พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – ตอนที่ 157

***

“จบง่ายอย่างนี้เลยสินะ”

อาเรียมองดูหัวที่หลุดออกจากบ่าของไอซิสและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูเฉื่อยชาเล็กน้อย

ทั้งๆ ที่ในอดีตเธอเป็นถึงชนชั้นขุนนางระดับสูงที่ไม่มีใครกล้าสบตาเลยแท้ๆ แต่จุดจบกลับดูไร้ค่าอะไรเช่นนี้

แม้แต่ขุนนางชั้นสูงที่สูงส่งเทียมฟ้ายังถูกปฏิบัติราวกับว่าเป็นของต่ำต้อยเช่นนี้ แล้วตัวฉันในอดีตที่ถูกเคนตัดคอล่ะจะไร้ค่ามากขนาดไหน อาเรียคิด

คงไม่ต่างไปจากขยะเลยสินะ

ถ้าหากว่าโลกใบนั้นยังคงอยู่ ทุกอย่างก็คงจะดำเนินไปโดยที่ไม่มีนางมารร้ายซึ่งถูกตัดคอสินะ

‘ถ้าไม่ใช่เพราะนาฬิกาทรายแล้วละก็…’

ถ้าไม่ใช่เพราะนาฬิกาทรายแล้วละก็ เธอคงจะไม่มีวันได้เห็นทิวทัศน์อันล้ำค่าแบบนี้แน่ๆ

แน่นอนว่าเธอสัญญากับตัวเองว่าจะต้องแก้แค้นให้ได้ แต่พอทุกอย่างมันจบลงง่ายกว่าที่คิดไว้ ใจหนึ่งก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา แม้แต่เคนและมิเอลที่ดูเลิศเลอไร้ที่ติในอดีตที่เธอไม่มีอะไรเลยนั้น ในตอนนี้พวกเขากลับเป็นได้แค่เพียงพี่น้องที่ดูซอมซ่อไร้ค่าในสายตาของอาเรียเท่านั้น

แน่นอนว่ายังมีฉากเด็ดที่เป็นไฮไลต์สำคัญเหลืออยู่ นี่จึงไม่ใช่ตอนจบที่สมบูรณ์ แต่มันต่างไปจากเมื่อก่อนที่ต้องคอยระแวงเพื่อหาโอกาสสั่งสมอำนาจขึ้นมา เพราะในตอนนี้สิ่งที่เหลือมีเพียงแค่ความสนุกสนานที่ได้จากตอนจบของพวกคนเหล่านั้น

“นั่นน่ะสิ ใครจะไปรู้ว่าขุนนางที่สูงศักดิ์ของราชอาณาจักรจะกลายเป็นแบบนั้นไปได้”

คารินเอ่ยปากเห็นด้วย เธอมองดูการเก็บกวาดลานประหารหลังจากที่ซากศพซึ่งถูกประหารถูกเก็บไป และย่นคิ้วให้กับภาพที่ไม่น่าดูนี้

แต่นั่นก็เป็นเพียงฉากที่น่ากลัวแก่การมองเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเธอรู้สึกสงสารหรือเวทนาต่อคู่พี่ชายน้องสาวที่ไม่เคยนับว่าแม่ปลอมๆ อย่างเธอเป็นแม่แต่อย่างใด

แม้ว่าสองพี่น้องที่อกสั่นขวัญผวากับซากศพที่วางอยู่ตรงหน้าจะหน้าซีดเผือดและตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวมากเพียงไร แต่ก็ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับพวกเขาเลยสักนิด

“เอาละครับ ไหนๆ ตอนนี้ความบันเทิงก็ได้จบลงแล้ว ผมว่าเราไปที่คฤหาสน์ของเลดี้ดีกว่านะครับ”

โรฮันลุกขึ้นจากที่นั่งและพูดออกมาราวกับไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนเขาอยากจะเปิดเผยตัวตนของอาเรียเต็มแก่และพาเธอกลับไปยังอาณาจักรโครอาให้เร็วขึ้นสักชั่วโมงก็ยังดี

“…นั่นสินะ”

โคลอีที่เห็นดีเห็นงามด้วยลุกขึ้นจากที่นั่ง ท่าทางเขาจะอยากพูดคุยกับลูกสาวที่แท้จริงและผู้หญิงที่เฝ้าคิดถึงมานานแสนนานมากกว่าจะต้องมาสนใจเรื่องของขุนนางต่างแดนที่ตัวเองไม่รู้จักหน้าตาด้วยซ้ำ

เพราะไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป คารินจึงมีสีหน้าเห็นด้วย และโคลอีที่เฝ้ามองเธอก็ได้ยื่นมือให้กับคาริน เป็นการแสดงความใส่ใจเพื่อให้เธอจับและลุกขึ้น

แต่เพราะเพิ่งจะหย่าได้ไม่นานนัก คารินจึงมีท่าทีอึกอักและลังเล เธอไม่สามารถจับมือเขาได้ง่ายๆ และดูเหมือนเธอออกจะเกรงใจสายตาของอาเรียอยู่ด้วย

ในเมื่อเขายื่นมือมาให้แม่ของเธอด้วยใบหน้าที่อ่อนโยนขนาดนั้น แล้วเธอจะเห็นค้านได้อย่างไรเล่า อาเรียทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และลุกออกจากที่นั่ง แล้วแกล้งทำเป็นจัดเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อย และตอนนั้นเองคารินก็ยอมจับมือโคลอีและลุกออกจากที่นั่ง

พวกเขาตั้งใจจะออกจากลานประหารไปทั้งแบบนั้น แต่มิเอลที่ถูกลากไปยังรถม้าของนักโทษด้วยมือขององครักษ์ที่จับเธอไว้อย่างรุนแรงก็ได้หันมาตะโกนเรียกอาเรียด้วยความร้อนรน

“พี่ พี่คะ! พี่คะ! น้องล่ะ พาน้องกลับไปด้วย! พี่อาเรีย! “

เพราะอาเรียไม่ได้กล่าวอะไรเอาไว้ และการจะออกไปจากคุกได้จะต้องออกไปพร้อมกับคนที่ส่งหนังสือร้องเรียนเท่านั้น มิเอลจึงต้องการความช่วยเหลือจากเธอ

อาเรียค่อยๆ หัวหน้าไปทางต้นเสียงที่ฟังดูลนลานนั่นอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าตกใจราวกับคาดไม่ถึง

“มิเอล”

“คะพี่! “

เมื่อได้ยินอาเรียเรียกชื่อตัวเองเข้า มิเอลก็รีบตอบออกมาอย่างซาบซึ้งใจทันที ดูเหมือนเธอจะคิดว่าตนเองกำลังจะได้หลุดพ้นไปจากคุกที่น่าสะอิดสะเอียนนี้เสียที

แต่ทว่ามันก็ไม่เป็นไปอย่างที่มิเอลคาดหวัง อาเรียไม่สามารถช่วยเธอออกมาได้

“ขอโทษนะ แต่พี่ไม่ใช่คนที่ส่งหนังสือร้องเรียนน่ะ”

“…คะ”

มิเอลตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินคำนั้น หน้าตาของเธอกำลังบอกว่านั่นมันหมายความว่าอะไรกันแน่

คนที่ส่งหนังสือร้องเรียนไม่ใช่อาเรียหรอกหรือ… ดูเหมือนนั่นจะเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของคาริน โรฮันและแม้แต่อาซที่ยืนห่างออกไป ทุกคนต่างรอให้อาเรียพูดต่อไป

“แน่นอนว่าคนที่ขอร้องให้ทำหนังสือร้องเรียนคือพี่เอง…แต่เพราะพี่ไม่มีเวลาเลยไม่สามารถเขียนหนังสือร้องเรียนด้วยตัวเองได้น่ะ เพราะอย่างนั้นเมื่อพี่ไม่ได้เป็นคนเขียนขึ้นเอง ชื่อของคนที่ส่งไปจึงไม่ใช่ชื่อพี่ยังไงล่ะ เพราะฉะนั้นคนที่น้องต้องขอร้องไม่ใช่พี่แต่เป็น ‘เธอคนนั้น’ ต่างหาก

เธอคนนั้นหรือ…แล้วนั่นหมายถึงใครกันล่ะ มิเอลถามออกมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกังวล อาเรียจึงยิ้มอย่างอ่อนโยนและตอบออกไป

“พอกลับไปแล้วพี่จะรีบบอกให้เธอมาพาน้องออกไปทันที ไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอก”

แต่ทว่าแทนที่จะบอกชื่อของเธอคนนั้นให้ชัดเจน กลับได้คำตอบที่บอกให้รอเวลาอีกสักหน่อยมาแทน นั่นจึงทำให้ความกังวลของมิเอลหนักอึ้งขึ้นมาเป็นทวีคูณ สรุปแล้วคนนั้นคือใครกันแน่ มิเอลตั้งใจจะถามออกไปอีกครั้ง แต่เคนที่อยู่ข้างๆ กลับถามอย่างอื่นขึ้นมาก่อน

“เมื่อกี้พี่ได้ยินเขาเรียกท่านพ่อว่าพ่อหม้าย มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”

ดูเหมือนเขาจะกังวลเรื่องคำเรียกท่านเคานต์มาตลอด ซึ่งมันก็ควรจะเป็นแบบนั้น เพราะคงไม่มีใครเรียกผู้ชายที่มีภรรยาเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้วว่าพ่อหม้ายอย่างแน่นอน

แม้ว่าเขาจะถามอาเรีย แต่คารินกลับเป็นคนตอบคำถามนั่นแทน

“ถามอะไรงี่เง่าจังเลยนะเคน เธอน่าจะรู้นะว่าสิ่งที่เธอทำลงไปจะทำให้ถูกถอดยศ และแม้แต่ทรัพย์สมบัติที่มีก็จะถูกยึดไปด้วยน่ะ และถ้าฉันไม่หย่ากับเขาแล้วละก็ อย่าว่าแต่จ้างทนายให้ช่วยเธอเลย ทั้งครอบครัวคงได้กลายเป็นคนเร่ร่อนอยู่ข้างถนนไปแล้ว”

“…! “

“ไม่เห็นรึไงว่านักโทษคนอื่นๆ ที่ไม่สามารถหาทนายได้ ต่างต้องตายกันหมดทุกคน ก่อนที่จะเป็นห่วงพ่อน่ะ เธอควรสำนึกกับสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไปก่อนเถอะ”

ดูเหมือนเคนไม่แม้แต่จะนึกเลยว่านั่นเป็นผลลัพธ์ที่ได้มาจากการหย่าร้าง เขารู้สึกตกใจและพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะก่อนจะถามขึ้นมาอีกครั้ง

“…ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นแล้วตอนนี้ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้างครับ นี่เป็นการหย่าแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น ทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกันอย่างนั้นใช่ไหมครับ”

เมื่อได้ยินคำถามของเคนที่หวังจะให้เป็นเช่นนั้นเข้า คารินก็อารมณ์เสียเล็กน้อยราวกับได้ยินเรื่องไร้สาระ ก่อนจะตอบออกไป

“ชายหญิงที่ไม่ได้แต่งงานกันจะอยู่ด้วยกันได้อย่างไรล่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ท่านพ่ออยู่ที่ไหนล่ะครับ”

“เขาอยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว นายไม่จำเป็นต้องกังวลไปหรอก แม้แต่คนที่ดูถูกฉันอย่างนายฉันยังช่วยไว้เลย หรือนายคิดว่าฉันทอดทิ้งเขาไว้อย่างนั้นหรือ”

แม้คนที่ช่วยเคนไว้จะเป็นอาเรียก็ตาม แต่คารินก็ทำเป็นโอ้อวดและตอบออกไป

และนั่นก็ทำให้เคนไม่มีอะไรจะพูดต่อไปได้อีก เขาจึงหยุดพูด และก่อนที่จะออกไปนั้น อาเรียก็ช่วยคลายความกังวลให้กับเขา

“อย่างไรเสียท่านพี่ก็จะต้องเป็นข้ารับใช้ในเขตราชวังอยู่แล้ว สามารถออกไปข้างนอกได้อยู่แล้วค่ะ ถึงตอนนั้นค่อยไปดูด้วยตาตัวเองก็ได้นี่คะ อย่ากังวลไปเลยค่ะ เพราะยังไงท่านพ่อก็สบายดีอยู่แล้ว”

เคนพยักหน้าในทันที แม้จะไม่สามารถยืนยันคำพูดนั้นได้แต่ดูเหมือนเขาจะคิดว่าอาเรียที่ช่วยมิเอลและตัวเขาเอาไว้นั้น คงไม่มีทางทอดทิ้งพ่อเอาไว้แน่

“ไปได้แล้ว”

เพราะไม่สามารถเข้าไปแทรกระหว่างที่อาเรียกำลังพูดอยู่ได้ เมื่อเห็นว่าการสนทนาจบลงแล้ว องครักษ์จึงผลักหลังของเคนให้เดินไป

ทั้งที่ควรดีใจที่อุตส่าห์รอดชีวิตมาได้อย่างยากลำบาก แต่ดูเหมือนจะมีอะไรค้างคาอยู่ในใจมากมายเกินกว่าจะรู้สึกดีใจได้

เพราะเหตุนั้นพี่ชายน้องสาวที่มีชีวิตรอดจากลานประหารจึงก้าวเดินไปยังรถม้าที่เยือกเย็นอีกครั้งอย่างยากลำบากด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง

***

“นี่ลูกไม่ได้เป็นคนยื่นหนังสือร้องเรียนหรอกหรือ”

“ค่ะ ลูกไม่ได้เป็นคนยื่นคำร้องไปหรอกค่ะ”

คารินถามอาเรียบนรถม้าที่วิ่งกลับมายังคฤหาสน์

“ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนยื่นล่ะ เดี๋ยวสิแล้วทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วยล่ะ”

หน้าตาของคารินดูสงสัยเป็นอย่างมาก เพราะเธอคิดว่าอาเรียตั้งใจที่จะพามิเอลออกมาด้วยตัวเอง

อาเรียยิ้มแย้มอารมณ์ดีและตอบออกมา

“ลูกคิดจะเอาคืนให้เหมือนกับที่ลูกโดนกระทำน่ะค่ะ มันเป็นอะไรที่ทำให้อารมณ์เสียและโกรธแค้นมากที่สุดเลยค่ะ”

“สิ่งที่ลูกโดนงั้นหรือ…หมายถึงเรื่องครั้งที่แล้วใช่ไหม เรื่องที่มิเอลใส่ร้ายลูกน่ะหรือ”

ดูเหมือนคารินจะหมายถึงเรื่องผลักท่านเคานต์ตกบันได หากเป็นคนที่รู้จักนิสัยของอาเรียและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคดีนั้นทั้งหมดแล้ว ก็จะคิดว่าเธอต้องแก้แค้นกลับไปแน่นอน

อาเรียไม่ปฏิเสธหรือยอมรับใดๆ เธอตอบคารินไปอย่างคลุมเครือ

“ไม่รู้สิคะ อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้”

“เฮ้อ จริงๆ เลยนะลูกเนี่ย ทำให้แม่คนนี้รู้สึกอึดอัดอยู่ได้”

“แม่เองก็ไม่ได้บอกลูกหมดทุกเรื่องนี่คะ เดี๋ยวอีกไม่นานแม่ก็ได้รู้แล้วละค่ะ อย่ากังวลไปเลยค่ะ”

“เรื่องเคนอีก ไม่เห็นจะบอกแม่สักคำว่าจะเอายังไง…”

คารินเหลือบตามอง ท่าทางเธอจะรู้สึกเสียใจที่อาเรียจัดการเรื่องทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว โดยที่ไม่บอกอะไรกับเธอสักคำ แต่หากจะเริ่มอธิบายก็ต้องเริ่มเล่าให้ฟังตั้งแต่ตอนที่เธอถูกฟันคอแล้วย้อนเวลากลับมา แน่นอนว่าอาเรียไม่สามารถอธิบายอะไรให้คารินฟังได้เลย

อาเรียยิ้มและเลี่ยงตอบคำถาม นั่นจึงทำให้คารินทำสายตาดุดันขึ้นมา

“แม่เองก็มีอะไรปิดบังลูกอยู่นี่คะ เพราะอย่างนั้นแล้วอย่าทำท่าแบบนั้นสิคะ”

อย่างเรื่องในตอนนี้อย่างไรล่ะ

เมื่อกล่าวถึงโคลอีที่กำลังมุ่งหน้ามายังคฤหาสน์ด้วยรถม้าของโรฮัน คารินก็ปิดปากแน่นเพราะตระหนักได้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างมีเรื่องที่ปิดบังกันอยู่

เช่นเดียวกับตอนไปลานประหาร คารินใช้เวลาไม่นานก็มาถึงคฤหาสน์ในที่สุด บรรดาข้ารับใช้ของคฤหาสน์คิดว่ามีเพียงอาเรียและคารินเท่านั้นที่กลับมา แต่เมื่อได้เห็นว่ามีรถม้าหรูหราอีกสองคันเข้ามาภายในเขตคฤหาสน์ ก็พากันสะดุ้งตกใจ ก่อนจะต้อนรับแขกอย่างสุภาพเรียบร้อย

“เป็นคฤหาสน์ที่งดงามมากครับ ตาถึงอะไรเช่นนี้”

อาซรู้สึกชื่นชมขึ้นด้วยใจจริงและพูดออกไป ส่วนโรฮันก็เห็นด้วยกับเขา

“อย่างว่าละนะ ต้อนรับองค์รัชทายาทกับกษัตริย์ได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลย พวกข้ารับใช้ก็ด้วย”

เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าข้ารับใช้ก็เบิกตาโพลงแล้วพยายามทำตัวสำรวมเท่าที่จะทำได้พลางคิดในใจ พวกเขาได้เจอกับองค์รัชทายาทหลายครั้งแล้วแต่ว่า…กษัตริย์งั้นหรือ

แต่เพราะไม่สามารถถามออกไปได้และไม่มีผู้ใดจะคลายความสงสัยให้ จึงได้แต่เก็บความอึดอัดใจนั้นไว้กับตัวเอง และให้การรับใช้แก่พวกเขาอย่างเต็มที่ เพราะอย่างไรแหล่งข่าวคนสำคัญอย่างแอนนี่ก็จะต้องถามอาเรียและเอาคำตอบมาเล่าให้พวกเธอฟังได้แน่ๆ

เหล่าข้ารับใช้รีบนำผลไม้และชาที่เตรียมไว้อย่างพิถีพิถันออกมาวาง แม้แขกผู้มาเยือนจะเป็นถึงองค์รัชทายาทและกษัตริย์ก็ตาม แต่คารินก็นำทางพวกเขาไปยังห้องรับแขกได้อย่างคล่องแคล่วมั่นใจ

“… พอเห็นคุณอยู่กันสบายดี ผมก็ดีใจ”

ในขณะที่คาริน อาซ อาเรีย โรฮันและโคลอีนั่งดื่มชาด้วยกันอยู่ในห้องรับแขก โคลอีก็พูดกับคารินขึ้นมา หน้าตาของเขาดูสุขใจอย่างแท้จริงเมื่อได้เห็นว่าเธอสุขสบายดี

คารินตอบกลับไปด้วยหน้าตาที่ดูเย็นชาเป็นอย่างมาก

“เจอกันทีไรก็พูดแบบนั้นตลอดเลยนะคะ”

“ผมเป็นกังวลมากจริงๆ แต่เพราะมีเรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นอย่างมากมายเลยไม่สามารถไปหาได้…”

“ดิฉันก็ไม่ได้หวังเอาไว้หรอกค่ะ เพราะผู้ชายที่พูดแบบท่านโคลอีไม่ได้มีแค่คนสองคนหรอกค่ะ”

คารินตอบกลับคำพูดที่แสดงความรู้สึกผิดของโคลอีราวกับว่าเป็นเรื่องเหลวไหล แต่ถึงอย่างนั้นดวงตาที่สั่นไหวของเธอก็พอจะพิสูจน์ได้ว่าคำตอบของเธอเป็นเรื่องโกหก

แน่นอนว่าผู้ชายที่พูดแบบโคลอีมีมากมายขนาดที่นิ้วมือนิ้วเท้าที่มีไม่พอใช้นับจำนวนเลยทีเดียว แต่ทว่าไม่มีผู้ชายคนใดแสดงออกว่ารักเธอหมดหัวใจและให้สัญญาเรื่องอนาคตได้อย่างเขาเลยสักคน แม้นั่นจะเป็นความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว ซึ่งเธอเองก็ไม่สามารถยืนยันอะไรได้ แต่บางทีในตอนนั้นเธอเองก็คงจะคาดหวังไว้อยู่ก็ได้

เพราะสิ่งที่คารินพูดออกมาเป็นเพียงแค่การสร้างบรรยากาศสนุกสนานให้กับทุกคนยกเว้นเขานั่นเอง

“ผมว่าเราหยุดบทเกริ่นนำเอาไว้แค่นี้ แล้วรีบเข้าเนื้อหาหลักกันดีกว่านะ”

โรฮันรู้สึกรำคาญทั้งสองที่ทำเหมือนเพิ่งจะได้เจอกันอีกครั้งในรอบหลายปี ทั้งๆ ที่ต่างส่งจดหมายคุยกันมาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว

“ท่านโรฮันไปอยู่ที่ห้องอื่นดีไหมคะ จริงๆ ท่านไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยเลยนี่คะ”

พออาเรียพูดไล่แขกอย่างโรฮันซึ่งเอาแต่หงุดหงิดและบ่นอึดอัดอยู่ทุกครั้ง เขาก็ตอบออกมาด้วยสีหน้าที่แสดงความน้อยใจเป็นอย่างมาก

“…เลดี้ไม่รู้เลยสินะครับว่าผมมีบทบาทสำคัญมากขนาดไหนในเรื่องนี้น่ะ ลองคิดดูสิครับเลดี้อาเรีย ว่าคนที่พามาร์ควิสเปียสต์และท่านโคลอีมาที่นี่น่ะคือใครกัน”

“อย่างนั้นเองสินะคะ ขอบคุณมากค่ะ แต่ว่าท่านไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับดิฉันเลย เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ที่นี่เลยนี่คะ”

“ถ้าอย่างนั้นอาซก็เหมือนกันน่ะสิครับ! “

“ไม่ค่ะ ก็ท่านอาซเป็นคนรักของดิฉันนี่คะ”

เมื่อได้ยินอาเรียกล่าวถึงตนเองว่าเป็นคนรักให้ผู้อื่นฟังอย่างไม่สะทกสะท้านใดๆ อาซก็เกร็งมือที่กำลังจับแก้วชาขึ้นมา ปลายหูของเขาแดงขึ้นมานิดหน่อย

“…หันมาผูกสัมพันธ์กับผมแทนก็ได้นี่ครับ”

แต่เมื่อโรฮันเริ่มพูดจาเหลวไหลขึ้นมา สีหน้าของอาซก็เปลี่ยนไปในทันที เขาหงุดหงิดและเข้าร่วมบทสนทนาด้วย

“ฉันชักอยากจะผิดสัญญาที่ให้ไว้แล้วนะ ขอละ ช่วยหุบปากทีเถอะ”

“…นี่นายไม่ปฏิบัติต่อสัญญาระหว่างประเทศตามอำเภอใจไปหน่อยเหรอ”

“จะรักษาสัญญาหรือไม่ มันก็ขึ้นอยู่กับประเทศมหาอำนาจไม่ใช่หรือไง”

“…”

แม้จะฟังดูไม่ยุติธรรมแต่ก็เป็นคำพูดที่ถูกต้อง ในที่สุดโรฮันจึงยอมหุบปากลง เพราะนี่เป็นราชอาณาจักรที่มีมหาอำนาจมากที่สุดในผืนทวีปมาอย่างยาวนาน

หลังจากที่โรฮันหุบปาก บทสนทนาที่เคยหยุดไว้ก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง

“…ถึงขั้นพูดคำว่าความสัมพันธ์ทางสายเลือดออกมา แม่คิดว่าลูกเองก็คงเดาได้สินะ คนคนนี้ชื่อว่าโคลอี เปียสต์ เป็นพ่อแท้ๆ ของลูกล่ะ”

“อย่างนั้นเองสินะคะ”

ต่างจากคารินที่แนะนำเขาอย่างระมัดระวัง อาเรียกลับตอบออกมาอย่างสุขุม ราวกับว่านั่นไม่ได้มีค่าอะไรเป็นพิเศษสำหรับเธอเลย

แม้ว่าเธอจะสนใจเรื่องนามสกุลเปียสต์ของเขาอยู่บ้าง แต่มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่อะไร เพราะเธอคิดว่าถึงแม้จะมีพ่อที่แท้จริงก็ตาม ชีวิตของเธอก็คงไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม

…………………

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์ อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่ ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…! “ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า” เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า! เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย! เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset