พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – ตอนที่ 124

“ยังมีอีกอย่างหนึ่งอย่างนั้นหรือ มันคืออะไรหรือคะ”

เฟรย์ถามกลับสีหน้าเยือกเย็น

ดูท่าเธอน่าจะคิดไปแล้วว่าอาเรียไม่ใช่คนร้าย

ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะแม้การพิจารณาคดีจะยังไม่เสร็จสิ้น แต่พวกเขาต่างนำหลักฐานและคำยืนยันที่ไม่มีหลักฐานอื่นใดมาแย้งได้มายื่นต่อศาล

“กำไลของพี่ค่ะ!”

มิเอลหยิบกำไลที่ขาดแล้วออกมาจากอ้อมแขน เมื่อเฟรย์ไล่สายตามองตามมิเอลก็รีบพูดเสริมไปทันที

“มันคือกำไลที่พี่อาเรียเคยใส่อยู่ตลอดค่ะ พี่ผลักท่านพ่อตกบันไดแล้วทำมันหล่นไว้ระหว่างที่รีบหนีไปยังไงล่ะคะ! ดิฉันเก็บมาจากที่เกิดเหตุค่ะ”

กำไลที่เธอถือขึ้นมามีการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งไม่เหมาะกับหญิงสาวชนชั้นสูง ดังนั้นเลดี้คนอื่นๆ จึงจำได้ในทันที

“อ้อ จะว่าไปดิฉันก็เคยเห็นกำไลเส้นนั้นค่ะ! ดิฉันได้คุยกับเลดี้เรื่องนี้ตอนเลดี้กลับเข้าไปในคฤหาสน์ค่ะ รูปร่างมันดูเด่นจนสะดุดตาดิฉันน่ะค่ะ”

“ดิฉันก็อยู่ตรงนั้นค่ะ! เหมือนจะบอกด้วยว่าเจ้าชายมอบให้เลดี้เป็นของขวัญใช่ไหมคะ ดิฉันเห็นชัดเลยค่ะว่าเลดี้ใส่อยู่บนข้อมือ”

พวกเธอคือบรรดาหญิงสาวที่พากันแดกดันอาเรียหลังกลับมาถึงคฤหาสน์

เหตุใดกำไลที่เธอใส่จนถึงตอนเข้าไปในคฤหาสน์จึงไปอยู่ในมือของมิเอลเสียได้ ในเมื่อเธอบอกเองว่าเธอออกไปจากคฤหาสน์ทันทีแล้วเธอทำมันขาดไว้เมื่อใดกัน

ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังบอกอีกว่ามันเป็นกำไลแสนล้ำค่าซึ่งเจ้าชายทรงเป็นผู้ประทานให้แล้วเธอจะออกจากคฤหาสน์โดยไม่รู้ตัวว่าทำกำไลขาดไว้ได้อย่างไร นั่นไม่ใช่เพราะมีบางอย่างเกิดขึ้นจนทำให้เธอต้องรีบออกจากคฤหาสน์หรอกหรือ

ทุกคนต่างรอคอยคำตอบจากอาเรีย เพราะยิ่งคิดหลักฐานชิ้นนี้ก็ดูจะมีเหตุผลเพียงพอที่จะทำให้อาเรียต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

“เลดี้ หรือว่าเลดี้ทำกำไลข้อมือที่ผมให้หายไปอย่างนั้นหรือครับ”

และอาซก็เอ่ยถามด้วยใบหน้าเศร้าเสียใจเหลือประดา การแสดงของเขาดีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าอาเรีย ไฉนเลยจะมีใครกล้ามองว่าเขาคือเจ้าชายอีก

อาเรียจึงเอ่ยตอบด้วยใบหน้าไม่รู้ไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้น

“ไม่มีทางหรอกค่ะ! มิเอล พี่… ไม่รู้หรอกนะว่าน้องหมายถึงอะไร… แต่นั่นมันไม่ใช่กำไลของพี่”

“กำไลหน้าตาแบบนี้ไม่มีทางเป็นกำไลธรรมดาแน่ แล้วมันไม่ใช่กำไลของพี่หรือไงคะ คนที่เห็นก็มีตั้งเยอะแยะ พี่เป็นคนทำตกไว้ที่ระเบียงทางเดินชัดๆ นี่คะ! แล้วพี่ก็ไม่ได้ออกไปในทันทีด้วย! โกหกไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ!”

คราวนี้มันคือความจริงหาใช่เรื่องโกหก มิเอลจึงเอ่ยเสียงดังฟังชัด ด้วยเหตุนี้อาเรียจึงยกแขนขึ้นมาให้ดูด้วยสีหน้าราวกับรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมกับเธออย่างมาก

“น้องพูดถึงอะไรอยู่หรือมิเอล ในเมื่อกำไลที่เจ้าชายทรงประทานให้มันก็ยังอยู่ที่นี่ ที่ข้อมือพี่นี่ไง…!”

ทันใดนั้นบนข้อมือบางของอาเรียที่ยกขึ้นมาให้ดูก็ปรากฏว่ามีกำไลแบบเดียวกับที่มิเอลถืออยู่ในมือเช่นกัน มันคือกำไลอีกเส้นที่ได้รับมาจากอาซนั่นเอง

กำไลนั่นกลับไปอยู่บนข้อมืออาเรียอีกรอบได้อย่างไรกัน…! มิเอลเบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อเมื่อได้เห็นภาพนั้น

“พี่ไม่รู้หรอกนะว่าน้องไปหากำไลที่ถืออยู่นั่นมาจากไหน แต่กำไลเจ้าชายทรงประทานให้พี่มาเส้นนี้มันไม่เคยหลุดออกจากกายพี่เลยแม้เพียงเสี้ยววินาที”

อาซช่วยเสริมอยู่ข้างๆ อาเรียซึ่งโกหกออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย

“…ว่าแล้วเชียวครับ ไม่ว่าจะอยากต้อนให้เลดี้อาเรียเป็นคนร้ายอย่างไรก็ไม่น่าเอาของแบบนี้มาเป็นหลักฐาน เพราะนี่คือกำไลที่ผมสั่งทำเป็นพิเศษให้เลดี้ดังนั้นจึงมีเพียงเส้นเดียวในโลกเท่านั้นครับ ผมชักจะสงสัยแล้วว่ากำไลเส้นที่เลดี้มิเอลถืออยู่นั้นมาจากที่ใดกัน”

คำพูดที่ทำให้ตนตั้งใจทำของปลอมขึ้นมาเพื่อผลักให้อาเรียกลายเป็นคนร้ายทำให้ใบหน้าของมิเอลเย็นเยียบขึ้นมาทันที

‘แต่มันเป็นกำไลของนางผู้หญิงชั้นต่ำนั่นจริงๆ นี่!’

เธอมั่นใจว่าเจ้ากำไลนี่ถูกทำตกไว้ตั้งแต่ก่อนอาเรียจะหนีไปพร้อมเจ้าชายที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมา

เพราะอย่างนั้นเธอจึงอยากจะยืนกรานเช่นนั้นอีกครั้งแต่เฟรย์นั้นทำการพิจารณาคดีเข้าข้างอาเรียเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ช่างน่าสงสารที่คำให้การของมิเอลจึงถูกประณามว่าเป็นเท็จไปโดยปริยาย

“เข้าใจแล้วค่ะ สำหรับกำไรที่เลดี้มิเอลยืนยันนั้น เลดี้อาเรียไม่ได้ทำหายทั้งยังใส่มาอีกด้วยแต่… เอาเป็นว่าตอนนี้เข้าใจแล้วค่ะ ดิฉันจะทำการตรวจสอบกำไลของทั้งสองท่านแล้วค่อยตัดสินอย่างเป็นธรรมโดยมีคำให้การเป็นพื้นฐานค่ะ”

คำว่า ‘จะตัดสินอย่างเป็นธรรม’ ของเฟรย์ฟังดูเย็นชาเหลือเกิน จนทำให้มิเอลหน้าซีดเข่าอ่อนต้องทรุดนั่งลงกับที่ทันที

ในที่สุดไอซิสก็ทนดูการเล่นสกปรกของเธอไม่ได้อีกต่อไปจึงลุกเดินออกไปจากศาลอย่างโกรธๆ เคนเองก็ได้แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับน้องสาวที่เอาแต่พูดเพ้อเจ้อของเขา

บรรดาผู้ฟังต่างก็เงียบกริบเพราะมิเอลที่พยายามจะประณามอาเรียด้วยหลักฐานปลอม ระหว่างนั้นมิเอลก็กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะเริ่มตั้งคำถามที่พอจะเป็นไปได้

‘หรือว่าจะมีสองเส้น…!’

เธอคิดว่าอาจจะมีกำไลเหมือนเส้นที่ขาดนี้อยู่อีกเส้น คู่รักมักจะแบ่งเครื่องประดับกันใส่ ดังนั้นอาเรียเองก็น่าจะใส่กำไลที่เป็นคู่กับเจ้าชาย

ไม่สิ มันเป็นกำไลที่มีลักษณะเฉพาะก็จริงแต่ก็ดูไม่ได้แพงขนาดนั้นและคุณภาพก็ไม่น่าจะดี ฉะนั้นเขาจึงบอกว่าสั่งทำขึ้นมาเป็นพิเศษและมันน่าจะเป็นกำไลที่มีขายเป็นปริมาณมากอยู่ที่ไหนสักแห่งในต่างประเทศ ดังนั้นพวกเขาอาจจะไปซื้อมาอีกรอบก็ได้!

มิเอลที่กำลังร้อนอกร้อนใจบังอาจเอ่ยถามเจ้าชายว่าเขาได้พูดโกหกหรือไม่ มันคือการกระทำที่ไม่สามารถทำได้หากเธอยังมีสติแต่มิเอลตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว

“มะ ไม่ใช่ว่าพี่อาเรียทำหายแล้วเจ้าชายมอบเส้นใหม่ให้หรอกหรือคะ…! ไม่ใช่ว่าเจ้าชายมอบอีกเส้นที่มีอยู่ให้พี่อาเรียหรือคะ…!”

“…ผู้หญิงอะไรไม่มีมารยาท”

ต่อให้จะรู้สึกเป็นปฏิปักษ์เพียงใดแต่จะไปแสดงออกว่าสงสัยพระองค์ต่อหน้าพระพักตร์เช่นนั้นได้ที่ไหนกัน

อาซขมวดคิ้วแล้วตอบไปว่าเขาไม่พอใจ ทางด้านบรรดาเลดี้ทั้งหลายที่รู้ดีว่ามิเอลกำลังล้ำเส้นก็ได้แต่หดตัวแอบมองอย่างระมัดระวัง

และเริ่มคิดเสียดายมากขึ้นทีละน้อยที่พวกตนคิดผิดที่คอยปกป้องมิเอลมาตั้งแต่แรกเพราะคำพูดของเจ้าตัวเพียงคำเดียว

แม้มันอาจจะสายไปแล้วก็ตาม

“นี่เลดี้กำลังบอกว่าผมสร้างหลักฐานขึ้นมาเพื่อช่วยคนรักของตัวเองอย่างนั้นหรือ หลักฐานก็ไม่มี หรือหากผมให้กำไลอีกเส้นกับเลดี้อาเรียจริงๆ แล้วเลดี้มิเอลจะตรวจสอบได้อย่างไรล่ะครับ แล้วเลดี้จะรับผิดชอบคำพูดของตัวเองได้หรือ”

“ระ เรื่องนั้น…!”

ครานี้มิเอลกลับกลายเป็นฝ่ายที่พูดไม่ออกเมื่อถูกอาซยิ้มเยาะ เพราะรอยยิ้มเยาะนั่นดูราวกับจะถามเธอว่ามันก็เหมือนสิ่งเธอเคยทำมิใช่หรือ

ทั้งที่คิดเอาไว้ว่ามันจะง่ายดังปอกกล้วยเข้าปากเพราะฝั่งตนมีพร้อมทั้งพยานและหลักฐานแต่เหตุใดมันจึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ ทั้งที่คิดไว้ว่าครั้งนี้มันจะสมบูรณ์แบบแล้วแท้ๆ!

นั่นเพราะมันมีหลักฐานมัดตัวที่อาเรียซึ่งอยู่ที่คฤหาสน์ในเวลาเดียวกับที่ท่านเคานต์ถูกผลักตกบันไดจริงๆ ไม่อาจเอ่ยแย้งได้ แม้ในความเป็นจริงแล้วอาเรียจะไม่ได้เป็นคนผลักแต่ตอนที่ท่านเคานต์ตกลงมานั้นอาเรียก็อยู่ในคฤหาสน์จริงๆ

น้ำตาหลั่งรินออกมาเพราะความอยุติธรรมที่ได้รับ เหล่าคนที่เคยเชื่อถือคำพูดเธอตลอดมาต่างพากันหันหลังให้และมองข้ามจนเธอหายใจไม่ออก ความเจ็บปวดเช่นนี้มันสมควรเป็นอาเรียที่ต้องได้ลิ้มรสแต่เหตุใดมันจึงกลายเป็นเธอไปเสียได้

“พะ… พี่อาเรียเป็นคนผลักท่านพ่อจริงๆ นะคะ…! ทุกคนก็เห็นนี่คะ…! เห็นพี่อาเรียที่ผลักท่านพ่อซึ่งยืนอยู่ตรงปลายบันไดลงไปสุดแรงน่ะค่ะ…!”

ขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยว่ามิเอลกำลังโกหกอยู่หรือไม่แต่มิเอลก็ยังไม่ยอมแพ้และยังยืนหยัดโต้แย้งว่าอาเรียเป็นคนผลักท่านเคานต์

แม้เสียงจะแหบแห้งและริมฝีปากจะสั่นระริกแต่เธอก็ยังกล่าวหาอาเรียอย่างไม่ยี่หระ

ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นเพียงคำยืนกรานไร้สาระที่ไม่มีค่าพอให้รับฟังอีกแล้ว เพราะแบบนั้นจึงไม่มีใครตั้งใจฟังเธอเลย นั่นทำให้มิเอลหน้าซีดเป็นกระดาษขาวและดูราวกับจะล้มทรุดลงได้ทุกเมื่อ ในทางตรงกันข้ามความเห็นใจที่มีให้อาเรียกลับเพิ่มมากขึ้นทุกที

‘เป็นไปได้ยัง…! ทุกคนมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นได้ยังไงกัน!’

น้ำเสียงของมิเอลเริ่มมีความโกรธเกรี้ยว ดูท่าอาเรียกับมิเอลจะสลับที่กันแล้วจริงๆ

และยังเป็นช่วงเวลาที่คนที่ย้อนเวลามาอย่างอาเรียเฝ้าฝันถึงมาตลอดด้วย

“มิเอล… พี่จะไปผลักท่านพ่อได้ยังไง ทำแบบนั้นไปแล้วพี่ได้อะไร…”

เมื่ออาเรียบีบน้ำตาตอกย้ำลงไป เคาน์ติสซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ก็เริ่มสะอึกสะอื้น

หากแต่มันคือน้ำตาที่มาจากใจจริงหาใช่แกล้งทำอย่างอาเรีย ทั้งยังเป็นน้ำตาของลูกผู้หญิงแสนบอบบางคนหนึ่งที่ต้องทุกข์ใจอยู่เพียงลำพังตลอดมา

ทั้งอาซที่คอยปลอบประโลมคู่แม่ลูกที่น่าสงสารและบรรดาผู้ฟังที่เฝ้ามองเธออยู่ ในตอนนี้คนที่ถูกตราหน้าว่าเป็นนางร้ายได้เปลี่ยนจากอาเรียไปหาใครคนใหม่เพราะมิเอลที่ยังดื้อแพ่งยืนยันในสิ่งที่ทุกคนต่างนับว่ามันเป็นเพียงการหลอกลวงไปแล้ว ในขณะที่การพิพากษาก็พอจะมองออกแล้วเช่นกัน

“มีแค่นี้ใช่ไหมคะ”

เฟรย์เขียนอะไรบางอย่างลงไปในเอกสารพลางเอ่ยถาม ไม่สิ มันฟังดูเป็นคำถามก็จริงแต่ก็ใกล้เคียงกับการยืนยันอยู่ในที ยืนยันว่าคำให้การของมิเอลไม่มีค่าพอให้เธอฟังแล้วอย่างไรล่ะ

สายตาคมกริบที่พุ่งตรงมายังตัวเองทำให้มิเอลต้องกลั้นหายใจ มันจะมาจบลงอย่างนี้ไม่ได้ ตอนจบที่เธอต้องถูกตราหน้าว่าเป็นนางร้ายและได้รับโทษสถานหนักอย่างนั้นหรือ! จุดจบแบบนี้มันควรจะเป็นของนางร้ายที่แท้จริงอย่างอาเรียสิ นางผู้หญิงเลวทราม ต่ำช้า และโสมมคนนั้น!

‘ใคร ใครก็ได้ช่วยฉันที!’

มิเอลที่พยายามร้องขอความช่วยเหลือหันไปมองพี่ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ แต่เขากลับเอาแต่ก้มมองพื้นด้วยรู้ดีว่ามิเอลไม่มีโอกาสจะรอดชีวิตอีกแล้ว

อย่างไรเสียท่านเคานต์ก็อยู่ในสภาพหมดสติ เขาซึ่งได้รับสิทธิให้ทำหน้าที่แทนท่านเคานต์จึงมีอำนาจอยู่ในมือต่างจากเมื่อก่อน ดังนั้นบางทีเขาอาจกำลังคิดว่าน้องสาวของตนอาจได้รับโทษมากกว่าอาเรียผู้ขโมยหัวใจเขาไป

เขาซึ่งยังเป็นผู้รักษาการแทนทำได้เพียงปาดเหงื่อที่ชุ่มอยู่เต็มหน้าผากออกไปเพราะตนไม่มีข้อโต้แย้งใดที่จะมาช่วยน้องสาวผู้พูดจาไร้สาระของตนได้เลย บางทีเขาอาจกำลังเสียดายที่ต้องมารับหน้าที่นี้ก็เป็นได้ ดังนั้นตอนนี้จึงดูเหมือนว่าเขาไม่ได้เข้าข้างมิเอลอีกต่อไปแล้ว

นอกจากนั้นแล้ว ทั้งเหล่าเลดี้ทั้งหลายที่เคยกล่าวคำประจบประแจงสอพลอกับเธอและเลดี้มีเดียกับเลดี้เวนดี้ซึ่งมาเป็นพยานให้ยังพากันหลบตามิเอลอีกต่างหาก

“ระ… เรื่องนั้น…!”

มิเอลพูดตะกุกตะกักมือสั่นระริก น้ำตาหยดใสคลอปริ่มอยู่ในประกายตาสีเขียวกระจ่าง ริมฝีปากสั่นไหวเมื่อเธอพยายามจะหาข้อแก้ตัว

เธอหันกลับไปมองด้านหลังแต่ที่นั่งของไอซิสซึ่งจากไปแล้วก็มีแต่เพียงความเย็นเยียบ และการที่ไอซิสจากไปก็หมายความว่าออสการ์เองก็ทิ้งเธอแล้วเช่นกัน

‘ตอนนี้ท่านพ่อที่คอยปกป้องฉันก็ไม่อยู่ ทำยังไงดี…!’

สายตาของมิเอลที่กำลังตระหนกเพราะวิกฤตซึ่งจะทำให้เธอสูญเสียทุกอย่างจับจ้องไปยังฝั่งตรงข้ามที่อาเรียและอาซนั่งอยู่

พลันหน้าผากที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อกาฬก็กลับรุ่มร้อนเมื่อได้เห็นภาพสองแม่ลูกกำลังพึ่งพิงอาซอย่างเปิดเผย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้าชายที่จู่ๆ ก็โผล่มาพาอาเรียหนีหายไป

เจ้าชายผู้ซึ่งปรากฏตัวมากะทันหันแล้วพาอาเรียหายลับไปดังภาพหลอน เธอเลี่ยงไม่กล่าวถึงเขาเพราะไม่อาจลากเจ้าชายให้ลงมาเกี่ยวข้องกับเรื่องคราวนี้ได้แต่สถานการณ์ในตอนนี้ทำให้เธอไม่อาจเก็บงำไว้ได้อีกแล้ว

ฉะนั้นแม้จะรู้ดีแก่ใจว่าเอ่ยถึงเขาไม่ได้ ปากก็ยังเริ่มเอ่ยถึงเขาไปเองอยู่ดี

“จะ จะว่าไปแล้วดิฉันเห็นเจ้าชายที่คฤหาสน์ด้วยค่ะ…!”

“…ผมหรือ”

“เจ้าชาย เจ้าชายพยุงพี่อาเรียที่ล้มอยู่บนพื้นให้ลุกขึ้นแล้วก็หายตัวไปค่ะ! จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมากะทันหัน! เหมือนภาพหลอนเลยค่ะ!”

“เฮ้อ… ตอนนี้คงพูดไปเรื่อยแล้วสินะ”

ทันทีที่อาซแค่นหัวเราะราวกับคิดว่ามันไร้สาระ มิเอลก็หันไปถามความเห็นจากเลดี้ทั้งสองซึ่งเป็นพยาน

“ชะ ใช่ไหมล่ะคะ เลดี้มีเดีย เลดี้เวนดี้”

ภาพของเธอที่น้ำตากำลังหลั่งรินลงมาเป็นสายเพราะเลือกเดินบนเส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับนั้นช่างน่าแปลกเหลือเกิน

“…คะ!”

พวกเธอทั้งสองไม่มีทางตอบแบบนั้นแน่ เพราะคงไม่มีคนโง่หน้าไหนบนโลกยอมกลับไปขึ้นเรือที่อับปางไปแล้วหรอก แล้วไหนยังจะบอกว่าปรากฏตัวมาเหมือนภาพหลอนอีกอย่างนั้นหรือ นี่มันเรื่องพิลึกกึกกืออะไรกัน

พวกเธอจึงพากันส่ายหน้าดิก นั่นทำให้มิเอลกรีดร้องแล้วสะอื้นไห้ออกมาทันที ร่างของเธอทรุดลงอยู่ใต้เก้าอี้เป็นเวลานานแล้ว

แต่กลับไม่มีใครเข้าไปช่วยพยุงเธอเลยสักคน สภาพของมิเอลนับว่าน่าแปลกมากทีเดียว มิหนำซ้ำเธอยังกลัวว่าจะได้รับโทษจากเจ้าชายข้อหาที่บังอาจดึงพระองค์เข้าไปเกี่ยวข้องอีกด้วย

“ทำไม ทำไม…! ทำไมถึงไม่เชื่อคำพูดดิฉันกันบ้างเลย…! ดิฉันเห็นจริงๆ นะคะ เห็นจริงๆ… ได้โปรดเถอะ ใครก็ได้…!”

อาซเดาะลิ้นเพราะเสียงร้องไห้ที่ดังก้องไปทั่วทั้งชั้นศาลก่อนจะหันไปเรียกร้องกับเฟรย์เกี่ยวกับอาการทางจิตของมิเอล

“…อาการทางจิตหรือคะ”

“ผมว่าเธอน่าจะสติวิปลาสไปแล้วจริงๆ ครับ เพราะไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถพูดอะไรไร้สาระแบบนั้นออกมาได้ ท่านดูสิครับ ดูสภาพของเธอตอนนี้สิ”

“…ก็แปลกจริงๆ นั่นละค่ะ”

คราวนี้อาเรียที่มีรอยแดงบริเวณรอบตาก็พูดกับเฟรย์ซึ่งเห็นด้วยกับอาซ

“…แล้วก็ดิฉันคิดว่าน่าจะต้องตรวจสอบอาการทางจิตของเลดี้คนอื่นที่อยู่ในคฤหาสน์ด้วยนะคะ ทั้งที่ดิฉันไม่ได้อยู่ที่นั่นจริงๆ แต่พวกเธอกลับเอาแต่พูดว่าเห็นดิฉัน อ้อ! จะว่าไปแล้ว…”

ความสนใจของผู้ฟังทุกคนต่างพุ่งตรงไปยังอาเรียที่เบิกตาโตราวกับเพิ่งนึกบางอย่างออก

“บางที… ดิฉันว่าไม่น่าใช่งานเลี้ยงน้ำชาแต่เป็นงานเลี้ยงอื่นน่ะค่ะ ต้องไม่ใช่แบบนั้นแน่เพราะดิฉันไม่มีความทรงจำแปลกๆ ที่อยู่ด้วยกันเป็นกลุ่มเลย… จากที่ได้ฟังมาดูเหมือนพวกเธอจะอยู่ที่คฤหาสน์กันจนดึก ดิฉันจึงว่ามันแปลกที่เลดี้ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะยังอยู่ต่อจนถึงดึกดื่นขนาดนั้นน่ะค่ะ…”

ขณะมองอาเรียที่กำลังพูดต่ออย่างระมัดระวังอยู่เงียบๆ นั้นอาซก็เอ่ยถึง ‘ยากดประสาท’ ขึ้นมา การเสาะหายากดประสาทไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก เพราะในหมู่ชนชั้นสูงบางคนก็แอบซื้อกันเป็นประจำอยู่แล้ว

จริงอยู่ที่การลงอาญาเข้มงวดพอจะทำให้ร่างกายและจิตใจอ่อนแรงอยู่แล้วแต่ก็ใช่ว่าจะจับพวกเขาได้โดยง่าย และตลอดเวลาที่ผ่านมาพระราชวงศ์ก็มีอำนาจต่ำเตี้ยเรี่ยดินจึงไม่เคยลองจับพวกเขาสักครั้ง

แต่หากเป็นตอนนี้ล่ะก็

สถานการณ์ในตอนนี้ต่างออกไปเพราะเขาได้กอบกู้อำนาจของราชวงศ์คืนมาได้โดยมีอาเรียอยู่บนหลัง ดังนั้นกับอีแค่ลงโทษหญิงสาวตัวเล็กๆ เขาย่อมมีอำนาจพอที่จำได้ด้วยคำสั่งไม่กี่คำ

เหมือนอย่างในตอนนี้

“เมื่อการพิจารณาคดีเสร็จสิ้นลงแล้ว เราขอสั่งให้มีการสอบสวนเรื่องนั้นก่อน”

ก่อนที่อาซจะทันได้พูดจบ บรรดาเลดี้จำนวนมากที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นต่างพากันแสดงท่าทีตกอกตกใจ บ้างก็กลั้นหายใจหรือไม่ก็ทำพัดหล่น บางคนในหมู่พวกเธอถึงกับส่งเสียงว่าตนไม่ได้ทำเช่นนั้น

“พระองค์! ดิฉันไม่ได้ดื่มจริงๆ นะคะ! หากหม่อมฉันดื่มยากดประสาทแล้วเลดี้มีเดียกับเลดี้เวนดี้ที่บอกว่าเห็นเลดี้อาเรียล่ะคะ!”

“ใช่ค่ะ! ดิฉันไม่เกี่ยวนะคะ! ดิฉันเห็นแค่ตอนที่เลดี้อาเรียเข้าไปในคฤหาสน์เท่านั้นเองค่ะ! เป็นเรื่องจริงมิใช่หรือคะ”

มีเดียกับเวนดี้ซึ่งถูกกล่าวหาว่าดื่มยากดประสาท

“พะ พอมาคิดดูดีๆ แล้วดิฉันก็ไม่น่าจะเห็นเลดี้นะคะ!”

“ดะ ดิฉันด้วยค่ะ! ดิฉันเห็นแค่แวบเดียวจริงๆ เพราะเป็นผมสีทอง…! เพราะอย่างนั้นดิฉันจึงเข้าใจผิดว่าเป็นเลดี้อาเรียน่ะค่ะ หากเลดี้บอกว่าไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์ก็คงจะเป็นคนอื่นค่ะ!”

“เข้าใจผิดเพราะผมสีทองหรือ”

“…คะ ค่ะ! ขะ เข้าใจผิดค่ะ!”

เมื่ออาซถามเวนดี้ก็พยักหน้าอย่างขะมักเขม้นก่อนจะตอบกลับไป

“หากเป็นคนอื่นที่ผมสีทองและอยู่ที่นั่น… ก็มีอยู่แค่คนเดียวเท่านั้น เป็นผมทองจริงๆ หรือ”

เมื่อตัวเองรอดพ้นจากสถานการณ์เวนดี้จึงเพิ่งรู้ตัวว่าตนได้ขายใครคนหนึ่งไป เจ้าตัวยกมือขึ้นปิดปากพร้อมกับกลั้นหายใจ เสียงร้องไห้ของมิเอลที่ดังระงมไปทั้งศาลก็หยุดลงเช่นเดียวกัน

มุมปากของอาเรียที่นั่งมองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ค่อยๆ ยกขึ้นมาโดยไม่มีใครเห็น นี่คือเหตุการณ์อันเยี่ยมยอดเกินกว่าที่เธอคาดไว้เสียอีก

……………………….

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์ อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่ ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…! “ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า” เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า! เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย! เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset