พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – ตอนที่ 164

“…น้องรึคะ”

เนื่องจากไม่สนิทสนมกับซาร่าเลยแม้แต่น้อย มิเอลจึงกะพริบดวงตาที่ปริ่มไปด้วยน้ำตาและถามกลับไป

ดังนั้นอาเรียจึงยิ้มอย่างแจ่มใสและตอบรับไป

“อืม ถ้าอยู่คฤหาสน์เพียงคนเดียวก็คงเหงาแย่นะสิ”

“อ่อ นั่นน่ะก็ใช่ค่ะ แต่…”

ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่จะให้ไปงานแต่งงานมาร์ควิสวินเซนต์กับซาร่าเนี่ยนะ คนของฝั่งอาเรียกับเจ้าชายต้องไปรวมตัวกันเยอะแน่ๆ แล้วจะให้ไปที่นั่นได้อย่างไรกันเล่า

อาจจะโดนดูถูกเหยียดหยามขนาดที่การกลั่นแกล้งในคฤหาสน์เทียบไม่ติดเลยก็ได้ นอกจากนั้นในตอนนี้เธอถูกลดสถานะลงแล้ว จึงต้องเข้าร่วมงานในฐานะคนใช้เท่านั้น แล้วเหตุใดอาเรียถึงเสนออะไรแบบนั้นให้เธอกันนะ

อาเรียอ่านความรู้สึกไม่พอใจบนใบหน้าของมิเอลออก จึงลูบมือของมิเอลที่ตัวเองกำลังจับไว้และพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“นอกจากนั้น…น้องคงใช้ชีวิตพร้อมกับความเข้าใจผิดแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้หรอก พี่เลยคิดว่าการออกไปพบเจอกับผู้คนเป็นสิ่งจำเป็นน่ะ”

“…เข้าใจผิดงั้นหรือคะ”

“พี่หมายความว่าตอนนี้น้องไม่ได้คิดเรื่องไม่ดีอีกต่อไปแล้วไงล่ะ น้องยังเด็กเลยขาดความสามารถในการตัดสินใจแยกผิดชอบชั่วดี ตอนเด็กๆ ใครก็ทำเรื่องผิดพลาดกันทั้งนั้นนี่นา”

แน่นอนว่าในอดีตถึงแม้มิเอลจะกลายเป็นผู้ใหญ่แล้วนิสัยเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ยิ่งกว่านั้นยังชั่วช้าถึงขนาดพรากชีวิตของอาเรียไปด้วย แต่เพื่อทวงความยุติธรรมของตัวเองแล้ว อาเรียจึงไม่อธิบายอะไรไร้สาระให้มากความและยิ้มอย่างอ่อนโยน

“เข้าใจผิด…”

หากพลาดไปนิดเดียวมิเอลอาจจะทำให้ราชอาณาจักรเกิดความโกลาหลไปแล้ว แล้วสุดท้ายจะใช้ความไร้เดียงสาในวัยเด็กมาปกปิดความผิดได้งั้นหรือ มิเอลยังคงมีสีหน้าเป็นกังวลอยู่เช่นเคย

“ถ้าน้องกังวลขนาดนั้นละก็ เพียงแค่อยู่ข้างกายพี่ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วนี่ ค่อยๆ ทำให้คุ้นหน้ากันไปยังไงละจ๊ะ”

ทว่าอาเรียยังคงโน้มน้าวต่อไปเรื่อยๆ จนกว่ามิเอลจะตอบตกลง

“หากมันไม่เป็นไปตามที่คิด น้องก็กลับไปรอที่รถม้าได้อยู่แล้ว หรือจะกลับก่อนก็ยังได้เลยนี่จ๊ะ ถึงจะมีข้อกำหนดให้อยู่ข้างกายแอนนี่ก็ตาม แต่ถ้าพี่ขอร้องดีๆ แล้วละก็แอนนี่ก็ยอมปิดหูปิดตาทำเป็นไม่เห็นเองแหละจ๊ะ”

ฉะนั้นแล้วมิเอลจะไม่พยักหน้าตอบตกลงได้อย่างไรกัน

แม้จะไม่พอใจ แต่พอได้ยินว่าเธอกลับก่อนได้หากมีอะไรไม่เป็นไปตามที่คิด มิเอลจึงพยักหน้าช้าๆ และนั่นทำให้อาเรียยิ้มแป้นราวกับปลื้มใจเป็นอย่างมาก

“น้องเลือกได้ดีมากมิเอล พี่จะคุยกับแอนนี่ไว้ก่อน ไม่ต้องเป็นกังวลนะ”

และรอยยิ้มนั้นของอาเรียก็เพียงพอที่จะทำให้มิเอลเกิดความเชื่อใจขึ้นมา

***

 

อาเรียคงจะตำหนิแอนนี่ไปอย่างสาสมแล้วจริงๆ เพราะอยู่ดีๆ แอนนี่ก็เลิกแกล้งมิเอลไปเสียอย่างนั้น

สาวใช้คนอื่นๆ ก็เช่นกัน พวกเธอไม่แกล้งมิเอลอย่างซึ่งๆ หน้าอีกแล้ว เพราะในทีแรกแอนนี่เป็นหัวโจกในการกลั่นแกล้งมิเอล พอเธอหยุดแกล้งมิเอลไป พวกสาวใช้คนอื่นจึงไม่มีความจำเป็นจะต้องทำเรื่องแย่ๆ กับมิเอล

“มิเอล เธอเห็นฝุ่นนี่ไหม นี่เธอบอกว่าขัดตรงนี้ไปแล้วจริงๆ อย่างงั้นเหรอ”

“…”

แม้จะเป็นอย่างนั้นแต่แน่นอนว่าความผิดพลาดของมิเอลก็ไม่ถูกมองข้ามไปง่ายๆ แต่ก็เพียงแค่ถูกจับผิดเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น นานๆ ครั้งก็จะมีรอยยิ้มแปลกๆ ที่ไม่รู้ความหมายตามมาด้วย แต่นั่นก็ยังดีกว่าตอนที่ถูกแกล้ง

ยิ่งไปกว่านั้นมิเอลยังรู้สึกว่าอาเรียเอาใจใส่ต่อตนเองมากกว่าแอนนี่ที่เป็นเพียงแค่สาวใช้ ทำให้มิเอลเรียกความมั่นใจที่เคยเสียไปกลับมาได้

แม้ในตอนนี้มิเอลจะทำความผิดจนทำให้ไม่สามารถทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ได้อย่างใจนึก แต่หากเวลาผ่านไปอีกสักหน่อยจนเธอกลับไปอยู่ในตำแหน่งเดิมได้อีกครั้ง เธอสัญญากับตัวเองเลยว่าจะไม่ปล่อยแอนนี่และพวกสาวใช้เอาไว้เฉยๆ แน่

สิ่งนั้นแฝงอยู่ในคำแนะนำที่อาเรียให้กับมิเอลในบางครั้ง แน่นอนว่าอาเรียเองก็ส่งสาวใช้ของเธอไปเพื่อละลายหัวใจอันเยือกเย็นของมิเอลเช่นเดียวกับที่มิเอลเคยทำในอดีต

“เป็นอะไรรึเปล่า ฉันว่าเธอพักสักหน่อยดีไหม อันนี้เลดี้ให้มาน่ะ เลดี้บอกว่าเป็นห่วงเลยอยากให้พักสักหน่อย…”

ที่ขอบตาของมิเอลรื้นแดงขึ้นมานั้น ไม่ใช่แค่เพราะขนมหวานที่เจสซี่เอามาให้ แต่เพราะคนที่เอามาให้ไม่ใช่สาวใช้คนอื่น แต่คือเจสซี่ที่อยู่เคียงข้างคอยรับใช้อาเรียมานานแสนนานนั่นเอง

เจสซี่มองมิเอลที่กำลังลำบากราวกับว่ากำลังรู้สึกสงสารเธอ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมามิเอลจะกลั่นแกล้งอาเรียและโยนความผิดให้อาเรียก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นเธอมีสภาพที่ตกต่ำถึงเพียงนี้ทั้งที่ยังไม่ถึงวัยผู้ใหญ่ ก็ทำให้รู้สึกเห็นใจเป็นอย่างมาก

แม้มิเอลจะไม่พอใจกับสายตาที่แฝงไปด้วยความเห็นใจจากสาวใช้บ้านๆ คนหนึ่งก็ตาม แต่เมื่อตระหนักได้ว่าเจสซี่กับแอนนี่สนิทกัน มิเอลก็ลู่หางคิ้วลงต่ำและกัดริมฝีปากล่างพร้อมตีหน้าเศร้าขึ้นมาในทันที

“เจสซี่ ขอบคุณนะ แต่ไหนแต่ไรเธอก็เป็นคนจิตใจดีอยู่แล้วสินะ เมื่อก่อนพวกเธอต้องคอยรับใช้ฉันที่อยู่ในฐานะชนชั้นสูงมาตลอด แต่ในตอนนี้แม้ฉันจะถูกลดสถานะลงมาเป็นสามัญชนที่ทุกคนรังเกียจก็ตาม เธอก็เป็นคนเดียวที่ยังทำดีกับฉัน”

เหตุผลนั้นไม่ใช่เพราะมิเอลถูกลดสถานะลง แต่เพราะการกระทำในอดีตของมิเอลต่างหากที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้นมิเอลก็กล่าวโทษพวกสาวใช้ที่กลั่นแกล้งเธอ เพื่อให้เจสซี่เกิดความรู้สึกสงสารเธอจับใจ และเธอจะได้สร้างความวุ่นวายขึ้นมา

“…ไม่ใช่เพราะเธอถูกลดสถานะลงถึงได้ถูกปฏิบัติแบบนั้นหรอกนะ แต่อย่างไรทุกคนก็เป็นคนดี อีกไม่นานทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง”

เจสซี่รู้สึกว่าคำตอบของมิเอลฟังดูแปลกๆ จึงแก้ไขคำตอบนั้นให้ใหม่

“นั่นสินะ เจสซี่ เธอพูดถูกแล้วละ ทุกคนเป็นคนดี มันไม่ใช่การหาเรื่องกลั่นแกล้งอะไรหรอก เป็นแค่การอวดเบ่งเล็กน้อยเท่านั้นเอง”

เมื่อแอนนี่ได้ยินคำว่าไม่ใช่การหาเรื่องกลั่นแกล้งเข้า ใบหน้าของแอนนี่ก็ลอยเข้ามาในหัวทันที เนื่องจากเจสซี่เคยเห็นแอนนี่แกล้งมิเอลและเคยคิดว่าแอนนี่ทำเกินเหตุไปนิดหน่อย

เดิมทีคนใช้คนอื่นๆ ในคฤหาสน์มักจะรู้สึกโอนเอนได้ง่ายๆ อยู่แล้ว และมีนิสัยคล้อยตามความเห็นของคนส่วนใหญ่ หากสถานการณ์เปลี่ยนไปเมื่อไหร่ก็มักจะเปลี่ยนท่าทีได้ง่ายๆ อย่างกับพลิกฝ่ามือ แต่แอนนี่ต่างออกไปนิดหน่อย เพราะเธอแกล้งมิเอลราวกับตั้งใจเอาไว้อยู่แล้ว

แน่นอนว่าหากคิดถึงสิ่งที่มิเอลซุ่มแอบทำอยู่ข้างหลังจนถึงตอนนี้แล้ว เธอก็สมควรที่จะถูกกระทำแบบนั้น แต่พอได้เห็นเธอแสร้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้าต่อตาแล้ว มันก็ทำให้จิตใจสั่นไหวขึ้นมา

เจสซี่ต่างไปจากคนอื่น ในอดีตเธอเป็นคนที่คอยแย้งอาเรียจนถึงที่สุด แน่นอนว่าอาเรียที่นิสัยเสียเคยไล่เธอออกไปแล้ว แต่เจสซี่ก็ยังดึงดันไม่ยอมลดละความตั้งใจของตัวเองจนถึงที่สุด

เพราะอย่างนั้นอาเรียถึงได้เลือกให้เจสซี่เป็นคนนำของว่างมาให้นั่นเอง

“…ไม่ต้องกังวลนะ เลดี้เองก็ดูแลเธออยู่แล้วอีกไม่นานทุกอย่างก็จะดีขึ้นเองแหละ ถ้าการพูดกับเลดี้มันทำให้เธอลำบากใจ เธอจะมาเล่าให้ฉันฟังก็ได้นะ”

และมันก็เป็นไปตามที่อาเรียหวัง เมื่อเจสซี่รู้สึกเห็นใจมิเอล เธอก็จะได้รับความไว้วางใจจากมิเอลขึ้นมาทีละน้อย เพียงแค่คอยนำเอาของว่างจากอาเรียมาให้บางครั้ง และคอยรับฟังความกังวลของมิเอล

“…แอนนี่เกลียดฉันรึเปล่านะ หรือฉันทำอะไรให้เธอไม่ถูกใจงั้นหรือ ทำไมเธอถึงใจดีกับคนอื่นได้แต่…”

แน่นอนว่ามิเอลมีเจตนาแอบแฝงอย่างอื่นที่ต่างไปจากเจตนาอันบริสุทธิ์ของเจสซี่ เธอตั้งใจพูดให้ร้ายแอนนี่และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแอนนี่กับเจสซี่พังลงโดยไม่รู้ตัว

“ถ้าเธอคุ้นเคยกับงานมากขึ้นแล้วก็คงจะไม่เป็นแบบนั้นหรอก แอนนี่น่ะเป็นเด็กดีจะตาย”

ทว่าแผนการตื้นๆ แบบนั้นใช้ไม่ได้กับเจสซี่ มิหนำซ้ำแอนนี่เองก็ไม่ได้จ้องจับผิดมิเอลอีกต่อไปแล้ว อุบายน้อยๆ ของมิเอลจึงถูกมองข้ามไปอย่างเงียบๆ

“โอ้โห! พอสวมแล้วยิ่งดูสวยเข้ากับเลดี้มากยิ่งขึ้นเลยนะคะ…! “

“งั้นเหรอ”

“ใช่ค่ะ! ปกติเลดี้ก็สวยอยู่แล้ว แต่พอได้เห็นคุณแต่งตัวสวยขนาดนี้ดิฉันก็ถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออกเลยค่ะ! “

“ตอนนี้ดิฉันเริ่มกังวลแล้วละค่ะ ว่าเลดี้ซาร่าจะรู้สึกอึดอัดขึ้นมารึเปล่า! “

เมื่ออาเรียสวมชุดที่อาซส่งมาให้ ความสวยงามของเธอก็เฉิดฉายออกมา

ชุดเดรสสีชมพูอ่อน มีรูปดอกทิวลิปซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของราชอาณาจักรปักด้วยดิ้นสีทอง อัญมณีแต่ละชิ้นที่ตกแต่งบนชายชุดเดรสเหมือนกับดวงดาวส่องประกายสลัวๆ ราวกับมันกำลังโอ้อวด มูลค่าของมัน

เพราะไม่ใช่รสนิยมของอาเรีย ชุดเดรสจึงไม่มีริบบิ้น จีบครุย หรือของตกแต่งที่ดูเทอะทะรุ่มร่าม แต่เพราะเธอมีรูปร่างที่สวยงามมาแต่เกิด แค่ใส่ชุดที่ชายกระโปรงฟูฟ่องกับอัญมณีที่ไม่มากเกินไป เธอก็สวยเด่นเกินกว่าใครๆ ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่คำพูดที่เกินจริงเลย

“ซาร่าไม่ใช่คนใจแคบสักหน่อย เธอไม่ใส่ใจเรื่องนี้หรอก และฉันก็ไม่อยากทำลายงานแต่งงานของซาร่าด้วย เลยคิดจะทักทายแล้วอยู่เงียบๆ ภายในงานน่ะ”

แน่นอน ถึงแม้เธอบอกว่าจะอยู่เงียบๆ ก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าสายตาคนในงานจะไม่มองมาที่เธอ ส่วนคนที่พอจะรับรู้สถานการณ์ได้ไวหน่อยก็คงจะหันเหความสนใจออกไปจากเธอเอง และซาร่าก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะคิดมากกับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ จึงไม่จำเป็นต้องใส่ใจอะไรโดยที่ไม่จำเป็น

“แอนนี่ เธอเองก็ดูสวยเข้ากับชุดไม่น้อยเลยนะ”

อาเรียหันไปพูดกับแอนนี่ที่กำลังทำผมให้เธออยู่ แอนนี่แต่งตัวด้วยชุดที่บารอนเวอร์บูมส่งมาให้อย่างเต็มยศ

แม้รูปร่างของแอนนี่จะสวยเทียบเท่าอาเรียไม่ได้ แต่ในระหว่างสาวใช้ด้วยกันเอง รูปร่างของเธอถือเป็นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง

ดูเหมือนเธอจะรู้สึกภูมิใจในตัวเอง แอนนี่ถึงได้เชิดคางขึ้นมาพร้อมกับเอามือปิดปากหัวเราะออกมา

“ขอบคุณค่ะเลดี้ ทั้งหมดนี่เป็นเพราะเลดี้แท้ๆ เลยค่ะ”

“เป็นเพราะฉันอะไรกัน นี่มันเป็นผลจากการกระทำของเธอต่างหาก”

“เลดี้ละก็ จริงๆ เลย…”

แววตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจต่างจากหน้าตาที่เขินอายจนเปลี่ยนเป็นสีแดง เพราะท่าทางของแอนนี่ไม่ได้ดูถ่อมตัวหรือเก็บอาการไว้เลย ทุกอย่างจึงถ่ายทอดไปยังสาวใช้คนอื่นตามที่เห็น

หนึ่งปีก่อนหน้านี้เธอยังเป็นสาวน้อยผู้ร่าเริงมีชีวิตชีวาดูเข้ากับกระที่ขึ้นอยู่บนใบหน้าอยู่เลยแท้ๆ แต่ในตอนนี้กลับดูต่างไปจากอดีตเหมาะสมกับตำแหน่งว่าที่บารอนเนสอย่างไม่มีข้อบกพร่อง

และแน่นอนว่ามีสาวใช้บางคนที่รู้สึกอิจฉาเธอด้วย และสาวใช้พวกนั้นต่างก็จงรักภักดีต่ออาเรียเพื่อที่พวกเธอจะได้มีชีวิตที่ดีกว่าเหมือนกับแอนนี่ และเพื่อได้รับเลือกเป็นคู่ครองบ้าง

ทว่าอาเรียไม่คิดจะช่วยพวกสาวใช้หูเบาที่เคยร่วมมือกับมิเอลทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากอีกต่อไป เธอเพียงแค่หัวเราะให้กับการกระทำของสาวใช้ที่มองเห็นเจตนาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง โดยที่สาวใช้พวกนั้นไม่รู้อะไรเลย

มิเอลเฝ้ามองดูภาพตรงหน้าอยู่ที่มุมห้องโดยไม่พูดอะไรสักคำ เธอถอดหายใจเบาๆ แล้วทอดสายตาไปนอกหน้าต่าง ในอดีตตำแหน่งของอาเรียก็คือตำแหน่งของเธอนั่นเอง แต่เพราะตอนนี้มันไม่เป็นเช่นนั้นอีกแล้ว จึงรู้สึกเจ็บใจขึ้นมา

ในตอนนี้ไม่มีใครมองมิเอลด้วยสายตาแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว ไม่สิ แม้จะอยู่ใกล้ๆ กัน แต่ก็ทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน ทั้งที่เมื่อก่อนออกจะประจบประแจงและสรรเสริญเธอเสียมากมาย แถมยังใส่ร้ายด่าทออาเรียว่าเป็นคนชั้นต่ำอีกต่างหาก

สายตาของมิเอลพลันเห็นเข้ากับรถม้าหรูที่เข้ามาในเขตคฤหาสน์ แน่นอนว่านั่นเป็นรถม้าของเจ้าชายที่พยายามอวดให้เห็นว่าเขาได้อยู่ด้วยกันกับอาเรียตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว

“อ๊ะ ดูเหมือนเจ้าชายจะมาถึงแล้วค่ะ! “

เพราะหน้าต่างถูกเปิดทิ้งไว้พอดี สาวใช้คนอื่นจึงสังเกตเห็นและตะโกนเสียงดัง ทำให้ขั้นตอนสุดท้ายของการแต่งตัวถูกเร่งมือขึ้น และสามารถเตรียมตัวออกไปจากห้องได้ทันก่อนที่อาซจะลงมาจากรถม้า

“มาแล้วหรือคะ”

“…ผมนึกว่าเลดี้ลงมาจากท้องฟ้าเสียอีกนะครับ”

การโต้ตอบที่ดูจริงใจไม่ใช่การพูดเกินจริงนั้น ทำให้อาเรียยิ้มออกมาเล็กน้อย เป็นรอยยิ้มที่จริงใจต่างจากรอยยิ้มที่ปั้นขึ้นมาเมื่อกี้

“ตายจริง ดูชุดแต่งกายที่เจ้าชายใส่สิ…”

สาวใช้ที่เหล่มองเขาจากที่ไกลๆ ด้วยหางตาพูดกับสาวใช้อีกคนที่อยู่ข้างๆ อย่างแผ่วเบา

“ท่านแต่งตัวมาให้เข้ากับเลดี้งั้นรึ ดูเหมือนเป็นชุดคู่กันเลย”

“ดูเหมือนจะแบบนั้นจริงๆ น่ะแหละ แม้แต่ลายปักบนปกเสื้อยังเหมือนกันเลย”

“เพราะอย่างนั้นเลยส่งชุดมาให้เลดี้อย่างนั้นสินะ”

“ตายแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นมีหวังแขกเหรื่อคงได้สับสนว่าเป็นงานแต่งงานของใครแน่ๆ เลย”

เสื้อผ้าของอาซมีลวดลายปักผ้าเหมือนกับของอาเรียราวกับทำให้เข้าคู่กันตามที่พวกสาวใช้พูด

และอาเรียเองก็รับรู้ถึงเรื่องนี้เช่นกัน เธอถึงได้ยกมือตัวเองผ่านมือของอาซที่ยื่นมาอย่างสุภาพเข้าไปแตะที่ปกเสื้อของเขา

เส้นด้ายสีทองที่ถูกปักอย่างสวยงามไม่บิดเบี้ยวแม้แต่น้อยเฉียดผ่านปลายนิ้วมืออาเรีย เธอรู้สึกถูกใจมันเป็นอย่างมากจึงยิ้มขึ้นมาบางๆ และอาซก็ฉีกยิ้มขึ้นมาอย่างเต็มที่

“ไปกันเลยไหมครับ”

เมื่อเขาถามพร้อมกับยื่นมือมาอีกครั้ง อาเรียก็พยักหน้าและในครั้งนี้เธอจับมือของอาซอย่างนุ่มนวล

ในตอนที่เขาตั้งใจจะออกจากคฤหาสน์และพาอาเรียไปที่รถม้าแบบนั้น อยู่ๆ อาเรียก็หยุดฝีเท้าเอาไว้และบอกว่าเธอลืมอะไรบางอย่าง

“เดี๋ยวค่ะ”

“ลืมของอะไรอย่างนั้นหรือครับ”

“เปล่าค่ะ ไม่ใช่ของแต่เป็นคนค่ะ”

สายตาของอาเรียทอดไปยังมิเอลที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย จากนั้นมิเอลก็เดินออกมาราวกับรอจังหวะนี้อยู่และโค้งคำนับให้กับอาซ

“ดิฉันตัดสินใจว่าจะเดินทางไปกับมิเอลค่ะ จะได้เป็นการเปลี่ยนบรรยากาศให้กับเธอด้วย”

“…”

และผลที่ออกมาก็แน่ชัดอยู่แล้ว สีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความพอใจและความเบิกบานเมื่อสักครู่ของอาซกลายเป็นสีหน้าเย็นชาแข็งกระด้าง หน้าของเขากำลังพูดว่าจะให้นักโทษแบบนี้มาขัดขวางช่วงเวลาระหว่างเราสองคนได้ยังไง

และดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่อาซเท่านั้นที่คิดแบบนั้น คนรับใช้แต่ละคนที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างก็กลั้นหายใจเล็กน้อยและด่ามิเอลที่ตั้งใจเข้าไปแทรกระหว่างอาซกับอาเรียอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือ

แม้อาเรียจะเป็นคนชวนก็ตาม แต่เธอก็ควรจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควรแล้วปฏิเสธไปสิ ทำไมถึงกล้าเข้าไปแทรกระหว่างคนสองคนที่นานทีจะมีโอกาสได้พบกันเสียได้

ร่างกายของมิเอลลู่ตัวลงเมื่ออยู่ต่อหน้าดวงตาสีฟ้าครามอันเย็นชาของอาซ ในตอนนั้นเองสีหน้าของเธอกำลังแสดงให้เห็นถึงความเสียใจที่บอกว่าจะเข้าร่วมงานแต่งงาน

อาเรียที่คาดเดาสถานการณ์แบบนี้ไว้แต่แรก แสร้งทำไม่รู้อะไรแล้วเรียกชื่ออาซขึ้นมา

“…คุณอาซคะ”

“ต้องนั่งรถม้าคันเดียวกับเราจริงๆ หรือครับ ผมอยากนั่งไปกับเลดี้แค่เราสองคนเท่านั้นครับ”

จนถึงตอนนี้ทั้งคู่ก็ไปไหนมาไหนด้วยกันแค่สองคนเท่านั้น อาซกำลังอุทธรณ์ด้วยสายตา เขาพูดว่าพวกสาวใช้มักจะใช้รถม้าแยกไปอีกคันหรือไม่ก็ไม่พาพวกเธอไปด้วยเสียแต่ทีแรกไม่ใช่หรือ

เพราะไม่ได้สร้างสถานการณ์นี้ขึ้นมา โดยคิดว่าจะได้เห็นท่าทางเช่นนี้ของอาซ เมื่อได้เห็นสีหน้าที่ไม่คาดคิดมาก่อน อาเรียก็ตกใจจนลืมพูดไปครู่หนึ่ง และเมื่อได้ยินเสียงเร่งของอาซเรียกชื่อตัวเอง อาเรียก็ตั้งสติขึ้นมาอย่างรวดเร็วและพูดคำที่เตรียมเอาไว้

“เลดี้อาเรียครับ”

“ดิฉันคงไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ไปหน่อยค่ะ จนถึงตอนนี้ดิฉันยังไม่เคยต้องคิดถึงเรื่องแบบนั้นมาก่อนค่ะ มิเอล พี่ขอโทษนะ แต่น้องนั่งรถม้าคันเดียวกับแอนนี่ได้ไหม พี่สั่งให้เอารถม้าที่หรูที่สุดในคฤหาสน์ให้แอนนี่ไว้แล้ว น้องจะนั่งได้อย่างไม่อึดอัดเลยละ ยังไงน้องเองก็มีข้อกำหนดให้ไปไหนมาไหนกับแอนนี่อยู่แล้วด้วย”

เห็นได้ชัดว่ายังไงบารอนเวอร์บูมก็จะต้องมารับแอนนี่ไปด้วยอยู่แล้ว แต่อารียก็ทำเป็นไขสือ ยิ้มและพูดออกไป หน้าที่ๆ ต้องรับผิดชอบอย่างกะทันหันทำให้แอนนี่หน้าถอดสีขึ้นมา แต่เธอก็ทำเพียงแค่อ้าปากและยิ้มแป้นออกมาเท่านั้น

ในเมื่ออาเรียออกปากว่าจะให้รถม้าคันหรูที่สุดในคฤหาสน์ไปใช้ แล้วจะให้เธอแสดงความไม่พอใจออกมาได้อย่างไร ไม่สิ ถึงอาเรียไม่บอกว่าจะให้รถม้าคันหรูมาใช้ก็ตาม แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าโล่งใจของอาซที่ดูพึงพอใจเป็นอย่างมากแล้ว เธอก็ไม่สามารถบ่นอะไรออกมาได้

ความหงุดหงิดของแอนนี่ที่มีสาเหตุมาจากการเดตที่รอคอยถูกทำลายลงไม่ได้หันเหไปทางอาเรียกับอาซ แต่มันกลับพุ่งไปที่มิเอลแทน

…………………………………………………

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์ อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่ ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…! “ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า” เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า! เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย! เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset