พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย – ตอนที่ 85

***

บรรยากาศมื้อเย็นวันนี้ค่อนข้างอึดอัด แต่อาเรียกลับระเบิดเสียงหัวเราะอยู่ในใจพร้อมกับทานมื้อเย็นต่อไป แม้แต่บรรยากาศในงานศพยังดูสดใสกว่านี้เสียอีก

ท่านเคานต์พูดด้วยสีหน้าหม่นหมอง

“จนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าตั้งเท่าไรแล้ว ทำไมถึงได้ล้มละลายกันง่ายดายขนาดนี้…”

“…ที่รัก”

เพราะไม่ได้มีความรู้อะไรเป็นพิเศษเกี่ยวกับสังคมขุนนาง เคานต์ติสจึงทำได้เพียงแค่แสดงสีหน้าเห็นใจและสงบปากสงบคำเอาไว้ให้มากที่สุด

ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ชาญฉลาด การที่เธอไม่พูดอะไรเรื่อยเปื่อยให้ท่านเคานต์รู้สึกรำคาญใจ ทำให้เธอสามารถคงสถานะของตนเองได้เป็นเวลานาน

“ลูกได้ยินมาว่าที่ราคาสินค้าฟุ่มเฟือยลดลงฉับพลันเป็นเพราะท่านมาร์ควิสวินเซนต์นี่คะ ท่านผู้นั้น…ไม่เลือกข้างฝ่ายใดไม่ใช่หรือคะ”

หน้าตามิเอลดูไม่สดใสเท่าใดนัก

“นั่นน่ะสิ พ่อก็คิดแบบนั้น แต่ไม่รู้ทำไมจู่ๆ เขาถึงได้เปลี่ยนไปอย่างนั้น เขาแทบจะไม่ขยับตัวเลยด้วยซ้ำตอนที่ฝ่ายขุนนางเรียกร้องให้ขึ้นราคาสินค้า พูดเพียงแค่ว่าของที่ได้มาถูกๆ ก็ให้ขายในราคาถูกแค่นั้น…”

“คิดไม่ถึงเลยค่ะ ว่าท่านมาร์ควิสจะเป็นคนเช่นนั้น ตอนนี้สถานการณ์ในท้องตลาดปั่นป่วนตั้งเท่าไรแล้ว…”

“พ่อก็คิดแบบนั้นแหละ แม้จะนิสัยเย็นชาแต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นคนที่ซื่อตรงแท้ๆ กลับกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้…”

“แล้วท่านไวเคานต์วิเกต์ล่ะคะ เป็นอย่างไรบ้าง”

หลังจากที่ชื่อของไวเคานต์วิเกต์ถูกเอ่ยออกมา สีหน้าของท่านเคานต์ก็ซีดเผือดอย่างกับศพ เพราะหากเทียบกันแล้ว เรื่องสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นเพียงปัญหาเรื่องเงินทุนเท่านั้น แต่เรื่องของไวเคานต์วิเกต์ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เกิดความสั่นคลอนภายในฝ่ายขุนนาง

“…ตอนนี้พ่อไม่อยากคุยเรื่องนั้นสักเท่าไร เพราะเขาแท้ๆ พวกขุนนางที่สุจริตเลยต้องมาวิ่งวุ่นกันยกใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด สมุดบัญชีที่มีบันทึกเรื่องการทุจริตถึงตกไปอยู่ในมือขององค์รัชทายาทได้ เนื้อหาในสมุดบัญชีมีรายชื่อของผู้เกี่ยวข้องจดไว้อย่างละเอียดอีกด้วย”

เมื่อได้ยินคำว่าสมุดบัญชี ก็ทำเอาอาเรียหูผึ่งและฟังเรื่องที่ท่านเคานต์เล่าอย่างตั้งใจ เคานต์ติสเองก็ตาลุกวาวด้วยความสนใจ จะมีอะไรสนุกไปกว่าการคุยเรื่องความพินาศของใครสักคนอีกเล่า

“ตายจริง…ต้องลบชื่อออกไปตอนนี้เลยนะคะ ทำไมถึงกล้าก่อเรื่องทุจริตแบบนั้นได้คะเนี่ย แม้แต่ลูกยังรู้สึกอับอายขายขี้หน้าเลยค่ะ”

แม้มิเอลจะตอบอย่างเฉียบขาดว่าควรจะตัดขาดคนพวกนั้นออกไป แต่ท่านเคานต์ก็ทำได้เพียงถอนหายใจเฮือกหนึ่งเท่านั้น ดูเหมือนจะมีบุคคลที่ยากจะแตะต้องเกี่ยวข้องอยู่ด้วย อย่างเช่น…ว่าที่พระชายาไอซิสเป็นต้น

แน่นอนว่าฝ่ายขุนนางไม่มีทางจะเสื่อมอำนาจลงได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ แต่คดีในครั้งนี้ก็ทำให้รากฐานของฝ่ายขุนนางสั่นคลอนขึ้นมา เพราะมันหมายถึงกลุ่มคนที่รวมตัวกันเพื่อต่อต้านอำนาจของจักรพรรดิ ไม่ใช่แค่กลุ่มคนที่ทำการทุจริต

และท่ามกลางผู้คนกลุ่มนั้น ก็ยังมีบุคคลที่ซื่อสัตย์สุจริตอยู่ด้วย และท่านเคานต์โรสเซนต์ก็ไม่ใช่คนที่กระทำการชั่วช้านี้เลย แน่นอนว่ายังมีคนอีกหลายคนที่รู้สึกถึงความอัปยศจากเหตุการณ์ในครั้งนี้

และเป็นไปได้ว่าคนเหล่านั้นจะถอดตัวออกจากฝ่ายขุนนาง และเพราะแบบนั้น ก่อนหน้านี้ที่พูดกันว่าฝ่ายขุนนางอยู่เหนือกว่าองค์รัชทายาทเล็กน้อยนั้น บางทีในตอนนี้อาจจะฝ่ายที่ถูกองค์รัชทายาทกดดันอยู่ก็เป็นไป

‘ขอให้องค์รัชทายาทช่วยทำให้ฝ่ายขุนนางพินาศลงด้วยเถิด’

ถ้ามันเป็นแบบนั้นได้ การแก้แค้นก็จะลุล่วงอย่างรวดเร็วและแสนง่ายดาย

ในอดีตเส้นทางของเธอและเขาไม่เคยได้เฉียดมาบรรจบกัน ทำให้อาเรียจำไม่ได้แม้แต่ชื่อของเขา ซึ่งจะว่าไปมันก็คงต้องเป็นเช่นนั้น เพราะชื่อของเขาถูกกลืนเข้ากับชื่อเรียกตำแหน่งของเขาไปแล้วนั่นเอง

ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเขาจะเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แต่บทบาทและตัวตนของเขากลับดูเบาบางยิ่งกว่าว่าที่พระชายาเสียอีก จึงได้แต่คิดว่าเขาเป็นเพียงเชื้อพระวงศ์ที่ไม่ได้เรื่อง ถูกฝ่ายขุนนางจูงจมูกไปวันๆ เท่านั้น

อีกอย่างหากไม่ใช่บุคคลชนชั้นสูงก็ไม่มีทางจะพบเขาได้เลย และแม้ว่าจะมีโอกาสได้พบเขาขึ้นมา ก็เป็นเพียงการยืนต้อนรับเขาจากที่ไกลๆ และเห็นเขาเป็นภาพเล็กๆ เท่านั้น เพราะแบบนั้นอาเรียจึงไม่คิดว่าเขาจะมีความสำคัญอะไรเป็นพิเศษ

มันคงเป็นเช่นนั้น แต่จู่ๆ เขากลับกระหน่ำเล่นงานฝ่ายขุนนางราวกับเรือใบที่โดนคลื่นลมพัดโกรกเสียแบบนี้ ที่จริงแล้วมันเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับเขากันแน่ เขาถึงได้เปลี่ยนเป็นคนละคนได้อย่างง่ายดาย

‘เหมือนกับว่าการกระทำทั้งหมดของฉันมันส่งผลต่อเขาด้วย เช่นเดียวทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก…’

แต่เขาก็เป็นคนที่อยู่สูงและไกลเกินไป จึงไม่มีทางไหนที่จะได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คงจะเป็นเรื่องงานประชุมของอาซ ความจริงที่ว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปนั้น บางทีเขาอาจจะเป็นคนกลางคอยส่งสารให้กับองค์รัชทายาทก็เป็นได้

เพราะเช่นนี่ อาเรียจึงเริ่มคาดเดาถึงตัวตนของเขาอีกครั้ง

‘หรือว่าเขาจะเป็นลูกลับๆ ของพระราชา…ไม่น่า คงไม่ใช่แบบนั้นหรอก’

หากไม่บ้าไปแล้วละก็นะ เพราะองค์รัชทายาทถูกฝ่ายขุนนางคอยกดดันอยู่ คงไม่สามารถไปไหนมาไหนในเมืองหลวงคนเดียวได้ และหากคิดถึงความมั่งคั่งของอาซแล้ว ข้อสมมุติที่ว่าเขาเป็นลูกชายที่พระราชาซ่อนเอาไว้ก็ดูจะมีเหตุผล

เพราะเรื่องที่ว่าไม่ได้มีบุตรธิดาเพียงแค่คนสองคนเท่านั้นที่ถูกซ่อนตัวไว้ไม่เปิดเผยต่อราชวงศ์ เป็นเรื่องจริงที่รู้กันโดยทั่วไป

บ้างก็ลือกันว่ามีคนที่ถูกขับไล่ออกมาเพราะขัดประโยชน์ทางอำนาจเล็กๆ น้อยๆ แถมยังมีข่าวลือแพร่สะพัดว่ามีคนที่ปิดบังตัวตนและใช้ชีวิตอยู่นอกวังไม่ต่างจากคนธรรมดา

ดังนั้นอาเรียจึงคิดว่าตัวตนของอาซอาจจะเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งในนั้นก็เป็นได้ แต่แล้วจู่ๆ ท่านเคานต์ก็เรียกชื่อเธอขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมาก

“อาเรีย”

“…คะ”

เพราะหลังจากได้รับคำชื่นชมเรื่องคลังสินค้าอยู่บ่อยๆ ก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ท่านเคานต์เรียกเธอเป็นพิเศษ เธอจึงตกใจเบิกตาโตและตอบออกไป สีหน้าของท่านเคานต์ที่นั่งฝั่งตรงข้ามดูหม่นหมองยิ่งนัก

ท่านเคานต์มีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวถึงประเด็นหลักที่อยากถามกับอาเรียซึ่งกำลังสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ท่านเคานต์ถึงได้เรียกชื่อเธอขึ้นมา

“…พ่อแค่อยากรู้ว่าลูกคิดอย่างไรบ้าง พอจะมีทางออกที่ดีสำหรับเรื่องนี้บ้างไหมน่ะ”

“ทางออกงั้นหรือคะ”

“ใช่ ลูกเป็นเด็กฉลาด พ่อเลยคิดว่าบางทีลูกอาจจะคิดวิธีไหนได้บ้างเลยลองถามดูน่ะ”

อ้อ หมายถึงแบบนั้นนี่เอง

ตั้งแต่เรื่องขนสัตว์มาจนถึงเรื่องคลังสินค้า อาเรียนำความสำเร็จมาให้เขาถึงสองครั้งด้วยกัน และดูเหมือนครั้งนี้เขาอยากจะขอให้เธอช่วยเขาอีกครั้ง

‘มันไม่ช้าไปหน่อยหรือไง ทั้งที่เขาปล่อยให้เรนเข้าใจผิดว่ามิเอลเป็นคนช่วยเรื่องกิจการขนสัตว์แท้ๆ ’

หากว่าตอนนั้นท่านเคานต์คิดจะแก้ไขเรื่องที่เรนเข้าใจผิดสักหน่อยแล้วละก็ เธอคงไม่ทำตัวเมินเฉยต่อเขาขนาดนี้ ไม่สิ บางทีเธออาจจะพยายามทำตัวให้ดูดีในสายตาเขา เพื่อที่จะแย่งตำแหน่งลูกรักของมิเอลมาเป็นของตัวเอง

แต่เรื่องมันก็จบลงไปแล้ว เธอตระหนักได้ว่าคนอย่างเขาไม่มีทางที่จะโอบกอดคนที่ไม่ใช้ลูกสาวในไส้อย่างเธอ และไม่ว่าจะพยายามอย่างไรก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างมีอยู่เพื่อมิเอล รวมทั้งคุณงามความดีทั้งหลายก็ยกให้เป็นเกียรติแก่มิเอล

 อาเรียพบเจอกับเหตุการณ์แบบนั้นเมื่อไม่นานมานี้ ไม่มีทางที่เธอจะช่วยท่านเคานต์ในตอนนี้แน่ๆ หากว่าเธอคิดจะช่วยเขาแต่ทีแรก ก็คงจะช่วยบอกอะไรให้เขาได้ระวังก่อนที่เรื่องจะกลายมาเป็นเช่นนี้ไปแล้ว

อาเรียเอียงคอทำหน้าตาเซ่อๆ ต่อคำถามของท่านเคานต์ แล้วส่ายหน้าขึ้นมาในทันที เพื่อเป็นการบอกว่าเธอไม่รู้

“ไม่รู้สิคะ…ปัญหานี้มันดูยากไปสำหรับลูกค่ะ ตอนนี้ลูกยังไม่เข้าใจเลยค่ะว่าท่านพ่อพูดเรื่องอะไรอยู่ และก็ไม่เข้าใจที่มิเอลพูดด้วยค่ะ”

“ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่ลูกไม่ได้คิดอะไรไว้เลยหรือ”

“ไม่ค่ะ น่าเสียดาย แต่ลูกไม่มีความเห็นอะไรเลยค่ะ”

“…งั้นสินะ ดูเหมือนพ่อจะเชื่อมั่นในตัวลูกมากไปหน่อย ก็ไม่ผิดหรอก ลูกอาจจะยังนึกอะไรไม่ออกก็ได้”

สีหน้าของท่านเคานต์ดูผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด เมื่อได้ยินคำตอบเรียบง่ายของอาเรีย

ใบหน้าของมิเอลที่เหลือบมองอย่างผ่านๆ นั้น กำลังบอกว่า‘มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วละ’

พ่อที่เรียกหาเฉพาะเวลาที่ตัวเองเกิดความจำเป็นขึ้นมา ถึงฉันจะไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริงก็ตาม แต่ทำแบบนี้มันไม่เกินไปหน่อยหรือไง

‘ถ้าหากว่าฉันไม่ใช่คนที่กระด้างแบบนี้ ป่านนี้อาจจะนั่งร้องห่มร้องไห้ขังตัวเองอยู่ในห้องแล้วก็ได้’

แต่ถึงจะไม่เป็นเช่นนั้น ความผูกพันที่ไม่เคยมีอยู่ก็ได้หมดลง เหลือไว้เพียงความรังเกียจน่าขยะแขยงเท่านั้น ถึงขนาดที่ทำให้อาหารในปากรสชาติเหมือนท่อระบายน้ำขึ้นมา

“ขอโทษค่ะ ลูกรู้สึกไม่ค่อยสบายเท่าไร เห็นทีคงต้องขอตัวก่อนค่ะ”

ขืนอยู่ตรงนี้ต่อไป เห็นทีจะได้อ้วกออกมาแน่ๆ ท่านเคานต์อนุญาตให้อาเรียกลับขึ้นห้องเมื่อได้เห็นว่าเธอค่อยๆ หน้าซีดขึ้นมา อาเรียออกจากห้องอาหารไปอย่างรวดเร็ว และหายกลับเข้าไปในห้องของเธอเอง

“เกรงว่าจะต้องเรียกหมอมาเสียแล้ว”

เคานต์ติสพูดพร้อมชำเลืองมองไปยังทางที่อาเรียผู้น่าเป็นห่วงหายลับไป จากนั้นมิเอลที่มองท่านเคานต์อยู่ก็พูดออกมาว่า

“ยังไงก็มีสาวใช้อยู่ข้างกายอยู่แล้ว ถ้าอาการไม่ดีขึ้นมาเดี๋ยวก็เรียกเองแหละค่ะ ยิ่งไปกว่านั้นอีกไม่นานพี่เคนก็จะกลับมาแล้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่เลยนะคะ หากสถานการณ์ยุ่งเหยิงนี้ยังไม่เรียบร้อย มันจะทำให้ท่านพี่ต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งเลยนะคะ”

“ถูกอย่างที่ลูกว่า ออสการ์เองก็คงจะมีงานที่ต้องทำไม่น้อยเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นลูกเองก็ด้วยมิเอล”

คนเดียวที่รู้สึกเป็นกังวลเมื่อเห็นอาเรียไม่สบายก็คือเคานต์ติส

เธอชำเลืองมองไปยังทางเข้าออกของห้องอาหารอยู่หลายที จากนั้นเธอทำตัวเป็นแขกไม่ได้รับเชิญ เข้าไปแทรกระหว่างพ่อลูกที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่เธอเองไม่เข้าใจ พร้อมกับยิ้มหวานปานดอกไม้

***

หลังจากนั้นไม่กี่วัน งานประชุมของเหล่านักธุรกิจที่นักลงทุน A เป็นคนรวบรวมก็มาถึง อาเรียวุ่นอยู่กับการแต่งตัว เธอตั้งใจจะเข้าร่วมงานประชุมนั้น เธอเลือกที่จะแต่งตัวอย่างเรียบง่ายไม่หรูหราเหมือนตอนเข้าร่วมงานประชุมของอาซ

“เลดี้คะ อย่างน้อยสวยสร้อยคอหน่อยดีไหมคะ ชุดเลดี้เรียบๆ เกินไปนะคะ”

แอนนี่ยื่นสร้อยคอให้กับอาเรียเพื่อโน้มน้าวให้เธอสวมมัน เจสซี่เองก็ดูจะไม่ถูกใจกับการแต่งกายที่ดูเรียบง่ายเกินไป จึงยื่นต่างหูและกำไรข้อมือให้กับอาเรีย

“แค่ไปนั่งฟังแป๊บเดียวก็กลับแล้ว ของพวกนั้นไม่จำเป็นต้องใส่หรอกน่า”

“แต่ว่า…”

แอนนี้ก้มลงมองการแต่งกายที่ดูหรูหราของตัวเอง และทำหน้าเบ้ขึ้นมา ดูเหมือนเธอจะรู้สึกไม่สบายใจที่ตัวเองแต่งตัวหรูหรากว่าเจ้านาย

ดูก็รู้ว่าที่เธอแต่งตัวสวยเป็นเพราะจะได้เจอกับบารอนเวอร์บูมนั่นเอง อาเรียยิ้มและลูบหัวแอนนี่

“ถึงฉันจะไม่แต่งตัวหรูๆ ฉันก็ยังดูสะดุดตาอยู่ดีแหละน่า ไม่เป็นไรหรอก”

แม้คำพูดของอาเรียจะฟังดูเหมือนเธอกำลังยกยอตัวเองอยู่ก็ตาม แต่ก็มีความหมายโดยนัยที่สื่อว่าแอนนี่จะแต่งตัวหรูหราแบบนั้นก็ได้

แอนนี่เคยชินกับวิธีการพูดแบบนั้นของอาเรีย เธอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว และกลับมามีใบหน้าที่ดูสดใสอีกครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นเรารีบไปกันเถอะค่ะเลดี้! แพร์รี่ เธอทำความสะอาดโถงทางเดินให้เรียบร้อยด้วยนะ เข้าใจไหม”

“…ค่ะ”

น้ำเสียงของแพร์รี่ที่ตอบกลับมาฟังดูน่าสงสารยิ่งนัก เธอก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่พูดหรือแสดงสีหน้าอะไรราวกับคนใกล้ตายอย่างไรอย่างนั้น ท่าทางของเธอดูน่าเป็นห่วงเล็กน้อย แต่เพราะไม่รู้ว่าจะถามถึงสาเหตุด้วยวิธีไหน จึงได้แต่ทำเป็นไม่สนใจ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังร้านค้าของบารอนเวอร์บูม

“มากันแล้วเหรอคะ! “

ทันทีที่ลงมาจากรถม้า ก็พบว่าคนที่ออกมาต้อนรับพวกเธอคือบารอนเนสคลีนนั่นเอง ดูเหมือนว่าเธอเองก็เพิ่งจะมาถึงได้ไม่นานนัก จากนั้นทุกคนก็เข้าไปในร้านพร้อมกัน และเจอกับบารอนเวอร์บูมที่กำลังเบิกตาโพลง ทำหน้าตะลึงงันอยู่

“…เลดี้อาเรีย”

“ดิฉันได้รับคำเชิญมาน่ะค่ะ”

อาเรียหยิบบัตรเชิญที่บารอนเนสให้เธอออกมาให้เขาดู เมื่อเห็นดังนั้นบารอนเวอร์บูมก็ทำหน้าบูดเบี้ยวและเอามือแตะหน้าผากตัวเอง

“เรื่องมันเป็นยังไงครับเนี่ย”

“ท่านบารอนเวอร์บูมค่ะ! “

เขาตั้งใจจะถามถึงเหตุผลกับอาเรีย แต่เพราะแอนนี่เรียกชื่อเขาและเข้ามาจับแขนของเขาโดยกะทันหัน จึงจำต้องยอมแพ้ล้มเลิกความตั้งใจนั้นไป บารอนเวอร์บูมจ้องมองไปยังแอนนี่อย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร เธอประชิดตัวเข้ามาและเกี่ยวแขนเขาไว้อย่างเป็นธรรมชาติ และอาเรียก็ยังอยู่ตรงนี้อีกด้วย

‘ที่บอกว่าสนิทสนมกันมากขึ้น ดูจะเป็นเรื่องจริงสินะ’

ดูเหมือนการกระทำอันบุ่มบ่ามของแอนนี่จะทำให้บารอนเวอร์บูมที่ไม่ประสีประสาในความสัมพันธ์ชายหญิงเกิดรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา หากทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดีอย่างนั้น แอนนี่ก็คงจะทำให้เขากลายมาเป็นผู้ชายของเธอได้ โดยที่ไม่ต้องให้อาเรียช่วยเหลือเลย

“ดูเป็นคู่ที่เข้ากันจังเลยนะคะ ว่าไหมคะ เลดี้”

“ตายจริง นั่นน่ะสิคะ”

“เลดี้อาเรียครับ…! นี่มัน…! “

เพราะเขาตั้งใจจะแก้ตัวให้จงได้ อาเรียจึงแสร้งทำไม่รู้ไม่ชี้ และชวนบารอนเนสคลีนคุย

“ต้องไปที่ไหนหรือคะ ดิฉันรบกวนเป็นธุระนำทางให้หน่อยได้ไหมคะ เลดี้”

“ได้สิคะ ตามดิฉันมาได้เลยค่ะ”

“เลดี้ท่านอื่นมาถึงแล้วอย่างนั้นหรือคะ เผอิญดิฉันสงสัยว่าจะมีคนมากี่ท่านน่ะค่ะ”

“วันนี้เรามาพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจ ไม่ใช่การกระชับความสัมพันธ์ จึงมีคนมาไม่เยอะเท่าไรค่ะ มีเพียงเลดี้ที่มีส่วนช่วยในธุรกิจอย่างจริงจังเท่านั้นค่ะ”

“อย่างนั้นหรือคะ เสียดายจังค่ะ”

ทั้งสองคนพูดคุยกระจุ๋งกระจิ๋งและพากันขึ้นไปยังชั้นบน สายตาของบารอนเวอร์บูมที่มองภาพนั้นของทั้งสองคนดูน่าเห็นใจเป็นอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สามารถทำสลัดแอนนี่ที่ตัวติดอยู่ข้างๆ ไปได้ และทั้งหมดที่เขาทำได้ก็มีเพียงแค่ถอนหายใจออกมาเท่านั้น

……………………………………………………….

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

พลิกนาฬิกา ย้อนชะตานางร้าย

เมื่อมารดาที่เป็นโสเภณีได้แต่งงานกับท่านเคานต์ อาเรียจึงได้ยกระดับฐานะทางสังคมอย่างรวดเร็ว เธอใช้ชีวิตอย่างหรูหราอู้ฟู่ ก่อนจะตกหลุมพลางของมิเอล น้องสาวบุญธรรม และถูกฆ่าตายท่ามกลางสายตาเย็นชาและคำเยาะเย้ยถากถาง ทันใดนั้น นาฬิกาทรายก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าราวกับภาพลวงตา และเธอก็ได้ย้อนเวลากลับมาอย่างปาฏิหาริย์…! “ข้าอยากเป็นผู้ที่งามสง่าเหมือนกับมิเอล น้องสาวของข้า” เพื่อต่อกรกับนางร้าย เธอจึงต้องร้ายยิ่งกว่า! เธอเลือกเส้นทางชีวิตใหม่เพื่อแก้แค้นคนที่บีบให้เธอเข้าสู่เส้นทางแห่งความตาย! เรื่องราวของนางร้ายที่ร้ายยิ่งกว่านางร้ายจึงเริ่มต้นขึ้น พร้อมกับการแก้แค้นอันซับซ้อนที่ซุกซ่อนอยู่ในความงดงามที่อันตราย!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset