พวกท่านอย่ารังแกศิษย์พี่ของข้านะ ตอนที่ 4

 

ยามคํ่า วันที่เก้า เดือนแปด ระหว่างทาง คณะของจวินเหยี่ยนจือประสบกับพายุฝน จึงหยุดพักที่หมู่บ้านชิงเฉวียนภายในหมู่บ้านมีชายชรานามว่า ลู่อวิ๋นเฟย ผู้แก่ชราจนคิ้วและเส้นผมขาวโพลน เขาอาศัยอยู่กับลู่จิงสองคนปู่หลาน โชคไม่ดีที่เมื่อหลายวันก่อนชายชราต้องลาโลกไปด้วยโรคร้าย จึงเหลือเพียงผู้เป็นหลานอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้เพียงลำพัง แม้ลู่จิงจะยังเยาว์วัย ทว่ากลับมีนิสัยคล้ายผู้เป็นปู่ของเขามาก เขาให้การต้อนรับคณะของจวินเหยี่ยนจือที่พักค้างคืนที่บ้านของเขาเป็นอย่างดี

— ความจาก อุบัติการณ์วันสิ้นโลก บทที่ 10

 

ในนิยายไม่ได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ที่ลู่จิงถูกสับเปลี่ยนวิญญาณ เพียงแค่บอกใบ้ให้ผู้อ่านคาดเดาได้ว่า คนที่ให้การต้อนรับพวกจวินเหยี่ยนจือคือลู่จิงที่ถูกลู่อวิ๋นเฟยสับเปลี่ยนวิญญาณ

ดังนั้น ขณะที่ฝนตกหนัก เหวินจิงจึงยั่วยุโทสะปีศาจเฒ่า หวังแค่เพียงว่าพวกจวินเหยี่ยนจือจะมาพบลู่อวิ๋นเฟยขณะทำการสับเปลี่ยนวิญญาณ

“ท่านคือ…”

บุรุษในอาภรณ์สีดำเอ่ยช้า ๆ “ข้าจวินเหยี่ยนจือ”

เขาปัดน้ำฝนที่อยู่บนร่างก่อนช่วยพยุงเหวินจิงขึ้นจากพื้นโคลนใบหน้างดงามสุภาพและอ่อนโยนราวกับสายลมวสันต์ ไม่ปรากฏแม้แต่เศษเสี้ยวของความเย็นชา พาให้คนรู้สึกวางใจ ไม่ต่อต้าน

เหวินจิงบอกไม่ถูกว่าเวลานี้ตนรู้สึกเช่นไร รู้แค่เพียงปวดศีรษะมาก

ผู้อยู่ในชุดขาวก้าวเข้ามามองเหวินจิงที่ทั้งกายปกคลุมด้วยดินโคลนพูดอย่างอบอุ่น “ข้าหลิ่วเชียนมั่ว เดินทางผ่านมาทางนี้กับศิษย์น้องทั้งสองแต่กลับเจอพายุฝน จึงจะขอค้างแรมสักคืน”

เขาชี้ไปยังศพที่แข็งตัวอยู่บนพื้น “นี่คือใคร”

เหวินจิงยังคงมีอาการตื่นตะลึง จึงเพิกเฉยต่อคำถามของบุรุษในชุดขาวอบอุ่น อ่อนโยน งดงามราวดอกกล้วยไม้ สูงสง่า บริสุทธิ์ ประหนึ่งแจกันหยกชั้นดี… ถ้อยคำที่บรรยายไว้ในหนังสือให้ความรู้สึกเช่นนี้เอง…

หลิ่วเชียนมั่วไม่เคยถูกผู้อื่นมองข้ามเช่นนี้มาก่อน รู้สึกเสียหน้าไม่น้อย จึงกระแอมอย่างเคอะเขิน “น้องชาย ผู้นี้คือ…”

สติของเหวินจิงคืนกลับมา จึงค้อมศีรษะขออภัยอย่างเก้อเขิน “คือ…คือท่านปู่ของข้าเอง”

หลิ่วเชียนมั่วนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนถอนใจออกมาเมื่อเอ่ยว่า “เป็นปู่ของเจ้า เป็นญาติกันแท้ ๆ ยังจะสลับวิญญาณกับเจ้า…”

เด็กหนุ่มในชุดสีเทากล่าวเสริม “กระทั่งหลานของตัวเองยังไม่เว้นคนเช่นนี้ยากจะได้พบเห็นจริง ๆ”

เหวินจิงก้มศีรษะอย่างไม่สบายใจ หากก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา

จวินเหยี่ยนจือมองร่างของชายชราบนพื้นอย่างสงวนท่าที ก่อนพูดเสียงต่ำว่า “ฟ้ามืดแล้ว เอาเสื่อมาห่อร่างเขาไว้ก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยฝังก็แล้วกัน”

 

ผู้ช่วยชีวิตพักค้างแรมอยู่ในบ้าน เหวินจิงนำทุกสิ่งในบ้านที่รับประทานได้มาทำเป็นกับข้าวสี่จาน พร้อมน้ำซุปอีกหนึ่งชาม จัดวางไว้บนโต๊ะอาหาร

เมื่อครั้งที่ลู่อวิ๋นเฟยยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่เคยนอนหลับได้สนิทเลยสักคืน ทั้งยังต้องคอยวิตกกังวลตลอดทั้งวัน วันนี้จึงได้แต่ขอบคุณฟ้าดินที่รอดพ้นจากอันตรายมาได้

ในบ้านที่อาศัยเพียงสองปู่หลานมีจานชามไม่มากนัก ซ้ำบางส่วนยังแตกหัก เหวินจิงไม่ได้คิดอะไร หยิบชามและตะเกียบที่อยู่ในสภาพดีที่สุดวางลงตรงหน้าจวินเหยี่ยนจือไปตามจิตใต้สำนึก จัดการตักข้าว รินน้ำชาเสร็จสรรพ

จวินเหยี่ยนจือมองด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่เอ่ยอะไร

ทว่าหัวคิ้วของหลิ่วเชียนมั่วกลับย่นเข้าหากัน

เบื้องหน้าของเขากับศิษย์น้องมั่วยังคงว่างเปล่า ขณะที่ศิษย์น้องจวินกลับมีข้าวปลาอาหารพร้อม ความไม่เท่าเทียมนี้มันช่าง…

แต่ก็อย่างว่า…ศิษย์น้องจวินเป็นคนช่วยเด็กคนนี้ไว้ ความรู้สึกซาบซึ้งใจของเด็กคนนี้จึงเป็นที่เข้าใจได้

หลิ่วเชียนมั่วเริ่มแนะนำทีละคน “พวกเราเป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงซวีจากยอดเขาฮุ่ยสือ สองคนนี้ คนหนึ่งคือศิษย์น้องสี่…จวินเหยี่ยนจือส่วนที่เด็กกว่าคือศิษย์น้องแปด…มั่วส่าวเหยียน”

เหวินจิงมองทั้งสอง ผงกศีรษะให้โดยไม่พูดไม่จา ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนจิตใจดี ชอบทำอะไรตลกเรียกเสียงหัวเราะจากผู้อื่นเป็นประจำส่วนมั่วส่าวเหยียนก็เป็นเด็กหนุ่มที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว น่าเสียดายที่ทั้งสองมีจุดจบไม่ค่อยดีนัก

“เจ้ารู้หรือว่าพวกเราจะมาที่นี่ ไม่เช่นนั้นเหตุใดถึงตะโกนเรียกพี่ชายเซียนเสียลั่น” มั่วส่าวเหยียนถาม

“ในหมู่บ้านต่างเรียกขานพวกท่านเช่นนี้ ยามนั้นข้าตกใจมากจึงตะโกนไปอย่างไม่รู้ตัว” เหวินจิงพูดกลบเกลื่อนอย่างลนลาน

หลิ่วเชียนมั่วยิ้มให้เหวินจิงขณะถาม “ปีนี้เจ้ามีอายุเท่าไร”

เหวินจิงตักข้าวและรินน้ำชาให้เขา พลางฉีกยิ้มตอบอีกฝ่าย “สิบสามปี”

จวินเหยี่ยนจือกล่าวว่า “ต้องการเข้าสำนักกระบี่ชิงซวีหรือไม่”

เหวินจิงผงกศีรษะ “ข้ากำลังรอเวลาที่สำนักจะเปิดรับศิษย์ในอีกครึ่งเดือน เผื่อจะโชคดีได้เป็นศิษย์ของสำนักกระบี่ชิงซวี”

หลิ่วเชียนมั่วเอ่ยยิ้ม ๆ “เช่นนั้นเจ้าจงไปที่ยอดเขาฮุ่ยสือ ตั้งแต่วันนี้ข้ากับเจ้าถือว่าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน…” เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็กระแอมอย่างจืดเจื่อน “แต่น่าเสียดายที่ยอดเขาฮุ่ยสือไม่เปิดรับศิษย์มาหลายปีแล้ว”

เหวินจิงก้มหน้าก้มตาใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวใส่ปาก ไม่ต่อบทสนทนา

เรื่องนี้ย่อมมีที่มา…

สำนักกระบี่ชิงซวีประกอบด้วยทั้งสิ้นสิบหกยอดเขา สีฟั่งผู้เป็นเจ้าสำนักเป็นผู้ครอบครองยอดเขาที่สูงที่สุดพร้อมทั้งปกครองประมุขยอดเขาคนอื่น ๆ ซึ่งมีศักดิ์เท่าเทียมกัน ประมุขของยอดเขาฮุ่ยสือมีนามว่าห้วนต้วนเซวียน เป็นหนึ่งในห้าบุคคลของสำนักที่ฝึกตนจนบรรลุถึงด่านอายุวัฒนะ เป็นบุคคลปริศนาที่มีชื่อเสียงขจรไปทั่วหล้า

เมื่อต้วนเซวียนขึ้นเป็นประมุขยอดเขา ศิษย์ของยอดเขาฮุ่ยสือก็สามารถเชิดหน้าทอดตามองผู้อื่นได้อย่างเต็มภาคภูมิ พวกเขาต่างทุ่มเทพยายามเพื่อความเป็นหนึ่งจนกลายเป็นเสาหลักของสำนักชิงซวี หากก็เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ช่วงหลายทศวรรษมานี้ ยอดเขาฮุ่ยสือไม่มีผลงานปรากฏ จึงตกต่ำลงเรื่อย ๆ

สาเหตุของเรื่องนี้มาจากตัวของต้วนเซวียนเอง

พูดให้ชัดก็คือ ต้วนเซวียนไม่ใส่ใจสิ่งอื่นใดแม้แต่น้อย

เขาไม่สนใจ ทั้งยังไม่เคยถามไถ่เกี่ยวกับการฝึกปรือของศิษย์ หลังจากที่ศิษย์ผ่านการฝึกฝนขั้นพื้นฐานแล้ว เขาก็จะสอนวรยุทธ์เพียงเล็กน้อยก่อนจะให้ไปฝึกฝนต่อด้วยตัวเองโดยไม่มีแม้แต่คำชี้แนะ

แม้สำนักกระบี่ชิงซวีจะมีกฎบัญญัติไว้ว่าลูกศิษย์ห้ามห้ำหั่นกันเองแต่คนยิ่งมากยิ่งยากต่อการปกครอง มีชั่วดีปะปนกันไป อย่างเช่น ยอดเขาเทียนเหิงมีศิษย์ร่วมสองร้อยคน อาศัยว่ามีพวกมากคอยกลั่นแกล้งลูกศิษย์ของยอดเขาฮุ่ยสือเป็นประจำ โดยไม่มีสักคนก้าวออกมาปกป้องศิษย์ของยอดเขาฮุ่ยสือ เมื่อเวลาผ่านไป ความอ่อนแอของยอดเขาฮุ่ยสือก็เป็นที่รู้กันในวงกว้าง บรรดาศิษย์ที่เข้าใหม่ต่างไม่มีใครต้องการเป็นรองผู้อื่นในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมาจึงไม่มีใครเลือกมาเป็นศิษย์ของต้วนเซวียน

หลิ่วเชียนมั่วฝืนหัวเราะเมื่อสัมผัสได้ว่าหัวข้อสนทนาเริ่มขมขื่นลงทุกที“เกรงว่าข้ากับเจ้าจะไร้วาสนาได้เป็นศิษย์พี่น้องกันเสียแล้ว ท่านอาจารย์ไม่ชอบรับศิษย์ใหม่เพราะต้องการให้ความสำคัญกับพวกเรา”

เหวินจิงไม่กล้าเปิดเผยความลับของอีกฝ่าย จึงเอ่ยเพียงว่า “ข้าเข้าใจ”

ความเศร้าบางเบาปกคลุมอยู่ในบรรยากาศ เหวินจิงรีบกินข้าวและจัดเตรียมที่นอนให้แก่ผู้เป็นแขก

 

พายุฝนพัดกระหน่ำอยู่ค่อนคืนก่อนจะสงบ เหวินจิงที่ยกเตียงของตนให้แก่ผู้มีพระคุณห่อตัวเองอยู่ภายในผ้าห่มบนพื้นหินที่เย็นเยียบราวน้ำแข็ง ความเปียกชื้นและลมหนาวของคืนฝนตกแทงทะลุเข้าไปถึงกระดูก เขาหนาวจนฟันสั่นกระทบกันกึก ๆ ไม่สามารถข่มตาหลับได้ ท้ายที่สุดจึงลุกขึ้นมาทอดถอนใจ

นอนไม่หลับ ไปเข้าห้องน้ำดีกว่า

ดวงจันทร์บนฟากฟ้าพาให้รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างยากอธิบาย

ภายในสวนระเกะระกะไปด้วยดอกไม้และกิ่งไม้ที่โดนลมพัดจนหักเป็นจำนวนมาก ศพที่ห่อไว้ด้วยเสื่อเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนถูกวางไว้ตรงมุมกำแพง เหวินจิงฉุกคิดขึ้นมาได้จึงก้าวเข้าไปข้างศพลู่อวิ๋นเฟยอย่างระมัดระวังเขายื่นมือเข้าไปในเสื่อ ค้นหาแถวหน้าอกของศพอย่างตั้งใจ

แผ่นป้ายสีดำสนิทตกมาอยู่ในมือของเขา เป็นแผ่นป้ายของตระกูลที่ลู่อวิ๋นเฟยนำออกมาให้ดู น้ำหนักของสิ่งของในมือบอกเขาว่าแผ่นป้ายนี้น่าจะสร้างจากหิน พลังปราณเบาบางแผ่ออกมาจากแผ่นป้าย กลางแผ่นหินสลักตัวอักษรสองตัวเอาไว้ แต่ไม่สามารถแยกออกว่าเป็นตัวอักษรอะไร

เหวินจิงมองแล้วมองอีก ก็ยังคงอ่านไม่ออก

แผ่นป้ายตระกูลลู่นี้น่าจะทำมาจากศิลาปราณ…

“ดึกดื่นเพียงนี้ เจ้ายังไม่นอนอีกหรือ” เสียงทุ้มต่ำฟังดูอบอุ่นของบุรุษพลันดังขึ้นไม่ไกลนัก

เหวินจิงตกใจราววิญญาณจะหลุดออกจากร่าง รีบข่มอารมณ์ของตนขณะหันไปยังต้นเสียง มองเห็นเพียงชายในชุดดำยืนอยู่อย่างเงียบเชียบห่างออกไปไม่เกินสิบก้าว

“ผู้…ผู้ฝึกปรือจวินก็นอนไม่หลับหรือ”

จวินเหยี่ยนจือเบนสายตาไปยังดวงจันทร์ “ฝนหยุดแล้ว ข้านอนไม่หลับจึงออกมาเดินข้างนอก”

“ข้าก็เช่นกัน…” เหวินจิงยิ้มกว้างอย่างอดไม่อยู่ รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยขณะเก็บแผ่นป้ายเข้าไป

จวินเหยี่ยนจือทอดสายตาไปยังศพ “ปู่ของเจ้าดูแลเจ้าดีหรือไม่”

“ท่านปู่ใจดีอย่างยิ่ง”

“…ไม่ระแคะระคายสักนิดหรือว่าเขาต้องการจะสลับวิญญาณกับเจ้า” ในใจของเหวินจิงขมปร่า แต่เขากลับหัวเราะ “ข้าโง่เขลา มองเจตนาของเขาไม่ออกแม้แต่น้อย”

จวินเหยี่ยนจือก้มศีรษะมองเบื้องล่าง ไม่ต่อความ

ดวงจันทร์สุกสว่างสาดแสงลงมาต้องเรือนร่างทางด้านข้างของจวินเหยี่ยนจือ ส่งให้เขาดูคล้ายรูปสลักที่ตกอยู่ในห้วงภวังค์ของตน

ความคิดเหวินจิงปั่นป่วน

คนผู้นี้คือผู้ที่หลอมรวมเหล่าผู้ฝึกเซียนในแคว้นจู๋เฟิงให้เป็นหนึ่งเดียวในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า!

เหวินจิงลอบพิจารณาใบหน้าเนียนใสราวหยกของอีกฝ่าย แม้จะเพียงแวบเดียว หากก็ยากที่จะมีอะไรมาบดบังเสน่ห์ที่สามารถช่วงชิงหัวใจและวิญญาณสตรีของจวินเหยี่ยนจือได้

จู่ ๆ ก็มีบางสิ่งปรากฏขึ้นก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็ว

เหวินจิงนิ่งงันไป เมื่อกี้เขาเห็นอะไร…

ขณะที่สติของเขายังไม่กลับคืนมา ในหัวก็ได้ยินเสียงเครื่องจักรดังขึ้นราวกับเสียงแหลมบาดหูของสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้นวนไปมา

“โปรดระวัง! ค่าความดีของจวินเหยี่ยนจือ – 1000! โปรดระวัง!ค่าความดี – 1000!”

จวินเหยี่ยนจือพูดอะไรบางอย่าง แต่เหวินจิงได้ยินไม่ชัดนัก

เขาไม่รับรู้อะไรอีกแล้ว

ท่ามกลางราตรีเงียบสงบ มีเพียงจันทร์กระจ่าง เสียงเตือนภัยที่ดังขึ้นในหัวไม่ขาดสายส่งผลให้เหวินจิงรู้สึกราวกับตนเองกำลังจะเสียสติ นัยน์ตาว่างเปล่าของเหวินจิงจับจ้องอยู่ที่จวินเหยี่ยนจือ เขาปรารถนาแค่เพียงใครสักคนช่วยทำลายเจ้าเครื่องที่คอยส่งเสียงนี้ที

เสียงเตือนภัยพลันหยุดลง ทุกอย่างกลับคืนสู่ปกติราวกับเมื่อสักครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหลือเพียงเสียงสะท้อนที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าแก่เขาในหัว

เหวินจิงฝืนยิ้มออกมา เอ่ยเสียงเบา “ผู้ฝึกปรือจวิน เมื่อครู่ท่านว่าอย่างไรหรือ”

หัวคิ้วของจวินเหยี่ยนจือขมวดเข้าหากัน เสเงยหน้ามองดวงจันทร์ราวกับต้องการปกปิดบางอย่าง “ไม่มีอะไร นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าสมควรไปพักผ่อน”

“…ขอรับ”

เหวินจิงยังคงงุนงง เดินอย่างไม่ช้าไม่เร็วกลับไปนั่งบนที่นอนชั่วคราวของตน สูดลมหายใจเข้าลึก ภายในหัวปรากฏข้อความขึ้น

[ระบบป้องกันตัวเริ่มทำงาน สามารถตรวจสอบค่าความดีของผู้อื่นได้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป]

 

ยามเช้าตรู่สรรพสิ่งพร่าเลือนเพราะสายฝนโปรยปราย

เหวินจิงกล่าวอำลาคณะของจวินเหยี่ยนจือที่หน้าหมู่บ้าน

พวกเขาฝังศพของลู่อวิ๋นเฟยไว้ที่สุสานท้ายหมู่บ้าน เหวินจิงคำนับสุสานของลู่อวิ๋นเฟย ตอบแทนที่อีกฝ่ายเลี้ยงดูเขามาเป็นเวลาหลายปี

เขาตรวจสอบค่าความดีของทั้งสามคน

ตัวเลขที่ปรากฏไม่คงที่นัก ค่าความดีของหลิ่วเชียนมั่วอยู่ระหว่าง300 ถึง 400 ส่วนของมั่วส่าวเหยียนมีค่าประมาณ 300 มีเพียงจวินเหยี่ยนจือเท่านั้นที่ค่าความดียังคงเป็น – 1000 ไม่เปลี่ยนแปลง จึงถูกจัดให้อยู่ในประเภท “นักโทษอุกฉกรรจ์ควรแก่การสำเร็จโทษ”

เมื่อเหวินจิงเหลือบมองใบหน้าอบอุ่นของบุรุษในอาภรณ์สีดำก็ให้ขุ่นเคืองขึ้นมา

ไอ้ระบบนี้มันพังหรือเปล่า อ่อนโยน ไร้พิษภัย ใครเห็นใครก็ชอบขนาดนี้ กลับมาบอกว่า “ควรแก่การสำเร็จโทษอย่างนั้นหรือ”

“แล้วพบกันใหม่…บางที…อาจจะได้พบกันอีกในครึ่งเดือนก็เป็นได้” หลิ่วเชียนมั่วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

เหวินจิงรีบปิดระบบ พูดว่า “บุญคุณใหญ่หลวง มิอาจกล่าวเพียงคำขอบคุณ ท่านเซียนโปรดรักษาตัว”

หลิ่วเชียนมั่วกำลังจะบอกว่าหาใช่เรื่องใหญ่ ทว่ากลับได้ยินมั่วส่าวเหยียนเอ่ยอย่างไร้ยางอายว่า “เรื่องง่ายราวกระดิกนิ้วแค่นี้ เจ้าไม่ต้องคิดมาก พวกเราไปละ”

หลิ่วเชียนมั่วคิดในใจว่า เหตุใดเจ้าไม่เรียกตัวเองว่าอวี้หวงต้าตี้[1]เสียเลยล่ะ ก่อนจะทะยานขึ้นไปในอากาศ “ไปกันเถอะ”

ไกลออกไป กลุ่มไอน้ำจากสายลมและฝนเป็นดังม่านสีขาวที่คลี่ปกคลุมเทือกเขาเขียวขจีเอาไว้ เงาของผู้ที่จากไปทั้งสามห่างไกลออกไปไม่นานก็หลอมรวมเข้ากับม่านหมอก เลือนหายไปจากสายตา

เหวินจิงมองส่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกลับบ้านของตน

ลู่อวิ๋นเฟยเสียชีวิตลง ภายในบ้านเล็ก ๆ นี้จึงเหลือเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น แม้อากาศจะเหน็บหนาว หากในที่สุดก็คลายใจ ไม่ต้องคอยหวาดระแวงตลอดเวลา ร่างกายและจิตใจรู้สึกเป็นอิสระอย่างยิ่ง เหวินจิงเก็บสัมภาระ รวบรวมสมาธิฝึกเดินพลังปราณทุกวัน

หลังจากชีวิตอันเงียบสงบปราศจากสิ่งรบกวนดำเนินไปได้ครึ่งเดือนวันที่ประตูของสำนักกระบี่ชิงซวีเปิดออกเพื่อต้อนรับศิษย์ก็มาถึง

 

 


[1] อวี้หวงต้าตี้ หรือที่คนไทยรู้จักในนาม เง็กเซียนฮ่องเต้

พวกท่านอย่ารังแกศิษย์พี่ของข้านะ

พวกท่านอย่ารังแกศิษย์พี่ของข้านะ

Status: Ongoing
อ่านนิยายพวกท่านอย่ารังแกศิษย์พี่ของข้านะเรื่องย่อ ยังไม่ทันได้อ่านตอนจบของนิยายเรื่องโปรด เหวินจิงก็พบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้เขาหลุดเข้าไปในโลกของนิยาย ในฐานะเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งเกือบจะไม่มีบทบาทใดๆ ในเรื่อง แต่เพื่อเอาชีวิตรอด ทำให้เขากลายเป็นศิษย์น้องของจวินเหยี่ยนจือ ในสายตาและความคิดของเหวินจิง ศิษย์พี่ของเขาเป็นคนดี คือพระเอกนิยายที่เขาเฝ้าคอยลุ้นว่าจะได้ลงเอยกับใครมาตลอด แต่หนุ่มน้อยซื่อใสไร้เดียงสาไม่เคยรู้ว่าเบื้องหลังของศิษย์พี่มีเรื่องราวดำมืดในอดีตซุกซ่อนอยู่ บางเหตุการณ์ในนิยายที่เขาอ่านวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เคยบอกเอาไว้ และหากเหวินจิงรู้ว่าเพราะเหตุใดศิษย์พี่จึงคอยถามอายุเขาอยู่ตลอดเวลาคงอยากถอนคำพูดที่ว่า ‘ศิษย์พี่ของข้าเป็นคนดี’ กลับลงไปให้หมดสิ้น!!!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset