พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – ตอนที่ 125

“หมายความว่ามีคนที่ผมสีทองผลักท่านพ่อหรือคะ…!”

อาเรียถามกลับใบหน้าตกอกตกใจ ขอบตาแดงก่ำดูน่าเศร้าใจเหลือเกิน ทำให้เธอดูคล้ายกำลังเสียใจกับสถานการณ์ตอนนี้และกับพ่อของเธอ

“คะ…! ระ เรื่องนั้น…!”

เวนดี้ผู้ตกเป็นเป้าความสนใจเพราะปากพล่อยไม่คิดหน้าคิดหลังได้แต่ลังเลที่จะตอบ หากเธอบอกแค่มองผิดก็คงไม่เป็นไรแต่นี่ดันไปพูดถึงผมสีทองจึงต้องมาถูกซักไซ้โดยใช่เหตุ

“เลดี้เวนดี้…”

“บอกเราเถอะค่ะว่าเลดี้อะไร”

“คือว่า…”

เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ เพราะไม่มีหนทางอื่นใดอีกแล้ว ทุกสายตาจึงจับจ้องไปที่มิเอลเป็นตาเดียว

“…ปะ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วนี่คะ! ทำไมถึงมองดิฉันกันล่ะคะ!”

มิเอลหยุดร้องไห้แล้วเริ่มเถียงหน้านิ่วคิ้วขมวด

ซึ่งนี่คือสีหน้าที่ไม่มีใครเคยเห็นจากเธอ แม้จะไม่มีใครเอ่ยถึงเธอแต่เธอก็กำลังถูกต้อนให้กลายเป็นคนร้าย

หญิงชนชั้นสูงที่มีเรือนผมสีทองนั้นมีอยู่มากมาย แต่หญิงชั้นสูงซึ่งอยู่บนชั้น 3 ในเวลาที่ท่านเคานต์ถูกผลักตกบันไดมีเพียงแค่มิเอล

มิเอลพยายามปฏิเสธอย่างสุดชีวิต ถึงอย่างนั้นสายตาที่จ้องมองมาก็ยังไม่ยอมผละจากไปจนเธอต้องขึ้นเสียงสูง

“อย่าพูดอะไรที่เป็นไปไม่ได้สิคะ! ทุกคนก็เห็นพี่อาเรียไม่ใช่หรือคะ!”

“มิเอล…”

แต่เคนซึ่งรู้ความจริงทุกอย่างดีว่าคนร้ายตัวจริงคือมิเอลได้แต่หลับตาเงียบๆ แล้วหลุบตาลงต่ำ ทั้งสภาพการณ์และหลักฐาน ทุกอย่างต่างชี้ว่าน้องสาวของเขาคือคนร้าย ดังนั้นเขาจึงไม่อาจพูดอะไรได้อีก

ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาพูดอะไรออกไปโดยไม่ไตร่ตรองให้ดีก่อน เขาก็อาจโดนโทษเช่นมิเอล เขาจะบังอาจเปิดปากพูดออกไปได้อย่างไรในเมื่อเขาก็เห็นอยู่กับตาว่าองค์รัชทายาทตัดสินใจจะไล่ต้อนมิเอลให้จนตรอกด้วยทรงพิโรธที่เธอพยายามจะใส่ร้ายอาเรีย

“แล้วเห็นหน้าหรือเปล่าคะ”

ทันทีที่เฟรย์ถาม เวนดี้ที่คอยเหลือบมองมิเอลอยู่ก็ส่ายหน้าดิก อย่างไรเสียต่อให้เธอไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่านี้ทุกคนก็พอจะเดาตัวคนร้ายได้แล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องผลักเธอให้ย่ำแย่ลงไปกว่านี้ ถึงอย่างนั้นความผิดก็หาได้เลือนหายไป

“เข้าใจแล้วค่ะ สุดท้ายแล้วก็เป็นไปได้ว่าเลดี้ได้ใส่ความเลดี้อาเรียเพราะผมสีทองกับเงารางๆ สินะคะ เพราะจากคำให้การครั้งแรกของเลดี้ได้บอกว่าเลดี้เห็นเลดี้อาเรียวิ่งลงบันไดมาอย่างชัดเจนนี่คะ”

“…เรื่องนั้น…”

โทษของการให้การเท็จนั้นหนักหนาเอาการทีเดียว หากเป็นความผิดพลาดก็ว่าไปอย่าง แต่ในกรณีที่รู้ทั้งรู้แต่ก็ยังพูดปดแล้วถูกจับเข้าคุกเข้าตะรางก็มีให้เห็นอยู่ถมไป เพราะคำให้การคือสิ่งที่มีผลกับการพิจารณาคดีมากที่สุด

ในคดีที่ไม่หนักมากก็เช่นกัน แต่นี่ถึงกับให้การเท็จในคดีข้อพยายามฆ่าที่สามารถทำลายชีวิตของคนคนหนึ่งให้ป่นปี้ได้เชียวหรือ แม้จะให้การตามความเป็นจริงในภายหลังแต่ก็ถูกตัดสินชี้ขาดไปแล้วว่ามีเจตนาร้าย ดังนั้นจึงต้องรับโทษสถานหนักอย่างเลี่ยงไม่ได้

หากเป็นคำให้การเท็จด้วยสถานการณ์ที่ไม่อาจเลี่ยงก็ถือเป็นอีกเรื่อง มีเดียซึ่งนั่งอยู่ข้างเวนดี้ผู้กำลังสับสนตัวสั่นงันงกเพราะความหวาดกลัว ก่อนที่จู่ๆ จะลุกพรวดขึ้นมาตะโกนเสียงดัง

“คะ ความจริงแล้ว…! พวกเราไม่ได้อยากพูดแบบนั้นค่ะ!”

มีเดียพูดเช่นนั้นขณะกำลังหวาดกลัว

นั่นทำให้ใบหน้าของมิเอลเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ดูราวกับเธอจะไม่ปล่อยมีเดียไปแน่หากยังพูดต่ออีกแม้เพียงคำเดียว

เมื่อเฟรย์ถามผ่านทางสายตาว่าที่พูดมาหมายความว่าอย่างไร มีเดียก็เหลือบมองมิเอลและลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนจะพูดต่อ

“คือ… คือว่าเลดี้มิเอลสั่งให้ดิฉันพูดแบบนั้น เพราะฉะนั้นแล้วดิฉันโดนบังคับ…!”

“หมายความว่ายังไงคะ!”

มิเอลลุกพรวดขึ้นและตะโกนสั่งไม่ให้มีเดียพูดอะไรไร้สาระ มีเดียคู้ตัวตัวสั่นงันงก เวนดี้เองก็เริ่มปาดน้ำตาด้วยความกลัวอยู่ข้างๆ มีเดียเช่นกัน

อาเรียตกใจไม่คิดว่าทั้งสองจะทรยศมิเอลจนต้องเอามือปิดปาก ทางด้านเคาน์ติสนั้นก็ตาเหลือกขึ้นข้างบนราวกับจะเป็นลม

มิเอลผู้แสนดีดังนางฟ้านางสวรรค์ทำเรื่องน่ากลัวนี้อย่างนั้นหรือ!

‘บนโลกนี้ยังมีเรื่องอะไรเหลวไหลไปมากกว่านี้อีกหรือ’

ไม่สิ ไม่มีแน่นอน มิเอลสร้างกับดักขึ้นมาแล้วลากคนอื่นให้เข้ามาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่ในความเป็นจริงแล้วกับดักนั้นกลับกลายมาเป็นใบมีดที่หันเข้าหาเธอ มิหนำซ้ำผู้สมรู้ร่วมคิดยังมาหักหลังเธออีก

นอกจากนั้นกับดักที่สร้างขึ้นมาเพื่อลงทัณฑ์นางมารร้ายกลับทำให้เธอกลายมาเป็นนางร้ายเสียเอง อาเรียแทบจะกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่เมื่อได้เห็นมิเอลเผยธาตุแท้ทั้งยังพยายามดิ้นรนอย่างน่าเกลียดเกินจะพรรณนา

“ดิฉันบอกให้พูดแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไรคะ! ดิฉันแค่ถามว่าเห็นหรือเปล่าแล้วทั้งสองคนก็ตอบว่าเห็นไม่ใช่หรือคะ! เลดี้ท่านอื่นๆ ก็เห็นใช่ไหมคะ”

จุดนี้คือความจริงหาใช่เรื่องโกหก เลดี้หลายคนจึงพากันพยักหน้าตอบโดยอัตโนมัติ แต่แล้วพวกเธอก็เปลี่ยนเป็นสะดุ้งแล้วก้มหน้างุดเพราะกลัวจะติดร่างแหว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปด้วย

‘ช่างน่าขันที่มีความคิดแบบนี้แต่… จะว่าไปมิเอลนี่ก็เป็นผู้หญิงที่น่าสงสารเหมือนกันนะ’

เธอคงจะคิดว่าตัวเองคือสตรีชั้นสูงผู้โดดเด่นและสง่างามที่สุดในจักรวรรดิ แต่พออาเรียได้มาเห็นพวกเธอในตอนนี้แล้ว แทบจะนึกไม่ออกเลยว่าพวกเธอเหล่านี้เคยคุยเล่นหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนิทสนมเมื่อก่อนหน้านี้

แล้วไหนล่ะความสัมพันธ์ที่มิเอลได้สั่งสมมาในขณะได้รับความเคารพยำเกรงในฐานะบุตรีผู้สง่างามแห่งตระกูลท่านเคานต์ที่พรั่งพร้อมด้วยอำนาจและทรัพย์สมบัติมากที่สุดในจักรวรรดิและว่าที่ดัชเชสในอนาคต

อาเรียหันหน้าไปอีกทางขณะคิดว่านี่ช่างเป็นชีวิตที่น่าขัน ณ สุดปลายสายตาของเธอคือซาร่า ซึ่งอยู่ในอ้อมกอดของมาร์ควิสวินเซนต์และมีสีหน้าตกใจจนเหมือนจะเป็นลมเพราะสถานการณ์อันน่าอกสั่นขวัญแขวนตรงหน้า

‘หากฉันทำแบบนั้นลงไปจริงๆ เธอจะยังอยู่ข้างฉันจนถึงที่สุดหรือเปล่า’

เธอกำลังคิดแบบนั้นแต่แล้วก็ได้สบตากับซาร่าซึ่งมองมาทางนี้พอดี ในแววตาที่กำลังฉายแววกังวลนั้นมีความรักให้อาเรียอยู่เต็มเปี่ยม

นั่นสินะ ภาพนั้นทำให้เธอคิดได้ว่าหากเป็นซาร่าละก็ไม่มีทางจะหักหลังเธออย่างแน่นอน และยังจะอยู่เคียงข้างเธอจนถึงที่สุดแม้ว่าเธอจะทำสิ่งชั่วร้ายใดๆ ลงไปก็ตาม ซาร่าและอาซคือสิ่งที่มีค่าที่สุดที่เธอได้รับหลังจากย้อนเวลากลับมา

“เลดี้มีเดีย! เลดี้โกหกแบบนั้นออกไปได้ยังไงคะ! ถ้าไม่เห็นมาตั้งแต่แรกก็ไม่ควรพูดแบบนั้นสิคะ!”

“เรื่องนั้น…! ก็เลดี้ถามทั้งที่กดดันดิฉันมากน่ะสิ…!”

“นั่นเรียกว่าคำแก้ตัวหรือคะ ศาลที่เคารพ ดิฉันไม่ได้รับความเป็นธรรมจริงๆ ค่ะ! ดิฉันไม่เคยสั่งให้เลดี้ทั้งสองพูดแบบนั้นและพวกเธอต่างก็ให้การว่าเห็นพี่อาเรียเองทั้งนั้นค่ะ! แล้วก็… แล้วก็พี่อาเรียอยู่ในที่เกิดเหตุจริงๆ นะคะ!”

มิเอลตะโกนออกมาด้วยแรงเฮือกสุดท้าย เธอดูท่าจะเสียสติไปแล้วเพราะความตกใจอย่างสุดขีด

เฟรย์ต้องกุมขมับและชักสีหน้าอยู่หลายรอบจากสภาพของชั้นศาลที่โกลาหลวุ่นวายไปหมด ก่อนจะสั่งให้ทุกคนอยู่ในความสงบ

“…วุ่นวายเสียจนไม่อาจคิดว่าเป็นการพิจารณาคดีของชนชั้นสูงแล้วนะคะ ดิฉันปวดหัวไปหมดแล้วค่ะ”

ทุกคนต่างก็เห็นด้วย แบบนี้จะยังมีใครหน้าไหนมองว่าพวกเธอคือสตรีชั้นสูงผู้เลิศเลอและงามสง่าอีกเล่า ผู้ที่ได้พบเห็นต่างตกตะลึงพรึงเพริดกับหน้าตาอัปลักษณ์สกปรกโสมมเหมือนต่อสู้อยู่ในโคลนตมนั้น

“ดิฉันเข้าใจคำยืนยันของทุกท่านดีค่ะ ก่อนอื่น สิ่งที่แน่นอนที่สุดในตอนนี้คือเลดี้อาเรียไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์ในเวลาเกิดเหตุนะคะ เพราะทางเลดี้ได้ยื่นหลักฐานนี้มาให้ดิฉันค่ะ”

เฟรย์กล่าวขณะถือหลักฐานที่ได้รับมาให้ทุกคนดู

“และอีกเรื่องหนึ่ง คือแม้เลดี้มีเดียและเลดี้เวนดี้จะจำสิ่งที่ตนเห็นอย่างละเอียดไม่ได้แต่ก็ให้การโดยพยายามจะทำให้เลดี้อาเรียกลายเป็นคนร้ายและในท้ายที่สุดก็ได้เปลี่ยนคำให้การค่ะ ที่จริงดิฉันเองก็ยังสงสัยนะคะว่าพวกเลดี้เห็นกับตาจริงๆ หรือไม่”

มีเดียและเวนดี้สะดุ้งจนตัวสั่น จากนั้นก็เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นราวกับไม่หลงเหลือศักดิ์ศรีอะไรอีกต่อไปแล้ว

“และสุดท้ายคือประเด็นที่เลดี้มิเอลบอกว่าเธอเห็นเหตุการณ์ที่ท่านเคานต์แห่งโรสเซนต์ตกลงมาจากบันไดและรู้ว่าใครคือคนร้ายที่แท้จริงค่ะ แล้วจะมาทะเลาะกันเพื่ออะไรคะ ในเมื่อดิฉันสามารถสะสางได้ง่ายมากทีเดียว”

เมื่อถูกแจกแจงออกมาแบบนี้ก็แทบจะชัดเจนแล้วว่าคนร้ายคือใคร มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เห็นท่านเคานต์ตกลงมาจากบันได

มิเอลเองก็รู้เรื่องนั้นดี เธอมองเฟรย์อย่างเคียดแค้นโดยไม่คิดปิดบังก่อนจะเค้นเสียงพูดออกไป

“คนร้ายคือ… คือพี่อาเรียจริงๆ ค่ะ…”

“ก็ได้ค่ะ ดิฉันรับฟังคำให้การของเลดี้มามากพอแล้ว ดังนั้นดิฉันจะตรวจสอบหลักฐานที่เลดี้อาเรียยื่นมาว่าเป็นของจริงหรือไม่แล้วค่อยทำการพิพากษานะคะ ซึ่งหากหลักฐานนั้นเป็นของจริง… คนร้ายตัวจริงก็จะถูกเปิดเผยค่ะ”

เฟรย์พูดดังนั้นก่อนจะลุกขึ้นยืน สายตาที่เธอใช้มองมิเอลเย็นยะเยือกราวกับเธอได้ทำการพิพากษาไปแล้ว

“อ้อ และการพิพากษาจะมีอีกครั้งที่นี่ในวันพรุ่งนี้เวลาเดิมนะคะ ขออภัยที่ต้องพูดเช่นนี้ แต่ดิฉันจะส่งทหารองครักษ์ไปอยู่กับเลดี้ทุกคนจนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาคดีค่ะ นี่คือมาตรการที่ดิฉันจำเป็นต้องทำอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะยังไม่รู้คนร้ายที่แท้จริง ได้โปรดอภัยด้วยค่ะ”

เฟรย์กล่าวเช่นนั้น แต่ก่อนที่เธอจะออกจากศาลไปเฟรย์ก็ได้หันหลังกลับมามอง ปลายสุดของสายตาเธอคือภาพของอาเรียที่กำลังจับมือเคาน์ติสไว้แน่นพลางเอ่ยปลอบโยน

และ

“มิเอล!”

ภาพของมิเอลผู้ซึ่งร้องไห้เป็นเผาเต่าและส่งเสียงตะโกนคอเป็นเอ็นตลอดการพิจารณาคดีเป็นล้มสิ้นสติล้มลงไปกองที่พื้น เคนรีบเข้าไปช่วยประคอง จากนั้นจึงได้ยินเสียงร้องเรียกหมอตามมา

หากแต่ครานี้ผู้คนกลับเมินเฉยต่อเสียงร้องขอให้เรียกหมอต่างจากตอนคดีของเอ็มม่า และในที่สุดมิเอลก็ถูกพาขึ้นรถม้าโดยบรรดาคนรับใช้ในคฤหาสน์ท่านเคานต์

มีทหารองครักษ์ตามหลังเคนและมิเอลไปจำนวนห้านาย สีหน้าของเหล่าทหารแสดงท่าทางตั้งใจแน่วแน่ที่จะหาร่องรอยหลักฐานไม่ให้คลาดสายตามากกว่าจะเป็นห่วงมิเอล

“อาเรีย!”

“…ซาร่า”

หลังการพิจารณาคดี ซาร่าก็วิ่งมาหาอาเรียแล้วดึงเธอไปกอดไว้แน่นก่อนจะร้องไห้ออกมา แม้ภายนอกจะดูเป็นผู้ใหญ่แต่อย่างไรก็ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซาร่าคงคิดว่าอาเรียคงจะเจ็บปวดใจเพราะความตระหนกที่ได้รับ

อาเรียซบหน้าลงกับไหล่ซาร่าพลางกอดเอวเธอไว้แน่น เหมือนในวันแรกที่ได้เจอกัน ดังเช่นในวันที่เธอยังเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์

ซาร่าร้องห่มร้องไห้อยู่พักใหญ่ราวกับว่าตลิ่งที่ขวางกั้นความรู้สึกของเธอไว้ได้พังทลายลง เวลาอยู่กับซาร่าอีกฝ่ายก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอแต่อาเรียก็ยังไม่ชินอยู่ดี

ในอดีต อาเรียเคยเอาแต่หัวเราะเยาะการกระทำเหล่านี้ เธอไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการว่าจะมีใครคิดถึงเธอมากมายถึงเพียงนี้ เพราะกระทั่งคนเป็นแม่ยังไม่เคยทำเช่นนั้นเลย

ด้วยเหตุนี้เธอจึงเคยเอาแต่หลงมัวเมาไปกับความบันเทิงเริงรมย์และคิดว่าการบงการเหล่าคนที่คอยยกย่องสรรเสริญความงดงามของเธอคือทุกสิ่ง

ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกแล้ว เธอทั้งสบายใจแต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกเมื่อมีคนที่พร้อมจะทำเพื่อคนอื่นมากกว่าตัวเอง อาเรียเริ่มคิดถึงพวกเขาเทียบเท่ากับที่พวกเขาต่างคิดถึงและเป็นห่วงอาเรีย

“ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ซาร่า ฉันไม่เป็นไร และฉันก็เป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยค่ะ”

“ทุกคนบนโลกต่างก็รู้ดีค่ะว่าเลดี้อาเรียเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะอย่างนั้นดิฉันถึงอยากให้ความจริงถูกเปิดเผยและให้ชื่อเสียงที่หม่นมัวหายไปเร็วๆ ค่ะ”

ซาร่าปลอบประโลมอาเรียอยู่เป็นเวลานานแม้ว่าทุกคนที่อยู่ในศาลจะกลับกันไปหมดแล้ว ก่อนจะกลับไปทั้งที่ยังกังวลอยู่

อาเรียกลับไปคฤหาสน์โดยมีอาซไปส่งพร้อมกับทหารองครักษ์ห้านายเช่นเดียวกับมิเอล

“ตายจริง เลดี้ ดูซูบซีดลงไปเยอะเชียวค่ะ…!”

“เลดี้จะอาบน้ำก่อนไหมคะ เลดี้คงจะเหนื่อยเพราะต้องเดินทางเป็นเวลานานแต่กลับไม่ได้พักเลย…”

บรรดาคนรับใช้ที่อาเรียคิดว่าพวกเขาน่าจะเริ่มถามด้วยความสงสัยเพราะไม่ได้ไปรับรู้เหตุการณ์ในการพิจารณาคดี พากันมาดูแลปรนนิบัติเธอด้วยความจริงใจ แน่นอนว่าบางคนในหมู่พวกเขาก็มีบ้างที่คิดว่าอาเรียอาจเป็นคนร้ายได้ แต่ด้วยสิ่งที่อาเรียทำตลอดมาทำให้แม้แต่คนที่คิดเช่นนั้นก็ยังเป็นห่วงเธออยู่ดี

เมื่อคนเราตกอยู่ในวิกฤติหรือถูกใส่ร้ายก็เป็นเรื่องปกติที่จะสูญเสียบุคคลรอบตัวไป แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทั้งที่อาเรียกำลังถูกใส่ความด้วยเรื่องร้ายแรงแต่รอบตัวกลับมีคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเธออยู่เต็มไปหมด

แม้พวกเขาจะถูกเธอหลอกด้วยคำพูดเสแสร้งและของขวัญหยาบๆ ก็ตาม

นี่ทำให้อาเรียที่ใจหนึ่งก็รู้สึกแปลกยอมเปิดเผยความรู้สึกของเธอออกไปด้วยใจจริง

“…ขอบคุณนะ ทุกคนเลย”

“เลดี้…!”

เธอทิ้งเหล่าคนรับใช้ที่ต่างก็น้ำตาคลอด้วยความซาบซึ้งใจไว้เบื้องหลังก่อนไปดูอาการของท่านเคานต์ เขายังคงหลับใหลใบหน้าซีดเผือด ไม่มีท่าทีว่าจะตื่นขึ้นมาจริงๆ

หากเขาฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์แล้วจำได้ว่ามิเอลเป็นคนผลักตนลงไปมันจะน่ายินดีเพียงใดกันนะ เขาจะไม่บ้าไปเลยหรือ หากแต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้ตระกูลเคานต์ล่มจมได้ เพราะอย่างนั้นเธอจึงจับมือของเขาไว้พลางขอให้เขาฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว แต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

‘แล้วทำไมท่านพ่อถึงมอบความรักให้มิเอลนักล่ะคะ’

ให้เด็กโง่ที่ไม่รู้จักการตอบแทนคนนั้น มิหนำซ้ำยังคิดจะหาผลประโยชน์จากตนอีก

หากเขาเปลี่ยนท่าทีแม้เพียงเล็กน้อย เธอก็จะหมุนนาฬิกาทรายกลับไปแม้ตัวเธอจะต้องถูกทิ้งไว้กลางป่าเพียงลำพังหรือแม้ว่าเธอจะคำนวณเวลาไม่ได้ก็ตาม เพราะเธอเองก็เป็นห่วงท่านเคานต์ที่ตกลงมาจากบันได

แต่ในตอนนี้อาเรียไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นอีกต่อไปแล้ว

เพราะทั้งหมดนี้คือกรรมที่ท่านเคานต์ต้องชดใช้ คือบาปที่เขาไล่ต้อนเด็กที่แม้จะต่ำต้อยแต่ก็ไร้เดียงสาไปจนสุดริมหน้าผา และเลี้ยงดูมิเอลให้รู้จักสนใจแต่ตัวเองจนผลักพ่อบังเกิดเกล้าตกบันไดได้อย่างไรล่ะ

………………………………………..

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์ อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่ ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…! “ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า” เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า! เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย! เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset