พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – ตอนที่ 132

[ฉันจะส่งสาวใช้ไปขอให้แอบออกมาให้ได้ เราจะออกเดินทางไปโครอากันในทันที ดังนั้นนี่เป็นโอกาสเดียวเท่านั้นค่ะ]

ระหว่างที่เธอกำลังอ่านเนื้อความในจดหมายซ้ำๆ และท่องจำมันอยู่นั้นสาวใช้ก็เอาอาหารเข้ามาให้พอดี

สาวใช้ที่ว่ามีกระอยู่เต็มใบหน้าทำให้เธอจำหน้าได้ลำบากแต่เธอเป็นสาวใช้ที่มีนัยน์ตาสีเขียวพร้อมกับผมสีทอง

มิเอลลุกขึ้นมาต้อนรับสาวใช้ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนในคฤหาสน์หลังนี้อย่างยินดี

“ทานมื้อเย็นเถอะค่ะ”

“…อืม”

มิเอลเริ่มทานอาหารตามที่สาวใช้บอก เธอทำให้มีเสียงออกมาจากภาชนะที่ใส่อาหารเพราะกลัวว่าหากไม่มีเสียงอะไรดังออกไปเลย ด้านนอกจะสงสัยเอาได้

ระหว่างนั้นสาวใช้ซึ่งนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็หยิบเครื่องสำอางออกมาจากอ้อมแขนแล้วลงมือวาดกระลงบนใบหน้าของมิเอลจนเต็มและถอดเสื้อผ้าออกมาเปลี่ยนกับมิเอล

แม้ว่าหน้าตาจะต่างกันมากจนไม่อาจทำให้เหมือนกันได้โดยสมบูรณ์แบบ แต่ด้วยใบหน้าของสาวใช้ที่มีกระอยู่เต็มใบหน้าและรูปร่างกับความสูงที่คล้ายมิเอล ดังนั้นหากไม่มองให้ดีๆ ก็ยากที่จะแยกออก

[รีบออกไปด้านนอกเถอะค่ะ รถม้ารออยู่ตรงทางเข้าของคฤหาสน์นะคะ]

เธออ่านข้อความที่สาวใช้เขียนไว้บนฝ่ามือแล้วซ่อนความยินดีที่แทบจะระเบิดออกมาเอาไว้และรีบหยิบถ้วยชามทันที เมื่อคิดได้ว่าในที่สุดเธอก็จะได้ออกไปจากคฤหาสน์นรกหลังนี้เสียที น้ำตาก็แทบจะไหลออกมา

จากนี้เธอจะเดินทางไปยังโครอาพร้อมไอซิสแล้วก่อการปฏิวัติ ซึ่งเธอขอให้คำมั่นว่าจะจัดการกับเจ้าชายหน้าโง่และนางผู้หญิงชั้นต่ำนั่นให้สิ้นซาก แต่ขณะที่มิเอลกำลังก้มหน้าเดินออกจากห้อง ทหารรักษาการณ์ที่อยู่หน้าประตูก็เรียกเธอไว้เสียก่อน

“เดี๋ยว”

เธอตัวแข็งทื่อหัวใจเต้นรัวเร็ว

มิเอลยืนนิ่งเหงื่อกาฬไหลซึมเพราะกลัวจะถูกจับได้ ทหารรักษาการณ์เว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถาม

“วันนี้ทานเสร็จเร็วกว่าปกตินะ”

“…ยะ อย่างนั้นหรือคะ ดิฉันเพียงแค่นำอาหารมาให้ตามคำสั่ง…”

มันควรจะเป็นเสียงที่สูงขึ้นมาเล็กน้อย มิเอลจึงพยายามทำเสียงให้สูงขึ้นเพื่อปกปิดเสียงเดิมของตัวเองแต่มันกลับออกมาเหมือนเสียงเด็กน้อยไม่มีผิด

เพราะอย่างนั้นมิเอลจึงได้คิดว่าตัวเองทำพลาดจึงกัดริมฝีปากตัวเองแน่น แต่ทหารรักษาการณ์ที่นิ่งคิดไปสักพักกลับพยักหน้าทั้งยังบอกว่าเข้าใจแล้ว

“อย่างนั้นหรือ ไปเถอะ ยังต้องไปเอาน้ำล้างหน้ามาอีกไม่ใช่หรือ”

“คะ เอ่อ ค่ะ…!”

ทันทีที่ได้รับอนุญาตเธอก็ลงไปชั้น 1 ทันที เคนกำลังเดินวนไปมาเป็นหนูติดจั่นพลางมองไปยังที่ไหนสักที่อย่างไม่สบายใจอยู่หน้าประตูคฤหาสน์

มิเอลจึงวางถาดอาหารเอาไว้บนพื้นแบบลวกๆ แล้วรีบวิ่งเข้าไปหาเขาทันที

“ท่านพี่ …ไม่สิ คะ ลอร์ด”

เธอกำลังจะเรียกเคนเหมือนอย่างที่เคยเรียกแต่แล้วก็มองไปรอบๆ ก่อนจะแก้คำ ในโถงทางเดินตอนนี้ว่างเปล่า เธอเพียงแค่แก้เผื่อไว้เท่านั้น

“มาแล้วสินะ รถม้าจากตระกูลดยุกจอดรออยู่แล้ว”

ทันใดนั้นเคนที่ยังกังวลก็คว้าสองมือของมิเอลมากุมไว้

มิเอลดื้อด้านจนหัวชนฝาเขาจึงไม่เหลือทางเลือกอื่นใดนอกจากต้องช่วยเธอและอนุญาตไป แต่ใจก็ยังเป็นห่วงน้องสาวที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็,ตัวอยู่ดี

“…พี่เตรียมเผื่อเอาไว้ น้องเอาไปด้วยแล้วหากมีเรื่องฉุกเฉินค่อยเอาออกมาใช้นะ”

กระเป๋าที่เคนยื่นมาให้เต็มไปด้วยอัญมณีล้ำค่า มิเอลรู้ดีว่าไอซิสทำอะไรเธอไม่ได้เพราะถูกขู่เรื่องจดหมายเอาไว้แล้ว แต่อย่างน้อยก็สบายใจกว่าการต้องออกจากคฤหาสน์ไปแบบไม่มีอะไรเลย

“ท่านพี่…”

เธอเคยแต่โมโหว่าเขาช่วยอะไรไม่ได้จึงรู้สึกแปลกใจที่เขามาส่งเธอเช่นนี้

มิเอลกอดเคนแน่นๆ ครั้งหนึ่งเพื่อแสดงความขอบคุณก่อนจะตรงไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่หน้าคฤหาสน์และรีบออกไปจากคฤหาสน์เคานต์ทันที

ไอซิสเป็นคนส่งมันมา รถม้าดูเหมือนจะมุ่งหน้าตรงไปยังตระกูลดยุกแต่แล้วกลับหักเลี้ยวและมาถึงยังกำแพงนอกนครหลวงแทน

มิเอลค่อยๆ ก้าวลงจากรถม้าแม้จะไม่สบายใจตามที่คนขับรถม้าบอก ทันใดนั้นรถม้าคันใหญ่และแข็งแรงอีกสองคันก็รอเธออยู่

คันหนึ่งสำหรับให้ไอซิสนั่งคนเดียว ส่วนอีกคันคงจะเป็นสำหรับบรรดาสาวใช้และสัมภาระต่างๆ

เมื่อมิเอลมาถึงไอซิสจึงลงมาจากรถม้าแล้วเข้ามาต้อนรับเธออย่างอ่อนหวาน

“ดัชเชสไอซิส…!”

“เลดี้มิเอล กำลังรออยู่เลย คงลำบากแย่สินะ”

“ไม่เลยค่ะ ลำบากอะไรกันล่ะคะ! ในเมื่อดัชเชสไอซิสช่วยดิฉันเสียขนาดนี้!”

ต่างคนต่างก็กล้ำกลืนสิ่งที่ตัวเองอยากถามอีกฝ่ายในฐานะคนขู่และคนถูกขู่ลงคอแล้วแย้มยิ้มเสแสร้งให้กัน

ไอซิสโอบไหล่มิเอลแล้วพาไปยังรถม้าของตัวเอง

“กำลังจะออกเดินทางพอดีเชียวล่ะ เรายังไม่ได้จัดงานอภิเษกอย่างเป็นทางการจึงต้องไปเงียบๆ น่ะ เลดี้ทราบใช่ไหมคะ”

“แน่นอนค่ะ”

‘ไม่ใช่ว่าเราพูดเรื่องนี้กันไปหลายรอบแล้วหรอกหรือ’

เมื่อขึ้นมาบนรถม้าคันใหม่ มิเอลก็เริ่มรู้สึกง่วงเพราะถูกล้อมรอบด้วยหมอนอิงนุ่มนิ่มที่สามารถทำให้คนผล็อยหลับไปได้ คงเพราะเธอเอาแต่กังวลเรื่องการหนีมาทั้งวัน

ไอซิสเอ่ยถามขณะซ่อนสีหน้าเย็นชาเมื่อมองท่าทีแบบนั้นของมิเอล

“จดหมายน่ะ… เลดี้เอามาด้วยหรือเปล่า”

“ไม่ค่ะ ดิฉันเอาของสำคัญแบบนั้นมาไม่ได้หรอกค่ะ ดิฉันซ่อนไว้เพราะกลัวว่าจะถูกจับได้น่ะค่ะ ท่านพี่เองก็รับปากว่าจะช่วยจัดการให้เช่นกันค่ะ”

ดังนั้นเมื่อเธอเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายจะบอกว่าพวกเขาคงไม่มีทางหาจดหมายเหล่านั้นเธอทั้งรถม้าก็พลันเงียบกริบ

จดหมายพวกนั้นคือสิ่งที่ช่วยเธอให้พ้นจากนรก และจะช่วยชีวิตและปกป้องเธอต่อไปในอนาคตด้วย

แต่เธอไม่มีทางบอกสิ่งเหล่านี้ออกไปแน่ ช่างเป็นคำถามที่โง่เขลาเสียจริง

จริงอยู่ที่เธอยังไม่แน่ใจว่าจดหมายพวกนั้นจะมาเป็นหลักฐานให้เธอหลังการปฏิวัติได้หรือไม่ แต่อย่างน้อยมันก็ยังเป็นตัวรับประกันอิสรภาพของเธอได้จนกว่าจะถึงตอนนั้น

‘เพราะฉะนั้น ฉันจะแต่งงานกับท่านออสการ์ก่อนหน้านั้นและสร้างเกราะกำบังอันใหม่ให้ตัวเอง’

คิดได้ดังนั้นมิเอลก็ยิ้มออกมา ไอซิสยิ้มตามทันที

“ก็ได้ อย่างนี้นี่เองนะ เลดี้ทำได้ดีมากแล้วล่ะ จากนี้ก็ระวังตัวอย่าให้เป็นที่สะดุดตานะ”

เช่นนั้น มิเอลผู้หาอิสระให้ตัวเองได้ในที่สุดก็ออกเดินทางจากจักรวรรดิมุ่งหน้าสู่ราชอาณาจักรโครอาไปพร้อมกับไอซิส

แม้ว่าจะเป็นรถม้าของสตรีสองนางแต่ทั้งคณะก็ทุ่งหน้าสู่โครอาโดยไม่หยุดพักเว้นเสียแต่จะหยุดทานข้าวหรือเปลี่ยนม้าซึ่งเป็นเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น นั่นก็เพราะพวกเธอทั้งสองไม่ได้อยู่ในการเดินทางพักผ่อนหรือท่องเที่ยวแต่อย่างใด

“จากนี้ไปเลดี้จะกลายเป็นสาวใช้ของฉันชื่อ ‘เอล’ นะ”

ทันทีที่ข้ามผ่านเข้ามาในพรมแดนโครอา มิเอลก็พยักหน้ารับคำขอของไอซิส พร้อมกับรับเอกสารประจำตัวใหม่ด้วย นี่คือผลจากการที่เธอไม่อาจพูดออกไปได้ว่าตัวเองคือนักโทษหนีคดี

เพราะตอนนี้ข่าวลือเรื่องมิเอลหนีคดีนั้นดังไปถึงบ้านเมืองอื่นเรียบร้อยแล้ว ที่ผ่านมาเธอขึ้นรถม้าของไอซิสและออกเดินทางด้วยความรวดเร็วจึงไม่ถูกตรวจค้นแต่ต่อจากนี้ไปเธอต้องระวังตัวให้มากกว่าเดิม

“อ้อ เดี๋ยวก่อน จะว่าไปแล้วดิฉันลืมบอกไปเรื่องหนึ่งค่ะ”

ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าที่เคร่งเครียดของมิเอลทำให้ไอซิสเลิกคิ้วแล้วเร่งให้เธอรีบพูด

“ดัชเชสเองก็อาจจะทราบอยู่แล้ว แต่ตอนที่ท่านพ่อถูกผลักตกบันไดผู้หญิงคนนั้นอยู่ด้วยจริงๆ นะคะ และอีกเรื่องคือดิฉันไม่ได้ใช้ยากดประสาทก่อนจะถึงงานสำคัญจริงๆ เว้นเสียแต่ว่าดิฉันจะบ้าไปแล้ว”

ไอซิสพยักหน้ารับคำพูดของมิเอลอยู่เงียบๆ ไอซิสเองก็ดูเหมือนจะคิดว่ามิเอลไม่มีทางทำลายโอกาสเดียวที่จะทำให้เธอได้เกี่ยวดองกับออสการ์ที่เธอรักนักรักหนาด้วยคำโกหกและยากดประสาทเป็นแน่

เพราะแบบนี้มิเอลจึงได้รับความมั่นใจจนกล้าเปิดเผยสิ่งที่เธอคาดเดาอยู่คนเดียวมาตลอดให้ไอซิสฟังเพื่อหาโอกาสอื่นให้ได้อีกครั้ง

“วันนั้น… เจ้าชายทรงโผล่มาจริงๆ ค่ะ จู่ๆ ก็ทรงปรากฏพระองค์มาราวกับหายตัวได้ จากนั้นก็หายไปต่อหน้าต่อตาดิฉันพร้อมผู้หญิงคนนั้นเลยค่ะ เหมือนว่าจะหายตัวไปอีกรอบ”

“…หมายความว่าอะไร หายตัวอะไรกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดระมัดระวังของมิเอลที่พูดเหมือนกำลังเล่าความลับบางอย่าง ไอซิสก็ขมวดคิ้วแล้วถามกลับ

“เพราะอย่างนั้นก็หมายความว่าเจ้าชายทรงใช้เวทมนตร์อย่างไรล่ะคะ!”

“…”

ไอซิสยิ่งขมวดคิ้วหนักเข้าไปอีกตรงข้ามกับมิเอลที่พูดราวกับมันเป็นความลับสุดยอด

ก่อนจะระเบิดหัวเราะตามมา

หัวเราะให้กับจินตนาการที่ไม่มีวันเป็นไปได้

“…ต้องขอโทษด้วยแต่ฉันคิดว่าฉันเข้าใจแล้วค่ะ ว่าเหตุใดเลดี้จึงถูกสงสัยเรื่องยากดประสาท”

“ดิฉันพูดจริงนะคะ…! หากเราสันนิษฐานว่าเจ้าชายใช้เวทมนตร์หายตัวไปที่อื่น ทุกอย่างก็จะเป็นเหตุเป็นผลกันพอดีเชียวล่ะค่ะ!”

“…นั่นสินะคะ”

พูดเหมือนเห็นด้วยแต่สีหน้ากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น บนใบหน้าของไอซิสที่เพิ่งได้ฟังเรื่องราวของมิเอลเต็มไปด้วยความสงสัย

มิเอลรู้ดีว่าไอซิสไม่เชื่อเธอจึงพยายามยืนกรานว่าเจ้าชายมีพลังวิเศษอยู่หลายครั้งหลายครา จนกระทั่งรถม้ามาถึงยังราชอาณาจักรโครอา

มิเอลยังคงยืนยันเรื่องพลังน่าเหลือเชื่อของอาซไม่ยอมหยุดอยู่อย่างนั้น จนไอซิสทนไม่ไหวต้องเอ่ยเตือนในที่สุด

“ก็ได้ ฉันเข้าใจที่เลดี้พยายามจะพูดแล้ว และฉันก็คิดว่าฝ่าบาทก็อาจจะมีพลังวิเศษที่ว่าจริงๆ ก็ได้”

“ดัชเชสไอซิส…!”

แต่ยังไม่ทันที่มิเอลจะได้ดีใจที่อีกฝ่ายพูดเหมือนเชื่อเธอ ไอซิสก็พูดสิ่งที่ตนยังพูดไม่จบออกมาเสียก่อน

“แต่หากเลดี้ยังอยากอยู่ตรงนั้นนานๆ อย่าพูดเรื่องอะไรที่มันพิสูจน์ไม่ได้จะดีกว่านะคะ ถ้าเลดี้ไม่อยากตกเป็นผู้ต้องสงสัยคดีใช้ยากดประสาทอีก เลดี้น่าจะทราบดีอยู่แล้วนี่คะว่าคำพูดลอยๆ ไม่ได้มีประโยชน์อะไร”

“…!”

มิเอลแข็งทื่อไปทั้งตัวเพราะน้ำเสียงที่พูดเหมือนเธอเป็นภาระ

‘ฉันพูดจริงนะ เจ้าชายมีพลังวิเศษจริงๆ นะ…!’

“จริงๆ นะ…”

หากไอซิสคิดจะวางแผนปฏิวัติเธอก็ควรต้องรู้เรื่องนี้เอาไว้ด้วย

ไม่อย่างนั้นจะเอาชนะคนที่หายตัวได้ได้อย่างไรกัน! นี่คือปัญหาที่จำเป็นต้องรู้เอาไว้ ไม่ใช่แค่เพื่อไอซิส แต่เพื่อแวดวงชนชั้นสูงทุกคนและมิเอลเองด้วย

ถึงอย่างนั้นสีหน้าของไอซิสก็เย็นชาเสียจนมิเอลไม่อาจพูดอะไรได้อีกและจำต้องเงียบต่อไป

ไม่นานรถม้าที่กำลังวิ่งอยู่ก็ลดความเร็วก่อนจะหยุดลงในที่สุด

“ถึงแล้วครับ”

และเสียงที่ดังมาจากด้านนอกก็ทำให้พวกเธอรู้ว่าได้มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

เมื่อมิเอลลองเปิดผ้าม่านที่ปิดหน้าต่างไว้แล้วมองออกไปอย่างระมัดระวังก็ได้พบกับปราสาทอันใหญ่โต

‘หรือว่า วังหลวงอย่างนั้นหรือ…!’

นี่ก็ดึกแล้วเธอจึงคิดว่าอาจต้องพักนอนที่ไหนสักที่แล้วค่อยเข้าวังในวันรุ่งขึ้นแต่นี่กลับตรงมาที่วังเลยอย่างนั้นหรือ

จะว่าไปไอซิสคือว่าที่จักรพรรดินีแห่งโครอา ดังนั้นตรงเข้าวังหลวงก็ถือว่าเหมาะสมแล้ว

ปราสาทของบ้านเมืองอื่นที่ได้พบอย่างกะทันหันทำให้มิเอลก้าวลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง เพราะมันเงียบมากเหลือเกินเมื่อเทียบกับขนาดอันใหญ่โตมโหฬารนั่น

มิเอลเดินตามหลังไอซิสเข้าไปพลางเหลือบตามองวังหลวงทำตัวเหมือนเป็นสาวใช้ของไอซิส ไม่นานคนกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาหากลุ่มของไอซิสราวกับรู้ข่าวมาก่อนแล้ว

“ดิฉันมาพบท่านโรฮัน โครอาค่ะ”

แม้จะอยู่ในระยะที่ไม่อาจมั่นใจในหน้าตาได้แต่ไอซิสก็รู้ว่าคนผู้นั้นคือโรฮัน โครอาผู้เป็นจักรพรรดิแห่งโครอาจึงกล่าวตามมารยาท อัศวินที่ตามหลังเธอมาต่างก็แสดงความเคารพและมิเอลเองก็รีบก้มตัวลงเช่นกัน

“ท่านมาเสียไกลคงจะเหนื่อยน่าดูนะครับ ดัชเชสไอซิส”

ไม่นานหลังจากนั้นจักรพรรดิแห่งโครอาก็เดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยต้อนรับไอซิสด้วยน้ำเสียงรักใคร่

‘ไม่คิดเลยว่าจะได้พบประมุขของประเทศหนึ่งได้ง่ายดายเช่นนี้…!’ ตอนนั้นเองมิเอลจึงเพิ่งได้รู้ว่าไอซิสเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมเพียงใด เธอแอบเงยหน้าขึ้นเหลือบมองจักรพรรดิแห่งโครอา

‘ยังเยาว์วัยเหลือเกิน’

เขายังดูเหมือนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าชายแห่งจักรวรรดิ ตอนที่ได้ยินว่าไอซิสจะแต่งงานกับจักรพรรดิของประเทศหนึ่งเธอคิดว่าจะเป็นจักรพรรดิวัยกลางคนเสียอีก ไม่คิดเลยว่าจะยังเป็นชายหนุ่มใบหน้าสมชายชาตรีเช่นนี้

‘ที่บอกว่าจักรพรรดิองค์ก่อนแห่งโครอาเสด็จสวรรคตอย่างกะทันหันเพราะโรคที่ไม่คาดคิดคงเป็นความจริง…’

นี่ทำให้เธอนึกถึงข่าวลือที่บอกว่าจักรพรรดิหนุ่มซึ่งเพิ่งบรรลุนิติภาวะขึ้นครองราชย์ต่อมา

นอกจากนั้นแล้วจักรพรรดิหนุ่มอย่างโรฮันยังเป็นหนุ่มรูปงามอย่างที่หาได้ยากอีกด้วย เขาให้ความรู้สึกว่ามีเลศนัยแปลกๆ แต่นั่นยิ่งทำให้เขาน่ามองเข้าไปอีก

โรฮันซึ่งกำลังพูดคุยกับไอซิสอยู่จ้องมองมาทางมิเอลราวกับรับรู้ถึงสายตาของเธอที่มองตนอยู่ กระบนหน้าถูกลบออกไปโดยไม่รู้ตัว เขาจึงได้เห็นใบหน้าเปล่าของมิเอลอย่างชัดเจน

มิเอลตกใจเพราะการสบตาอย่างไม่ทันตั้งตัวจนสะดุ้งแล้วรีบก้มหน้างุดไม่ให้เขาเห็นใบหน้าเธอ โรฮันหยิบเธอมาเป็นหัวข้อสนทนาราวกับสนใจปฏิกิริยาของเธอ

“ในโครอาแทบไม่มีใครมีผมสีทอง ผมล่ะประหลาดใจทุกครั้งที่ได้เห็นจริงๆ ครับ แล้วไหนจะนัยน์ตาสีเขียวอ่อนเหมือนใบหญ้านั่น… มันทำให้ผมนึกถึงใครอีกคนน่ะครับ เธอดูเหมือนนางฟ้าเลยล่ะครับ”

“…ในจักรวรรดิก็ไม่ใช่เรื่องปกติเช่นกันแต่มีมากกว่าโครอาแน่ค่ะ และมักจะเกิดขึ้นกับสามัญชนอยู่บ่อยๆ น่ะค่ะ”

ไอซิสรีบละล่ำละลักตอบด้วยความกังวลทันทีที่เขาให้ความสนใจกับมิเอลที่ยืนอยู่เฉยๆ โดยไม่ทันได้คิดถึงคำพูดของเขาที่บอกว่านึกถึงใครอีกคน

นั่นทำให้โรฮันเอ่ยถามชื่อเสียงเรียงนามของมิเอลด้วยสายตาสนอกสนใจ

“ชะ ชื่อเอลเจ้าค่ะ…”

“เอลหรือ… ชื่อนี้ช่างไม่เหมาะสมกับสาวงามเช่นนี้เอาเสียเลย”

“ขะ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ…”

มิเองหน้าแดงระเรื่อเพราะคำพูดชมเกินจริงที่มีให้เธออย่างต่อเนื่องพลางลอบมองสีหน้าของโรฮัน เขากำลังมองมิเอลพร้อมรอยยิ้มสนใจและเป็นมิตรราวกับกำลังเชยชมเธอ

‘บางที บางทีจักรพรรดิแห่งโครอาอาจจะรับฟังคำพูดฉันจริงๆ ก็ได้…!’

มิเอลที่เคยได้รับเพียงความรักและความเมตตาจากทุกคนบนโลกบังอาจเอื้อนเอ่ยวาจากับจักรพรรดิแห่งราชอาณาจักรก่อน เพราะเธอมั่นใจว่าเขาจะต้องฟังคำพูดของเธอไม่ว่าเธอจะอยู่ในสถานะไหน เหมือนอย่างที่ทุกคนเคยเป็นมาเสมอ

นอกจากนั้นเธอยังต้องพูดเพื่อให้ตัวเองสามารถอยู่รอดได้ต่อไปในอนาคต

“คือ… ท่านโรฮัน โครอาเจ้าคะ…! ดิฉันมีเรื่องต้องทูลให้ท่านทราบเจ้าค่ะ เป็นเรื่องที่ท่านจำเป็นต้องทราบด้วยนะเจ้าคะ”

เมื่อผู้ที่เป็นเพียงสาวใช้กล้าเอ่ยปากพูดกับจักรพรรดิแห่งอาณาจักรก่อน ทุกคนที่อยู่ ณ ตรงนั้นต่างก็ตัวแข็งเป็นหินไปตามๆ กัน

ในบรรดาคนเหล่านั้นไอซิสคือคนที่ตื่นตระหนกมากที่สุดเพราะเธอคือคนที่ได้ฟังเรื่องราวไร้สาระจากมิเอลมาก่อนแล้ว เธอรีบละล่ำละลักตำหนิมิเอลทันที

“อะ เอล! นี่มันอะไรกัน…! อยู่เงียบๆ ไม่เป็นหรือ!”

มิเอลหลับตาแน่นและหดตัวลงเพราะการตอบสนองที่เกินกว่าเหตุของไอซิส นั่นทำให้เธอดูเหมือนลูกแมวขี้กลัว

สตรีทั้งสองแต่ก็ทำกิริยาไร้มารยาทด้วยกันทั้งคู่ แต่โรฮันกลับมองพวกเธอที่กำลังเล่นละครสั้นต่อหน้าอยู่สักพักก่อนจะพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่ไม่รู้ความหมาย

“ได้สิ ผมสนใจ แต่วันนี้ก็ดึกมากแล้ว ไว้รุ่งขึ้นผมจะส่งคนมาแล้วกัน สงสัยจริงๆ ว่ามันจะเป็นเรื่องอะไร”

ไอซิสถึงกับหน้าซีดในขณะที่มิเอลกลับยิ้มกว้าง

เธอเชื่อว่าหากได้เปิดโปงพลังของเจ้าชายว่าเป็นความจริงและได้มีชื่อเสียงจากการปฏิวัติ เธอจะมีโอกาสรอดโดยไม่ต้องพึ่งพาไอซิสอีก

……………………….

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์ อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่ ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…! “ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า” เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า! เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย! เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset