พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 223 สี่เจินจวินร่วมสืบสวน

“อาจารย์?” มั่วชิงเฉินลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือใบหน้าสงบของกู้หลี

 

 

“ชิงเฉิน เจ้าฟื้นแล้วหรือ?” กู้หลีหดมือกลับ เอ่ยอย่างสงบราบเรียบ

 

 

มั่วชิงเฉินร้อนตัว อยู่ด้วยกันมานานถึงเพียงนี้นางจะไม่รู้ได้อย่างไร ทุกครั้งที่กู้หลีเป็นเช่นนี้ แสดงว่าเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแล้ว

 

 

การสนทนาของทั้งสองคนเข้าไปในหูของอีกสามคน นักพรตซานอินและนักพรตจื่อซีเก็บพลานุภาพกลับพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย แล้วเดินมาทางมั่วชิงเฉิน

 

 

นักพรตฟางเหยาแอบโล่งอก

 

 

“นางหนูชิงเฉิน เจ้าฟื้นได้เวลาพอดี รีบบอกพวกเรามา เจ้าเด็กเถียนหยวนใช่ถูกเจ้าฆ่าหรือไม่?” นักพรตจื่อซีถาม

 

 

มั่วชิงเฉินมองกู้หลีและนักพรตจื่อซี แล้วมองนักพรตฟางเหยาที่หน้าตาลำบากใจอยู่ข้างๆ อีก สุดท้ายสายตาตกไปที่นักพรตซานอินนั่น

 

 

เห็นเพียงนักพรตซานอินสีหน้าอึมครึม ดวงตาใต้คิ้วขาวหรี่ลง กลับปิดไอเข่นฆ่าที่โจ๋งครึ่มไม่มิด

 

 

เพียงปราดนี้ มั่วชิงเฉินก็เข้าใจ เขาต้องกุมหลักฐานสำคัญไว้แน่นอน มิเช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณเช่นพวกเขานี้ ไม่มีทางทำอะไรไม่ไว้หน้าต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกัน

 

 

เพียงแต่ยามนี้ นางกลับไม่ทันได้คิดให้ชัดเจนว่าตกลงเกิดช่องโหว่ที่ตรงไหนกันแน่

 

 

ตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของผู้บำเพ็ญเพียรไม่เพียงแต่สามารถสะท้อนความเป็นตายของผู้บำเพ็ญเพียร ยังสามารถเห็นถึงสภาพร่างกายของผู้บำเพ็ญเพียรคนนี้ผ่านไส้ตะเกียงว่าลุกไหม้ได้โชติช่วงหรือไม่ ดังนั้นตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาเป็นของที่เร้นลับที่สุดของผู้บำเพ็ญเพียร ไม่เอาออกมาให้คนอื่นเห็นง่ายๆ กระทั่งผู้บำเพ็ญเพียรบางคนหลังจากเลื่อนขั้นเข้าระดับก่อกำเนิดแล้วจะดึงดวงจิตสายนั้นออกจากตะเกียง ไม่ให้ตะเกียงลุกไหม้อีก

 

 

ดังนั้นผู้บำเพ็ญเพียรส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสได้เห็นตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาเลย ความเข้าใจต่อตะเกียงดวงจิตก็จำกัดอยู่เพียงความรู้ที่ว่าสามารถแสดงความเป็นตายของผู้บำเพ็ญเพียรเท่านั้น โดยไม่รู้ถึงประโยชน์ของสุคนธ์ล่าวิญญาณ

 

 

มั่วชิงเฉินก็เช่นกันไม่ค่อยเข้าใจเรื่องนี้ นางพลิกดูคัมภีร์เท่าที่หาได้ ก็เพียงแค่เข้าใจถึงความมีอยู่ของตะเกียงนี้โดยประมาณเท่านั้น ส่วนรายละเอียดที่ลึกลงไปกลับไม่อาจรู้ได้ ยิ่งไม่กล้าไปถามคนอื่น รวมทั้งอาจารย์

 

 

ผลที่แย่ที่สุด ก็คือคนอื่นรู้ว่าเถียนหยวนถูกนางฆ่า ทว่าจะให้คนอื่นมองเงื่อนงำออกว่านางตั้งใจวางแผนไว้ไม่ได้เด็ดขาด

 

 

“ท่านอาจารย์ลุงใหญ่ เถียนหยวนถูกชิงเฉินฆ่าเจ้าค่ะ” มั่วชิงเฉินหลุบตาลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

 

 

“หา!” นักพรตจื่อซีปิดปากร้องเสียงเบา ในใจบ่นว่า เด็กโชคร้ายคนนี้ จะสัตย์จริงเกินไปหรือไม่ ก็เหมือนกับศิษย์น้องเล็ก ปกติดูแล้วฉลาดเฉลียวทีเดียว มีบางเวลากลับซื่อบื้อเป็นพิเศษ

 

 

นักพรตซานอินคิ้วขาวกระตุกทีหนึ่ง หัวเราะเย้ยว่า “ดี ดี นางหนู นับว่ายังมีความกล้าอยู่บ้าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องเจ้าสำนัก ข้าก็ไม่ให้นางต้องทรมาน ก็ให้นางรับโทษด้วยวิธีที่สบายที่สุดเถอะ”

 

 

นักพรตฟางเหยาที่มีฝีมือช่องทางในการจัดการเรื่องต่างๆ เสมอมาร้อนใจจนตัวหมุน ในใจแอบว่า เหตุใดเจอเรื่องของนางหนูนี่ทีไรก็รับมือยากเช่นนี้นะ เรื่องในวันนี้ตกลงต้องประนีประนอมเช่นไรกันแน่นะ?

 

 

“ศิษย์น้องเจ้าสำนัก…” นักพรตซานอินเรียกชัดถ้อยชัดคำ

 

 

ในฐานะผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณที่มีพลังความสามารถระดับหนึ่งระดับสองของเขาโฮ่วเต๋อ นักพรตซานอินมีอิทธิพลต่อนักพรตฟางเหยาไม่น้อยจริงๆ

 

 

ได้ยินเขาพูดอีกครั้งนักพรตฟางเหยาจะแกล้งทำไม่ได้ยินอีกก็ไม่ได้ จึงไอแห้งๆ สองทีว่า “ศิษย์พี่ซานอิน อย่างไรก็ต้องถามที่มาที่ไปให้รู้เรื่อง ท่านว่าใช่หรือไม่ล่ะ?”

 

 

นักพรตซานอินสะบัดแขนเสื้อ เอ่ยเสียงเข้มว่า “นางหนูนั่นยอมรับกับปากแล้วว่านางฆ่าเถียนหยวน ยังต้องถามให้ชัดเจนปานใดอีก? ศิษย์น้องเจ้าสำนัก หรือว่าเจ้าในฐานะเจ้าสำนัก กลับจะปกป้องศิษย์ผู้กระทำผิด?”

 

 

ในใจแอบแค้นว่า เจ้าฟางเหยาคนนี้ ต่อให้ปกป้อง เจ้าก็ควรปกป้องเขาโฮ่วเต๋อของเราสิ หรือว่าเห็นท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งอายุขัยเหลือไม่มาก หลิวซางเจินจวินเขาชิงมู่ก็เลื่อนขั้นระดับก่อกำเนิดระยะปลายอีก จึงคิดเอาใจออกหาก?

 

 

ไม่ได้ เห็นทีวันไหนได้เจออาจารย์ ตนต้องคุยด้วยดีๆ สักหน่อย

 

 

กู้หลีกลับไม่สนใจการบีบคั้นของนักพรตซานอิน ถามอย่างเฉยเมยว่า “ชิงเฉิน เหตุใจเจ้าถึงฆ่าเถียนหยวน?”

 

 

มั่วชิงเฉินก้มหน้านิ่งเงียบชั่วครู่ แล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ กัดริมฝีปาก พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ชิงเฉินฆ่าเขา ย่อมเพราะเขาสมควรตายเจ้าค่ะ!”

 

 

“เพี๊ยะ” เสียงหนึ่ง นักพรตจื่อซีตบมืออย่างไม่รู้ตัว เห็นทุกคนมองมา กลับยืดตัวขึ้น เอ่ยอย่างมีเหตุผลหนักแน่นว่า “ดูเอาเถอะ ข้าพูดไว้ไม่ผิดสินะ?”

 

 

“จื่อซี เจ้านางปีศาจเฒ่า อย่าคิดว่าอาศัยที่หลิวซางเจินจวินเอ็นดูก็จะทำอะไรตามใจได้ ไม่เห็นเขาโฮ่วเต๋อข้าในสายตาเกินไปแล้ว อย่าลืมว่าท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งยังอยู่นะ!” นักพรตซานอินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟตะโกนว่า

 

 

ได้ยิน ‘นางปีศาจเฒ่า’ สามคำ นักพรตจื่อซีกระโดดขึ้นมาโดยพลัน สองมือเท้าเอวด่าอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ซานอิน เจ้าปีศาจเฒ่า ก็ไม่เอากระจกส่องเสียหน่อย มีใครเหมือนเจ้าบ้างมีใบหน้าของคุณชายหนุ่มน้อย กลับดันมีคิ้วขาวคู่หนึ่ง? แตงกวาแก่ทาสีเขียว[1]ไม่เป็นไร คนที่อยู่มาหลายร้อยปีเช่นพวกเรานี่มีคนไหนไม่ได้เป็นเช่นนี้บ้าง ทว่าเหมือนเจ้านี่ทาครึ่งค่อนวันยังทาไม่ติด ช่างน่าขันสิ้นดี เจ้ายังมีหน้าออกมาอีก!”

 

 

“เจ้า!” นักพรตซานอินโกรธจนคำพูดติดอยู่ในลำคอ เสื้อตัวหลวมพองขึ้นมา

 

 

นักพรตจื่อซีค้อนควักหนึ่งแล้วเบือนหน้าไป มองดูมั่วชิงเฉินที่เหลอหลาอยู่ว่า “เฮ้อ คำพูดพวกนี้อัดอั้นอยู่ในใจข้ามาหลายร้อยปีแล้ว บัดนี้ในที่สุดก็พูดออกมาแล้ว ฮ่าๆ ช่างสะใจจริงๆ พูดไปแล้วยังเป็นนางหนูเจ้าที่ให้โอกาสนี้กับข้านะ” พูดพลางยื่นมือหยิกหน้ามั่วชิงเฉินทีหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ

 

 

“ศิษย์น้องเจ้าสำนัก เจ้าก็ยืนดูทั้งเช่นนี้หรือ รังแกกันเกินไป รังแกกันเกินไปจริงๆ พวกเขาเขาชิงมู่ไม่เห็นเขาโฮ่วเต๋อของเราในสายตาเลยแม้แต่น้อย! อาจารย์ล่ะ? หากเจ้าไม่กล้าล่วงเกินคนอื่น ข้าก็จะเชิญอาจารย์ออกมาตัดสิน” นักพรตซานอินคิ้วขาวกระตุกจนจะตกลงมาอยู่แล้ว

 

 

นักพรตจื่อซีได้ยินแล้วไม่ยอมอ่อนข้อว่า “อ้าว เพิ่งพูดไปก็ลืมเสียแล้วหรือ? อะไรเรียกว่าท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งยังอยู่ ความหมายของเจ้าคือรู้สึกว่าท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งควรไม่อยู่นานแล้วสินะ? จิ๊ๆ จิตใจช่างอำมหิตนัก! ศิษย์น้องเจ้าสำนัก ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งล่ะ จื่อซีจะไปเชิญท่านออกมาตัดสินเดี๋ยวนี้แหละ”

 

 

น่าสงสารนักพรตฟางเหยาได้กลายเป็นหินไปแล้ว ซ้ายถูกนักพรตซานอินลากทีหนึ่ง ขวาถูกนักพรตจื่อซีกระชากทีหนึ่ง ครึ่งค่อนวันยังไม่ได้สติกลับมา

 

 

เมื่อเป็นเช่นนี้กู้หลีและมั่วชิงเฉินกลับอยู่ข้างๆ ดูความครึกครื้นขึ้นมาเหมือนเรื่องไม่เกี่ยวกับตน

 

 

เหลือบมองใบหน้าสบายอารมณ์ของกู้หลี มั่วชิงเฉินแอบคิดว่า อาจารย์เอ๋ยท่านต้องตั้งใจพาอาจารย์ลุงใหญ่มาด้วยแน่ๆ สินะ ต้องใช่แน่ๆ สินะ?

 

 

“ชิงเฉิน เจ้ายังกล้ายิ้มอีก!” กู้หลีกวาดไปเห็นรอยยิ้มที่มุมตาของมั่วชิงเฉิน ในที่สุดก็อดส่งเสียงทางจิตเอ็ดไม่ได้

 

 

มั่วชิงเฉินรีบนั่งตัวตรง ตอบว่า “ชิงเฉินไม่กล้าเจ้าค่ะ”

 

 

กู้หลีถอนใจ ส่งเสียงทางจิตอีกว่า “ชิงเฉิน ข้าจำได้ว่ายามเด็กเจ้าว่าง่ายยิ่งนัก เหตุใดอายุยิ่งมาก ยิ่งใจกล้าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินเช่นนี้แล้ว?”

 

 

“อาจารย์ ดูท่าท่านจะรังเกียจที่ชิงเฉินมักก่อเรื่องให้ท่าน เสียใจที่รับชิงเฉินเป็นศิษย์แล้วหรือเจ้าคะ? เช่นนี้ก็ดี รออีกสักครู่ยามที่ท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักลงโทษชิงเฉินท่านก็ไม่ต้องสนใจศิษย์ก็แล้วกัน หากว่า หากว่าท่านอาจารย์ลุงเจ้าสำนักขับชิงเฉินออกจากสำนักหรือลงโทษตาย จะได้ไม่ต้องเป็นศิษย์ของท่านพอดี” น้ำเสียงออดอ้อนของมั่วชิงเฉินได้รับการถ่ายทอดจากนักพรตจื่อซีมาอย่างครบถ้วน

 

 

กู้หลีชะงัก ความโกรธที่พุ่งขึ้นในใจกลับกลายเป็นความลนลานยามที่เห็นความทำอะไรไม่ถูกและความอ่อนโยนดุจสายน้ำในดวงตากระจ่างใสของมั่วชิงเฉิน แล้วรีบเบือนสายตาไป

 

 

มั่วชิงเฉินหลุบตาแอบยิ้ม

 

 

“ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่าง…อันดับหนึ่งกักตนแล้ว ทว่าข้าได้…เชิญท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างท่านอื่นที่เหลือมาแล้ว…” ท่ามกลางการกระชากลากถูของนักพรตซานอินและนักพรตจื่อซี นักพรตฟางเหยาเอ่ยเหมือนจะขาดใจ

 

 

เพิ่งสิ้นเสียงพลานุภาพอันน่าตกใจหลายสายก็พุ่งตรงมายังโถงใหญ่ เขาโล่งอกขึ้นทันที

 

 

“ศิษย์น้องเจ้าสำนัก ลงโทษศิษย์ระดับสร้างรากฐานกระจ้อยร่อยคนหนึ่ง เจ้าถึงกับรบกวนไปถึงท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างทั้งหลาย ข้าว่าเจ้าสำนักของเจ้านี่ยิ่งเป็นยิ่งมีอนาคตแล้ว” นักพรตซานอินเอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึม

 

 

ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งกักตน ท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างสี่ท่านที่เหลือหลิวซางเจินจวินต้องยืนอยู่ข้างเขาชิงมู่แน่นอน ที่เหลืออีกสามคนต่อให้ไม่ยืนอยู่ข้างนั้น เกรงว่าก็ไม่มีทางยืนที่ข้างตนนี่ นักพรตซานอินยิ่งคิดยิ่งโกรธ

 

 

นักพรตฟางเหยาใบหน้ายิ้มแย้ม กลับแอบค้อนตาคว่ำ ศิษย์ระดับสร้างรากฐานกระจ้อยร่อย?

 

 

ศิษย์หลานชิงเฉินเป็นศิษย์ระดับสร้างรากฐานไม่ผิด ทว่าอาจารย์นางคือนักพรตเหอกวงที่พรสวรรค์โดดเด่นที่สุดในพรรคเหยากวง อาจารย์ปู่คือหลิวซางเจินจวินผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดระยะปลายที่อยู่รองเพียงท่านผู้เฒ่าไท่ซ่างอันดับหนึ่งเท่านั้น

 

 

ที่น่ากลัวที่สุดคือ ข้างๆ ยังมีคนที่ขี้ปกป้องเป็นที่สุด เป็นหนึ่งในสองผู้บำเพ็ญเพียรหญิงที่ได้ชื่อว่าไม่ควรตอแยด้วยที่สุดแห่งพรรคเหยากวงคู่กับนักพรตรั่วซีแห่งเขารั่วสุ่ยนักพรตจื่อซี

 

 

ยิ่งกว่านั้น ได้ยินมาว่าศิษย์หลานชิงเฉินเป็นนางในดวงใจของศิษย์หลานเทียนหยวนเชียวนะ ไม่ว่าจริงหรือเท็จ สำหรับเสวียนหั่วเจินจวินที่มีความสุขกับการเป็นพ่อสื่อให้ศิษย์หลานเทียนหยวนแล้วละก็ เกรงว่าเห็นนางเป็นตัวเก็งสะใภ้ตระกูลเยี่ยมานานแล้ว

 

 

หากตนลงโทษศิษย์หลานชิงเฉินโดยไม่ให้สุ้มให้เสียงจริง เกรงว่าเขาชิงมู่ยังไม่ทันมีปฏิกิริยา เสวียนหั่วเจินจวินก็จะใช้พัดกกขาดๆ เล่มนั้นของเขาเคาะศีรษะตนจนปูดไปหมดก่อนแล้ว ตำแหน่งเจ้าสำนักนี่เกรงว่าก็คงไม่ได้เป็นต่อแล้ว

 

 

นักพรตฟางเหยายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้รับมือยากยิ่งนัก กำลังครุ่นคิดอยู่พลานุภาพที่น่าตกใจหลายสายนั้นก็ร่อนลงกลางโถงใหญ่แล้ว

 

 

“เกิดอะไรขึ้น?” หลิวซางเจินจวินเหลือบมองทุกคนปราดหนึ่ง ถามเสียงเข้ม พูดพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งกลางโถง

 

 

เจินจวินที่เหลือสามท่านก็นั่งลงใต้หลิวซางเจินจวิน เสวียนหั่วเจินจวินเปิดปากว่า “เป็นอันใด เป็นอันใด เจ้าเด็กพวกนี้นี่ เรื่องใหญ่อะไรหนักหนา ถึงต้องระดมคนมามากมายเพียงนี้?”

 

 

เรื่องใหญ่อะไรหนักหนา? นักพรตซานอินโกรธจนตัวสั่น คำนับทีหนึ่งว่า “เรียนเจินจวินทั้งสี่ ลื่อของข้าเถียนหยวนถูกศิษย์ของศิษย์น้องเหอกวงฆ่า ซานอินเชิญเจินจวินทั้งสี่ให้ความเป็นธรรมด้วยขอรับ”

 

 

เรื่องเกี่ยวพันถึงเขาชิงมู่ หลิวซางเจินจวินไม่เปิดปาก หรูอวี้เจินจวินเอ่ยนิ่งเรียบว่า “ศิษย์หลายซานอิน ฆ่าศิษย์ร่วมสำนักเป็นโทษหนักนะ ไม่อาจพูดส่งเดชได้ ไม่รู้เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”

 

 

นักพรตซานอินหยิบตะเกียงน้ำมันแก้วออกจากแขนเสื้อดวงหนึ่ง ยกขึ้นสูงเหนือศีรษะอย่างนอบน้อมว่า “เชิญเจินจวินทั้งสี่ตรวจดู นี่คือตะเกียงดวงจิตเจ้าชะตาของเถียนหยวนลื่อของข้า วันนี้ยามที่กุมารในตระกูลปัดกวาดโถงลับ เห็นตะเกียงดวงนี้ดับพอดี ซานอินหาสถานที่ลื่อสิ้นชีพพบผ่านตะเกียงนี้ วิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของลื่อจุดติดตะเกียงนี้เร่งสุคนธ์ล่าวิญญาณออกมา ซานอินไล่ล่าตามสุคนธ์ล่าวิญญาณ จึงจับศิษย์ของศิษย์น้องเหอกวงได้ขอรับ”

 

 

หรูอวี้เจินจวินโบกมือหนึ่งที ตะเกียงน้ำมันแก้วก็บินร่อนลงบนมือนางอย่างช้าๆ เห็นเพียงนางหรี่ตาแผ่วเบาแล้วลืมขึ้นอีก ถึงพยักหน้าให้สามคนที่เหลือ

 

 

นักพรตซานอินเห็นท่าก็ดีใจ รีบคำนับครั้งหนึ่งว่า “หลักฐานมัดตัว เชิญเจินจวินทั้งสี่ตัดสินด้วยขอรับ”

 

 

หรูอวี้เจินจวินมองทั้งสามคนปราดหนึ่ง ทั้งสามคนบอกเป็นนัยให้นางออกหน้า

 

 

หรูอวี้เจินจวินกระดกมุมปากขึ้น เอ่ยนิ่งเรียบว่า “ตามหลักแล้วเรื่องนี้ควรให้ศิษย์หลานฟางเหยาตัดสิน…”

 

 

นักพรตฟางเหยามือสั่น

 

 

หรูอวี้เจินจวินน้ำเสียงเปลี่ยนว่า “ในเมื่อพวกเรามาถึงที่นี่แล้ว เช่นนั้นจะนิ่งดูดายก็ไม่ดี ศิษย์หลานซานอินเจ้าถอยไปข้างๆ ก่อน ข้าจะถามศิษย์ที่ทำผิดเสียหน่อย”

 

 

“เจินจวิน?” นักพรตซานอินตะโกนเสียงหนึ่ง

 

 

หรูอวี้เจินจวินสีหน้าบึ้งเล็กน้อย “ศิษย์หลานซานอิน การตัดสินคดีแต่โบราณ ไม่มีเหตุผลไม่ให้ฝ่ายถูกกล่าวโทษอธิบาย”

 

 

นักพรตซานอินถอยไปข้างๆ อย่างเจี๋ยมเจี้ยม

 

 

หรูอวี้เจินจวินนี่ถึงเหลือบมองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ดูอารมณ์ไม่ออกว่า “นางหนู ระยะนี้เจ้าดูเหมือนก่อเรื่องไม่ได้ขาดนะ?”

 

 

 

 

——

 

 

[1] แตงกวาแก่ทาสีเขียว เปรียบเทียบคนที่มีอายุแล้วชอบทำตัวเด็ก

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset