรื่องนั้นขึ้นมาพูดได้อีก เพราะสีของแหวนกลับมาเป็นเหมือนเดิมราวกับสีของมันไม่เคยเปลี่ยนไป

แหวนของเขาเองก็เปลี่ยนสีกลับมาเหมือนเดิมหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก แต่ไม่ได้กลับมาเร็วแบบนี้ เขารู้ว่าหลังจากใช้ความสามารถแล้ว พลังงานที่เหลืออยู่จะทำให้สีของแหวนเปลี่ยนไป แต่พลังงานนั้นก็ไม่เคยหายไปอย่างรวดเร็วขนาดนี้ อย่างน้อยก็เท่าที่เขารู้มา

เขาขยี้ตาตรวจดูแหวนอีกครั้ง เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างแปลก ทว่าสีของแหวนก็ยังไม่เปลี่ยนไป เขาคงจะเห็นภาพลวงตา เพราะใช้พลังไปมากในสองวันที่ผ่านมา

“ผมคงมองผิดไปครับ”

“ว่าแล้วเชียว คุณคงเหนื่อยสินะคะ”

“เปล่าครับ ไม่ใช่แบบนั้น แต่ว่า…”

ถึงอย่างนั้นสายตาเป็นห่วงของอาเรียจ้องมองเขาอย่างไม่วาง ทำให้เขาพยักหน้าตอบว่าคงจะเป็นเช่นนั้นไปทันที

อาเรียเองก็ต้องกลับไปพักผ่อน เพราะเธอพลิกนาฬิกาทรายไป ทั้งสองคนจึงหันกลับไปยังที่พักโดยทันที

เนื่องจากออกมาข้างนอกได้ไม่นานเท่าไรนัก จึงถึงที่พักได้อย่างรวดเร็ว

อาเรียตรวจดูเวลา ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือกว่าพระอาทิตย์จะตกดิน แต่ก็ไม่พอสำหรับการจ่ายค่าตอบแทนในการใช้นาฬิกาทราย

“ผมจะเคาะประตูเมื่อถึงเวลาครับ”

อาเรียเรียกอาซที่กำลังจะกลับห้องของตัวเอง

“คือ… ขอโทษนะคะคุณอาซ แต่ช่วยปลุกฉันตอนรถม้ามาถึงได้ไหมคะ”

“เข้าใจแล้วครับ ผมจะปลุกตอนนั้นนะครับ”

“ถ้าว่าฉันไม่ตื่น… ช่วยปลุกฉันด้วยการตบตีอะไรก็ได้นะคะ”

“…ครับ”

อาซเบิกตากว้างเมื่อเธอพูดว่าให้ปลุกเธอด้วยการตบตี อาเรียเพิ่งรู้ตัวว่านั่นเป็นคำขอที่ฟังดูแปลกสำหรับคนอื่นที่ได้ยิน จึงรีบแก้ตัว

“พอฉันหลับแล้ว ฉันจะเป็นพวกหลับลึกน่ะค่ะ ปลุกให้ตื่นไม่ได้ง่ายๆ ค่ะ ฉันเลยอยากให้คุณอาซไม่ใช่ปลุกฉันจากแค่ข้างนอก แต่โปรดเข้ามาเขย่าตัวให้ตื่น”

แต่ปัญหาก็คือนั่นไม่ใช่ข้อแก้ตัวที่ดีเท่าไรนัก

อาซหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเธอพูดว่าให้เข้ามาปลุกเธอในห้องที่เธออยู่คนเดียว สายตานั้นเป็นสายตาที่เธอเห็นเมื่อวาน

สายตาที่บ่งบอกว่าเขาเข้าใจเจตนาของอาเรีย แต่เขาไม่รู้ว่านั่นคือเรื่องจริงหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงถามยืนยันเหตุผลด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย

“…หมายความว่าผมสามารถเข้าไปข้างในได้ในตอนที่เลดี้หลับอยู่หรือครับ โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือครับ”

“แน่นอนสิคะ สำหรับคุณอาซที่แอบเข้ามาในห้องฉันตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่น่าจะยากนะคะ”

ทว่าคนที่โดนแกล้งคืออาซ แม้จะมีบางครั้งที่เธอรู้สึกเขินอาย แต่โดยพื้นฐานแล้ว เธอก็ใช้ชีวิตอยู่มานานกว่าอาซ จึงไม่แปลกที่เธอจะรับมือกับเพศตรงข้ามได้อย่างเชี่ยวชาญ

แล้วเขาก็ตอบอาเรียด้วยใบหน้าที่ดูยอมจำนนต่อเธอตามที่คิดไว้

“เข้าใจแล้วครับ กรุณาหลับให้สบาย แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะปลุกนะครับ”

* * *

หลังจากอาเรียหลับไป อาซก็ตรวจทานเอกสารที่เขายังไม่ได้อ่าน โดยไม่มีเวลามาคิดทบทวนเรื่องแหวนของเธอ

แผนที่เขาวางมาทั้งหมดนั้นได้เข้าสู่ขั้นตอนสุดท้าย เขาจึงต้องตรวจทานอย่างละเอียดรอบคอบ

‘อีกไม่นาน…’

เขาจะสามารถกู้อำนาจจักรพรรดิที่อยู่หลงไปอยู่ภายใต้น้ำมือของเหล่าขุนนางมาเป็นเวลานานกลับมาได้ มันเป็นโอกาสอันดีที่จะทำให้พรรคขุนนางสลายตัวลง หรือแม้แต่พรรคที่เหลืออยู่ด้วย

อาซที่ตรวจดูเอกสารอย่างรอบคอบจนกระทั่งก่อนพระอาทิตย์จะตกไปทางทิศตะวันตก ถือเอกสารฉบับสุดท้ายไว้ในมือ เอกสารใหม่ที่ได้รับมาจากเรนเมื่อเช้า

เขาไม่ได้ฟังรายละเอียด เพราะเขาอยู่กับอาเรีย เขาจึงคิดแค่ว่ามันเป็นเอกสารเกี่ยวกับงาน แต่พออ่านประโยคแล้ว เขาถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่

‘เขาได้มันมาเร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ทั้งที่ฉันเพิ่งสั่งไปไม่กี่วันก่อนเอง’

เขาต้องตรวจดูอยู่หลายรอบว่านี่ใช่เอกสารที่ตัวเองสั่งไปจริงๆ หรือเปล่า เพราะมันมากถึงเร็วมากกว่าที่เขาคิดไว้มาก

ในไม่ช้าเขาก็รู้ว่าเอกสารนั้นถูกต้อง แล้วเริ่มอ่านอย่างช้าๆ

[ชื่อของเขาคือโคลอี

เขาถูกขับไล่ออกจากราชวงศ์ และไม่มีนามสกุล อายุ 37 ปีครับ

เขาเป็นที่รู้จักกันในฐานะบุตรชายคนโตของท่านไวโอเล็ต ภรรยาของท่านเดวิด ฟรานซ์ และเติบโตมาในฐานะเชื้อพระวงศ์ ทว่าต่อมาก็พบว่าเขาไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของท่านเดวิด แต่เป็นบุตรนอกสมรสของท่านไวโอเล็ต จึงถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรพร้อมกับท่านไวโอเล็กครับ

นั่นคือเรื่องเมื่อ 17 ปีก่อนครับ

สันนิษฐานกันว่าบิดาแท้ๆ ของเขาคือท่านมาร์ควิสเปียสต์แห่งอาณาจักรโครอา อดีตคนรักของท่านไวโอเล็ต แต่ก็ไม่สามารถยืนยันได้ เพราะท่านมาร์ควิสเปียสต์เก็บข้อมูลทั้งหมดเป็นความลับครับ และไม่อาจทราบได้ว่าทั้งท่านไวโอเล็ตและท่านโคลอีอยู่ที่ไหน

ตอนนี้กำลังหาภาพเหมือนอยู่ครับ กระผมจะรายงานให้ทราบอีกทีทันทีที่ได้รับมาครับ]

เมื่อเขาอ่านเอกสารจบทั้งหมด ก็นึกเรื่องที่เคยได้ยินขึ้นมาได้อย่างรางๆ

นานมาแล้ว มีสมาชิกคนหนึ่งในราชวงศ์ได้ตกหลุมรักกับสตรีขุนนางต่างอาณาจักร ซึ่งเป็นรักแรกพบ เขาได้สารภาพความในใจนั้นไป แต่ก็ไม่เป็นผล เนื่องจากหญิงคนนั้นมีชายที่เธอได้ให้สัญญามอบชีวิตด้วยไว้แล้ว

ทว่าบุรุษแห่งราชวงศ์ก็ไม่อาจตัดใจจากเธอได้ จึงบีบบังคับให้หญิงผู้นั้นแต่งงานกับเขา

หลังจากนั้นก็ให้กำเนิดบุตรธิดาสองคน และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่เมื่อรู้ความจริงว่าหนึ่งในบรรดาบุตรธิดาสองคนนั้น เป็นบุตรนอกสมรสที่เกิดจากการคบชู้ของฝ่ายหญิง เขาโกรธมาก แล้วเนรเทศทั้งสองคนออกไป ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องราวอันน่าผิดหวัง

‘นั่นเป็นเรื่องจริงสินะ เอกสารถึงได้มาถึงเร็ว’

แม้เวลาจะล่วงเลยไปสักพักแล้ว แต่ดูเหมือนเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความโกลาหลภายในราชวัง เขาถึงได้ข้อมูลมาอย่างรวดเร็ว

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าไอ้ขยะที่บีบบังคับให้หญิงที่มีคนที่เธอรักอยู่แล้วมาแต่งงานด้วยจะเป็นสมาชิกของราชวงศ์ ช่างน่าอับอายขายขี้หน้าเสียจริงๆ เสียงหัวเราะเยาะอย่างดูถูกรั่วไหลออกมาจากริมฝีปากที่ปิดสนิท

บุตรที่ขุนนางหญิงต่างอาณาจักรที่แต่งงานกับราชวงศ์ สร้างขึ้นมาจากภายนอก เขาเติบโตขึ้นมาในฐานะเชื้อพระวงศ์ แต่หาคิดไตร่ตรองให้ดีแล้ว เขาไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ เกี่ยวข้องกับราชวงศ์เลยแม้แต่นิดเดียว อาจมองได้ว่าเขาเป็นขุนนางแห่งอาณาจักรโครอาที่เกิดมาจากพ่อและแม่ผู้เป็นขุนนางแห่งอาณาจักรโครอาเสียมากกว่า

เดวิด ฟรานซ์

นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเอาแต่ดื่มเหล้ามาตลอด และเสียชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย

‘คนที่มีภูมิหลังซับซ้อนแบบนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเลดี้อาเรียกันแน่’

อาซได้ยินมาว่าเฟรย์บุตรีของเดวิด ฟรานซ์และไวโอเล็ต ให้อาเรียใส่เสื้อผ้าของน้องตัวเอง

ภาพเหมือนนั้นยังอยู่ระหว่างการค้นหา จึงไม่สามารถยืนยันได้ แต่จากความทรงจำในอดีตอันเลือนรางของเขานั้น เขาจำใบหน้าที่ดูคล้ายคลึงกันได้ เขาคิดว่าเพราะหน้าคล้ายกันเฉยๆ เลยเป็นเช่นนั้น แต่มีเรื่องอะไรลึกซึ้งกว่านั้นหรือเปล่านะ

ปริศนาดูเหมือนจะปะติดปะต่อกันได้ แต่ก็ไม่ลงล็อกพอดี ทำให้เกิดรอยย่นตรงหว่างคิ้วของเขา

‘ยังไงตอนนี้คงต้องเก็บไว้เป็นความลับไม่ให้เลดี้รู้จนกว่าจะแน่ใจได้ก่อนก็แล้วกัน’

เนื่องจากเขายังไม่มั่นใจว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาเรียอย่างไร หากเขาบุ่มบ่ามบอกให้เธอรู้ทั้งที่ข้อมูลไม่เพียงพอ ก็มีแต่จะเพิ่มความวิตกกังวลให้เธอเปล่าๆ

‘เวลาผ่านไปขนาดนี้แล้วหรือนี่’

กว่าจะรู้ตัวอีกที พระอาทิตย์ก็ล่วงลับไปแล้ว และนอกหน้าต่างก็มืดลง รถม้าที่ไม่มีใครนั่งนั้นเบาลง ทำให้รถวิ่งได้เร็วขึ้น จึงไม่แปลกที่จะมาถึงเร็วกว่ากำหนด

เขาต้องรีบไปปลุกอาเรีย แล้วขึ้นรถม้าที่มารอรับ และต้องผ่านประตูไปตามพิธี

“เลดี้ครับ ได้เวลาไปกันแล้วครับ

“…”

“เลดี้ครับ”

“…”

เขาจึงเรียกชื่ออาเรียจากด้านนอกประตูอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา คงจะเป็นอย่างที่เธอบอกตอนกลางวันว่าหากเธอหลับไปแล้วจะตื่นยาก

“…ในเมื่อเลดี้บอกว่าให้เข้าไปได้ ผมก็จะเข้าไปจริงๆ แล้วนะครับ”

เขาพูดเรื่องที่ได้รับอนุญาตจากอาเรียเอาไว้ก่อน แล้วจึงเปิดประตูอย่างระมัดระวัง

แม้เขาจะเคยแอบบุกเข้าไปแล้ว อีกทั้งยังได้รับอนุญาต แต่เขาก็ยังอดรู้สึกเขินไม่ได้ จึงเข้าไปแล้วกระแอมไอ ถ้าใครมาเห็นเข้า จะต้องเข้าใจผิดแน่ๆ

“…เลดี้ครับ”

เธอคงจะไม่มีพฤติกรรมที่ชอบทำระหว่างนอนหลับ สีหน้าของเธอที่กำลังนอนหงายเหยียดตรงถึงได้ดูซีดอย่างบอกไม่ถูก และยังดูเหมือนไม่สบาย

จะว่าไปท่าทีของเธอวันนี้ก็ดูค่อนข้างแปลก จู่ๆ เธอก็ผลักเด็กล้มลงไป แล้วอ้างว่าเพราะแมลง

‘เป็นอะไรหรือเปล่านะ’

ควรจะตามหมอมาดูไหม เขาเริ่มเป็นกังวลว่าเธออาจจะได้รับผลกระทบจากหลายๆ เรื่องที่สั่งสมกันมา แล้วแสดงออกมาทางร่างกาย

จะคิดแบบนั้นก็ไม่มากเกินไป ถึงจะไม่ใช่พี่สาวน้องสาวแท้ๆ แต่เธอก็ถูกน้องสาวใส่ร้ายแบบนั้นแล้วยังคงไม่เป็นไรได้อย่างไรนะ

“เลดี้”

อาซคิดดังนั้นแล้วลูบผมของอาเรียอย่างระมัดระวัง ผมของเธอไม่ได้ยุ่งเหยิงเท่าไรนัก แต่เขาแค่นึกอยากจะทำเช่นนั้น ความรู้สึกที่ไม่อยากปลุกให้เธอตื่นก็ออกมาจากปลายนิ้วนั้นของเขา

ปล่อยให้เธอนอนหลับไปเฉยๆ แบบนี้จะไม่ดีกว่าหรือ เพราะพวกเขาก็ได้สร้างพยานและหลักฐานที่ชัดเจนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

เขาคิดเช่นนั้นพลางหันหน้าไปทางอื่นพักหนึ่ง แล้วเขาก็เห็นกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง กล่องที่อาเรียพกติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลา

‘กล่องที่ใส่นาฬิกาทรายเอาไว้… สินะ’

กล่องที่ใส่นาฬิกาทรายที่เธอเคยบอกไว้ว่าพกติดตัวไปด้วยแล้วสบายใจกว่า เป็นของที่ดูไม่ค่อยปกติที่หญิงสาวจะพกไว้ในอ้อมแขนไปไหนมาไหน

เมื่ออาซดูให้แน่ใจแล้วว่าอาเรียหลับอยู่ เขาก็ถือกล่องนั้นขึ้นมาไว้ในมืออย่างระมัดระวัง เขารู้สึกว่ามันหนักไปนิดหนึ่งสำหรับหญิงสาวผู้บอบบางที่จะพกสิ่งนี้ไปไหนมาไหนด้วย ถึงอย่างนั้น พอเห็นเธอพกมันไปไหนด้วยตลอดเวลาไม่ยอมวางแล้ว ก็คงจะนับได้ว่าเป็นของสำคัญน่าดู

เขาคิดเช่นนั้น แล้วก็รู้สึกสงสัยว่ามันคืออะไร เขาเปิดกล่องดูนาฬิกาทราย มองไปที่อาเรียอีกครั้ง แล้วหยิบสิ่งนั้นขึ้นมาถือในมือ

ทว่า

‘…อะไรกัน’

เขารู้สึกเหมือนไม่ได้จับอะไรอย่างบอกไม่ถูก ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนว่ามันเป็นความรู้สึกประหลาดที่เคยรู้สึกมาก่อนที่ไหนสักแห่ง

ความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างมากที่ไม่สามารถสัมผัสได้จากนาฬิกาทราย

ความรู้สึกที่คุ้นเคย แต่ก็ไม่คุ้นเคยนี้ ทำให้อาซที่เต็มไปด้วยความกังวลนั้น หัวใจเต้นเร็ว

นี่มันอะไรกัน… ทำไมถึงรู้สึกกับนาฬิกาทรายของอาเรียกัน

สายตาของอาซที่จับมันอยู่พักใหญ่ เบี่ยงไปทางมือของอาเรียที่กำลังหลับอยู่ทันที แหวนบนนิ้วนางนั้นมีสีธรรมชาติราวกับว่าไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

บุตรของหญิงสาวที่แต่งงานกับเชื้อพระวงศ์ และดื่มน้ำอันศักดิ์สิทธิ์

อาเรียที่หน้าตาดูคล้ายกับเด็กคนนั้น

นาฬิกาทรายที่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาด

แล้วก็แหวนที่ดูเหมือนจะเปลี่ยนสีไป และชายผู้มีนามว่าโคลอีที่ถูกเนรเทศออกจากอาณาจักรไปเมื่อ 17 ปีก่อน

อาเรียเองก็จะครบสิบเจ็ดปีหลังจากวันเกิดปีนี้

…อย่าบอกนะว่า

แม้ว่าเขาลองคิดด้วยตัวเองแล้วมันจะดูเป็นไปไม่ได้ แต่มือที่ถือนาฬิกาทรายอยู่ก็เริ่มสั่นขึ้นมาเล็กน้อย แม้ปริศนาจะเข้าที่เข้าทางของตัวมันเองแล้ว แต่เขาก็พูดว่ามันเป็นแค่การคาดเดา แล้วส่ายหัว

ถึงอย่างนั้นความรู้สึกแปลกๆ ที่นาฬิกาทรายในมือส่งออกมานั้น ก็ทำให้รู้ว่าเขากำลังเจอคำตอบที่ถูกต้อง

ทว่าในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก ความกังวลใจที่รู้สึกว่าไม่ควรจะถือนาฬิกาทรายไว้แบบนี้ต่อไป

ในตอนที่เขากำลังรีบวางนาฬิกาทรายกลับคืนไปนั้นเอง

“นาฬิกาทรายของฉัน…!”

ทันใดนั้นอาเรียก็ลืมตาขึ้นพรึบ แล้วจับข้อมือของอาซ สายตานั้นราวกับจะถามว่าทำไมคุณถึงถือนาฬิกาทรายของฉันอยู่ สายตานั้นเย็นชามากราวกับกำลังเผชิญหน้ากับคนอื่น นั่นทำให้อาซรู้สึกตื่นตระหนก แล้วรีบแก้ตัวอย่างไม่สมกับเป็นเขา

“…ผมรู้สึกว่ามันจะตกลงมาจากโต๊ะข้างเตียง ก็เลยกำลังจะวางมันกลับเข้าที่เดิมให้น่ะครับ”

“รู้สึกว่าจะตกลงจากโต๊ะข้างเตียงอย่างนั้นหรือคะ”

ทว่าคำพูดของอาเรียที่ถามกลับมานั้นเต็มไปด้วยเสี้ยนหนาม สีหน้าของเธออยากจะถามว่าหากรู้สึกว่าจะตกจากโต๊ะข้างเตียงเฉยๆ จริงๆ แล้วทำไมเขาถึงถือตัวนาฬิกาทรายอยู่ แทนที่จะเป็นตัวกล่องของมัน

แม้จะบอกว่าเขาจะตื่นตระหนกมากสักเพียงไหน แต่เขาก็พูดโกหกต่ออาเรียไป ทำให้เขารู้สึกเหมือนเป็นอาชญากรโทษสถานหนักขึ้นมาทันที อาซจึงรีบวางนาฬิกาทรายกลับเข้าที แล้วสารภาพความจริง

“…เปล่าครับ ความจริงคือผมสงสัยกล่องนี้ที่เลดี้มักจะพกติดตัวไปไหนมาไหนตลอดเวลา เลยแอบลองเปิดดูน่ะครับ ขอโทษจริงๆ ครับ”

แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอต้องโกรธ ก็มันเป็นนาฬิกาทรายที่เธอหวงแหนขนาดนั้น แถมเธอยังตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกได้ว่ามีคนอยู่

เธอจ้องอาซด้วยสายตาเย็นชาโดยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่งหลังจากได้ฟังคำตอบตามจริงของอาซ ทันใดนั้นเธอก็หลับตา ลืมตาอย่างช้าๆ อยู่สองสามครั้ง แล้วพยักหน้าบอกว่าเข้าใจแล้ว

“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าคุณบอก ฉันก็คงจะเอาให้ดูอยู่แล้วน่ะค่ะ”

ยิ่งไปกว่านั้นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดุดันหลังจากตื่นนอนก็ได้หายไปแล้ว เพราะเธอเชื่อใจอาซเป็นอย่างมาก

“รถม้ามาถึงแล้วหรือคะ”

“ครับ อ่า ครับ เราต้องไปกันแล้วครับ”

“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะเปลี่ยนชุดก่อน แล้วค่อยออกไปเจอกันข้างนอกนะคะ”

“…เข้าใจแล้วครับ”

เขาตอบเช่นนั้น และออกจากห้องของอาเรียไป แล้วก็หันหลังกลับมามองแวบหนึ่ง ที่ที่สายตาของเขามองทอดไปนั้น ยังคงมีกล่องของนาฬิกาทรายวางอยู่

……………………………………………….

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์ อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่ ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…! “ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า” เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า! เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย! เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset