พันธกานต์ปราณอัคคี – ตอนที่ 248 เมฆมาเจียวหลงเกิด

ปลาดุกเห็นมนุษย์ที่จ้องผลไม้เซียนตาเป็นมันมาตลอดบุกเข้าถิ่นของตน จึงคลุ้มคลั่งทันที คำรามด้วยความโกรธพลางว่ายมาหาทั้งสองคน ความเร็วเร็วจนน่าตกใจ ท่าทางลื่นไหลไร้อันตรายแต่ก่อนหายไปไม่เห็นอีก

 

 

พวกมั่วชิงเฉินสองคนเข้าตะลุมบอนกับปลาดุก

 

 

แม้พวกเขาใช้คาถาไม่ได้ ดีที่ปลาดุกก็ไม่รู้วิชาจู่โจมใดๆ เช่นกัน เพียงแต่อาศัยร่างกายที่แข็งแกร่งพุ่งเข้าชนอย่างไม่ลืมหูลืมตา

 

 

เห็นปลาดุกพุ่งเข้ามา มั่วชิงเฉินหลบเข้าข้างๆ เพราะว่าอยู่ในน้ำอย่างไรเสียความเร็วก็ถูกจำกัด ไหล่ครึ่งหนึ่งเกือบถูกปลาดุกชนถูก

 

 

ในยามนี้กระบี่รอบนิ้วของหลัวอวี้เฉิงแทงมา

 

 

กระบี่รอบนิ้วเป็นสมบัติวิเศษชั้นสูง บัดนี้แม้ไม่สามารถเคลื่อนพลังวิญญาณได้ อาศัยเพียงความคมของตัวมันเองก็มีพลานุภาพพอสมควรเช่นกัน

 

 

สัมผัสได้ถึงอันตราย ปลาดุกว่ายออกไปอย่างคล่องแคล่วทันที แล้วอ้าปากพ่นน้ำออกสายหนึ่งใส่หลัวอวี้เฉิง

 

 

สายน้ำพุ่งถูกตัวหลัวอวี้เฉิง หลัวอวี้เฉิงโซเซทันที แล้วตกลงไปในน้ำ

 

 

ปลาดุกเผยท่าทางดุร้ายออกมาไล่ตามหลัวอวี้เฉิงไป

 

 

มั่วชิงเฉินกัดฟันจมร่างลงไป พุ่งเข้าหาผลไม้เซียน

 

 

ปลาดุกเห็นดังนั้นรีบเลี้ยวกลับไล่ตามมาทันที

 

 

ถึงใต้น้ำ มุกกันน้ำสำแดงฤทธิ์เดช สร้างที่กั้นขึ้นรอบตัวมั่วชิงเฉินชั้นหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินไม่สนใจปลาดุกที่ไล่ตามมาอย่างเร็วด้านหลัง ร่างกายวิ่งไปข้างหน้าอย่างคล่องแคล่ว ไปถึงที่ที่หญ้าเซียนขึ้นอยู่อย่างรวดเร็ว

 

 

ยอดหญ้าเซียน ผลไม้เซียนสามผลสีแดงสด เห็นชัดว่ากำลังใกล้จะสุกงอมแล้ว

 

 

ปลาดุกเห็นมนุษยที่น่ารังเกียจบังอาจไปเด็ดสมบัติล้ำค่าที่มันเฝ้าปกป้องมาหลายร้อยปี จึงสะบัดร่างกายทันทีกวนจนน้ำกระเพื่อมไปทั่ว กลายเป็นน้ำวนเชี่ยวกราก กลับจู่ๆ ก็รู้สึกว่าเจ็บอย่างสาหัสที่กลางหัว ร่างกายมหึมาแข็งทื่อในบัดดล

 

 

มั่วชิงเฉินมองปลาดุกอย่างเย็นชา มือห่างจากผลไม้เซียนไม่เกินสามนิ้ว เอ่ยเสียงร้ายกาจว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าฟังเข้าใจหรือไม่ หากเจ้าบ้าขึ้นมาอีก ข้าก็จะทำลายผลไม้เซียนนี่เสีย ให้เจ้าออกจากที่นี่ไม่ได้ตลอดชีวิต!”

 

 

ที่มั่วชิงเฉินพูดเช่นนี้เดิมทีเป็นการหยั่งเชิง กลับไม่คิดว่าปลาดุกหยุดอยู่กับที่จริงๆ แม้สีหน้าเกรี้ยวกราดกลับไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่ก้าวเดียว

 

 

มันฟังเข้าใจจริงๆ ด้วย!

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกดีใจ ฟังเข้าใจก็ง่ายแล้ว เมื่อครู่ฉวยโอกาสที่มันไม่ทันระวังตนใช้จิตตระหนักลอบจู่โจม แม้ได้ผลดีกลับเหนื่อยมาก หากปลาดุกนี่สู้อย่างไม่คิดชีวิต การจู่โจมสะท้อนกลับ เช่นนั้นตนก็ซวยแล้ว

 

 

ในเวลานี้ หลัวอวี้เฉิงก็หอบแฮ่กๆ รุดมาถึงแล้ว

 

 

สองคนหนึ่งอสูรประจันหน้ากัน

 

 

ในยามนี้เอง สายฟ้าสายหนึ่งจู่ๆ ก็ผ่าลงจากฟ้า ทะลุน้ำในทะเลสาบฟาดลงบนหญ้าเซียน หญ้าเซียนส่ายไปมาทันที

 

 

สองคนหนึ่งอสูรมองมาที่หญ้าเซียนในทันใด

 

 

ในยามที่หญ้าเซียนเพิ่งหยุดส่าย สายฟ้าอีกสายหนึ่งก็ผ่าลงมาอีก ครั้งนี้ หญ้าเซียนส่ายยิ่งรุนแรงขึ้นแล้ว สายฟ้าสายที่สามผ่ามา ส่วนหนึ่งของลำต้นหญ้าเซียนถูกผ่าขาดเสียแล้ว ผลไม้เซียนที่อยู่ที่ยอดส่ายไปมาจะตกมิตกแหล่

 

 

เมื่อยามที่สายฟ้าสายที่สี่ผ่าลง พวกมั่วชิงเฉินสองคนกำลังจะเคลื่อนไหวก็เห็นปลาดุกพุ่งตัวขึ้นในทันใด ใช้ร่างกายบังสายฟ้าที่ผ่าลงมาไว้

 

 

ปลาดุกถูกสายฟ้าฟาด คลื่นไฟฟ้ากระจายไปทั่วร่างทันที มันบิดตัวอย่างคลุ้มคลั่งสีหน้าเจ็บปวดเหลือคณา

 

 

ไม่นานนัก สายฟ้าอีกสายหนึ่งผ่าลงอีก ฟาดลงบนตัวปลาดุกตรงๆ ปลาดุกคำรามด้วยความเจ็บปวดพลางพลิกตัวไปมา กลับไม่ได้หนีไปแม้ก้าวเดียว

 

 

“นี่เป็นสายฟ้าสายที่ห้าแล้ว ข้างหลังเกรงว่ายังมีอีกสองสาย!” หลัวอวี้เฉิงตะโกนเสียงดัง

 

 

นอกจากเคราะห์กรรมสวรรค์ในตำนานแยกเป็นสามเก้า สี่เก้า หกเก้า เก้าเก้าแล้ว เช่นเคราะห์อัสนีจำแลงกายของอสูรปีศาจ เคราะห์อัสนีสำเร็จโอสถของโอสถฝืนลิขิตฟ้า เคราะห์อัสนีของสมบัติวิเศษฟ้าดินปรากฏต่อโลก ปกติทั่วไปล้วนมีเก้าสาย หรือก็คือเคราะห์อัสนีหนึ่งเก้า

 

 

“สหายเต๋ามั่ว ข้าจะอัญเชิญอาวุธเวทป้องกัน เจ้าเฝ้าผลไม้เซียนไว้ให้ดี” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

มั่วชิงเฉินพยักหน้าอย่างไม่ลังเล

 

 

แล้วก็เห็นหลัวอวี้เฉิงยกมือโยนร่มกระดาษน้ำมันสีเขียวออกด้ามหนึ่ง เพราะไม่มีพลังวิญญาณค้ำจุน ร่มกระดาษน้ำมันสีเขียวก็ไม่ต่างอะไรกับร่มกระดาษน้ำมันทั่วไป ยามที่ส่ายไปส่ายมาบินไปหาผลไม้เซียนมั่วชิงเฉินยังห่วงว่ามันจะร่วงลงกลางทาง

 

 

ในเวลานี้เอง สายฟ้าสายหนึ่งฟาดลง ช่วงเส้นยาแดงผ่าแปดร่มกระดาษน้ำมันส่องแสงเจิดจ้าขึ้นในทันใด กางออกดังพรึบ ครอบหญ้าเซียนไว้ภายใน

 

 

แทบจะในยามเดียวกับที่กันสายฟ้าไว้ ร่มกระดาษน้ำมันมืดมนอับแสงลงทันที แล้วร่วงลงไปตรงๆ มั่วชิงเฉินมือไวตาเร็วจับไว้ได้ มองดูร่มกระดาษน้ำมันที่ขาดรุ่งริ่งแล้วสูดลมเข้าอึดหนึ่ง

 

 

ที่จริงร่มกระดาษน้ำมันนี้เป็นอาวุธเวทป้องกันที่ไม่เลวทีเดียว เสียดายที่หลัวอวี้เฉิงโคจรพลังวิญญาณทั่วร่าง ทำได้เพียงฝืนเคลื่อนร่มกระดาษน้ำมันในชั่วขณะที่ปล่อยออกเท่านั้น ต่อจากนั้นพลังวิญญาณทั้งหมดกระจายหายไปในอากาศ อาวุธเวทที่ไม่มีพลังวิญญาณคอยค้ำจุนจึงมีจุดจบเช่นนี้

 

 

“สหายเต๋าหลัว รับไว้ โอสถระเบิดวิญญาณ” มั่วชิงเฉินโยนขวดหยกขาวใบหนึ่งข้ามไป

 

 

พวกเขาทั้งสองต่างเป็นคนหัวไว เมื่อยามที่หลัวอวี้เฉิงให้นางเฝ้าผลไม้เซียนไว้ให้ดี ความหมายในคำพูดก็คือเคราะห์อัสนีที่เหลือสองสายปล่อยให้เขารับมือ นางเพียงแต่รักษาผลไม้เซียนให้อยู่ในสภาพดีเยี่ยมก็พอแล้ว

 

 

สำหรับการนี้มั่วชิงเฉินไม่คัดค้านเลยแม้แต่น้อย ระหว่างพวกเขาสองคน อย่างไรก็ต้องมีคนหนึ่งลุกออกมารับมือเคราะห์อัสนี อีกคนออมพละกำลังให้เต็มที่เพื่อรับมือการแย่งชิงผลไม้เซียนหลังเคราะห์อัสนีผ่านไป

 

 

เปรียบเทียบกันแล้ว นางที่มีฝีมือในการโจมตีจิตตระหนักย่อมเหมาะกับภารกิจข้างหลังมากกว่า

 

 

หลัวอวี้เฉิงชะงักแผ่วเบา ดูจากสีหน้าจะเห็นได้ว่าเขาไม่รู้ว่าโอสถระเบิดวิญญาณคือโอสถอะไร แต่กลับอ้าปากกลืนโอสถลงไปอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทันใดนั้นรู้สึกได้ว่าพลังวิญญาณในร่างกายระเบิดออก เพียงชั่วพริบตาพลังวิญญาณในกายก็ฟื้นฟูดังเดิมแล้ว

 

 

ยามนี้เอง สายฟ้าสายที่เจ็ดฟาดลงจากฟ้าแล้ว

 

 

หลัวอวี้เฉิงยกมือโยนยันต์สีเหลืองดินใบหนึ่งออกไป ขยายออกบนท้องฟ้าเหนือหญ้าเซียนกลายเป็นโล่ทองอันหนึ่ง

 

 

“ยันต์โล่ทอง!” ตามั่วชิงเฉินฉายแววประหลาดใจ ยันต์โล่ทองเป็นยันต์ป้องกันชั้นสูงระดับล่าง ราคาไม่ธรรมดา ดูท่าในมือหลัวอวี้เฉิงมีของดีไม่น้อยทีเดียว

 

 

ยันต์โล่ทองชั้นสูงระดับล่างแผ่นนี้ นับว่าต้านการโจมตีครั้งสุดท้ายของเคราะห์อัสนีไว้ได้พอดี

 

 

เมฆดำบนฟ้าเหนือทะเลสาบกระจายหายไปทันที เผยให้เห็นเมฆขาวเรืองรอง หมอกห้าสีส่องประกายรางๆ สวยงามเหมือนฟ้าหลังฝน อากาศสะอาดสดชื่น

 

 

กลิ่นหอมน่าอัศจรรย์สายหนึ่งตลบอบอวลพุ่งเข้ามา มั่วชิงเฉินเพ่งสายตาดู ผลไม้เซียนแดงสดเสียจนเหมือนมีเลือดหยดออกมา ส่ายเบาๆ บนยอดหญ้าดูเหมือนจะร่วงลงมาได้ตลอดเวลา เห็นชัดว่าสุกงอมแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินยื่นมือไปหาผลไม้เซียน

 

 

ปลาดุกที่เบิกตาจนกลมดิ๊กส่ายหางอย่างรุนแรงทันที พ่นสายน้ำออกจากปากสายหนึ่ง พุ่งตรงใส่มือมั่วชิงเฉิน

 

 

“เจ้าอย่าเหลวไหล ผลไม้เซียนตกพื้นจะเสียทันที!” มั่วชิงเฉินถูกสายน้ำซัดจนร่างกายเซไปมา ปากก็ตะโกนเสียงร้ายกาจ

 

 

ปลาดุลกลับดูเหมือนฟังไม่เข้าใจ อ้าปากปุ๊บสายน้ำก็พ่นออกมาอีกสายหนึ่ง

 

 

มั่วชิงเฉินปกป้องผลไม้เซียนไว้อย่างแข็งขัน แข็งใจใช้ร่างกายต้านสายน้ำนี้ไว้ แล้วตะโกนอีกครั้งว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าฟังรู้เรื่อง เจ้าดูสิ ที่นี่มีผลไม้เซียนสามผล ไยเราต้องแย่งกันจนหัวร้างข้างแตกด้วย หากไม่ระวังทำผลไม้เซียนร่วงสักผลหนึ่ง เช่นนั้นก็ต้องไม่ตายไม่เลิกรากันจริงๆ แล้ว!”

 

 

ในที่สุดปลาดุกก็หยุดขยับ แล้วมองมั่วชิงเฉินอย่างลังเล

 

 

มั่วชิงเฉินถูกสายน้ำสองสายซัดติดๆ กันจนเจ็บไปทั้งตัว ตัวสั่นไม่หยุด แล้วฝืนยิ้มว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าเฝ้าผลไม้เซียนมาหลายร้อยปีนั้นไม่ง่าย ทว่าผลไม้เซียนนี่กินมากไปก็ไร้ประโยชน์ บัดนี้เรามีสามคนพอดี แบ่งผลไม้สามผลอย่างเท่าเทียมกันไม่มีหรือ เจ้ายอมสู้กับเราจนเจ้าไม่ตายก็ข้าม้วยจริงๆ หรือ?”

 

 

ปลาดุกส่ายตัวแผ่วเบาไปมา ดูเหมือนหวั่นไหวแล้ว

 

 

มั่วชิงเฉินมองหลัวอวี้เฉิงที่หมดสติไปแล้ว แล้วกวาดมองผลไม้เซียนที่จะร่วงแหล่มิร่วงแหล่ปราดหนึ่ง เอ่ยเสียงเข้มว่า “ผลไม้เซียนจะสุกงอมจนร่วงแล้ว หากเจ้ายังคิดจะสู้ตายข้าก็ไม่กลัวเจ้าหรอกนะ ทว่าข้าจะบอกเจ้าตรงๆ ผลไม้เซียนนี่เราสองคนจะต้องเอามาให้จงได้!”

 

 

พูดถึงตรงนี้เห็นปลาดุกส่ายหางโกรธขึ้นมาเล็กน้อย จู่ๆ ในใจก็คิดอะไรขึ้นมาได้ รีบเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลัวเราสองคนไม่รักษาสัญญา ยึดผลไม้เซียนไว้เอง?”

 

 

เพิ่งสิ้นเสียง ปลาดุกส่ายหัวอันใหญ่โตไปมาแล้วพยักหน้า

 

 

มั่วชิงเฉินปวดศีรษะแล้วหัวเราะว่า “ข้าบอกแล้ว ผลไม้เซียนนี่กินมากไปก็ไร้ประโยชน์ เราจะยึดไว้เองทำอะไร ข้าจะพูดอีกครั้งหนึ่ง ผลไม้สามผลนี้ เราคนละผล เจ้าเข้าใจหรือยัง?”

 

 

ในยามนี้เอง ผลไม้แดงสดที่อยู่บนยอดหญ้าเซียนจู่ๆ ก็ตกลงมา

 

 

มั่วชิงเฉินมือไวตาเร็วจับไว้ แล้วจับไปที่ผลไม้เซียนอีกสองผล

 

 

เอาเป็นว่าที่ควรพูดนางก็พูดหมดแล้ว หากปลาดุกยังดึงดันเหมือนเดิมนางก็ยินดีสู้ไปถึงที่สุด อย่างมากก็สู้จนดวงจิตเสียหาย ก็จะพยายามอย่างสุดความสามารถเอาผลไม้เซียนมาให้ได้ มิเช่นนั้นพวกเขาต้องถูกกักอยู่นี่ตลอดชีวิตแล้วจริงๆ

 

 

การโจมตีจิตตระหนักก่อนหน้านี้ของมั่วชิงเฉินอย่างไรเสียก็สะเทือนขวัญปลาดุกไม่น้อย กระทั่งมันก็ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายจู่โจมเช่นไรกัน จึงเกิดความหวาดหวั่นอย่างไม่รู้ตัวจากก้นบึ้งของหัวใจ อีกทั้งได้ฟังคำสัญญาจากอีกฝ่าย เห็นนางเด็ดผลไม้เซียนก็เพียงแค่ร่างกายส่ายทีหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว กลับไม่ได้จู่โจม

 

 

มั่วชิงเฉินหันหน้าเผชิญหน้ากับปลาดุก สีหน้าสงบในใจกลับแอบโล่งอก เป็นเช่นนี้ได้ก็ดีที่สุดแล้ว ปากเอ่ยว่า “ข้าจะพาสหายขึ้นฝั่ง เจ้าตามพวกเราไป ถึงฝั่งแล้วข้าก็จะโยนผลไม้เซียนให้เจ้าผลหนึ่ง”

 

 

พูดจบไม่รอให้ปลาดุกแสดงความเห็นใดๆ เพียงไม่กี่ก้าวก็เดินไปถึงข้างกายหลัวอวี้เฉิง แล้วก้มตัวพยุงเขาขึ้นมา ให้เขาพิงตนเองไว้แล้วค่อยๆ ว่ายขึ้นข้างบน

 

 

โชคดีที่ตนมีมุกกันน้ำสองเม็ด สามปีมานี้ทั้งสองคนผลักกันไปสังเกตหญ้าเซียนและปลาดุกที่ก้นทะเลสาบ จึงให้หลัวอวี้เฉิงไว้เม็ดหนึ่ง หากมิเช่นนั้นวันนี้ก็ต้องแบกทั้งหมดนี้เพียงคนเดียวแล้ว

 

 

ถึงฝั่ง มั่วชิงเฉินหันหลังมา แล้วก็เห็นปลาดุกโผล่พ้นน้ำมาครึ่งตัว จ้องนางนิ่งไม่ขยับเขยื้อน

 

 

ในชั่วขณะหนึ่ง มั่วชิงเฉินเกิดความคิดขึ้นมาความคิดหนึ่งว่า หากตนหันหลังวิ่งไปจริงๆ ปลาดุกตัวนี้หรือว่าจะยังสามารถไล่ตามขึ้นฝั่งมาได้เช่นนั้นหรือ?

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้แล้วจู่ๆ ก็ทอดถอนใจ ถึงที่สุดแล้วอสูรปีศาจก็จิตใจบริสุทธิ์กว่ามนุษย์มาก ตนบอกว่าผลไม้สามผลแบ่งเท่าๆ กันได้พอดี ไม่ยึดไว้เองหรอก มันก็เชื่อเช่นนี้แล้ว กระทั่งยังไม่แม้แต่จะห้ามตนที่พาสหายกลับขึ้นฝั่งก่อน

 

 

“ให้เจ้า” มั่วชิงเฉินยกมือโยนผลไม้แดงสดผลหนึ่งออกไป

 

 

ปลาดุกเห็นดังนั้นกระโดดออกจากผิวน้ำ อ้าปากอันใหญ่โตกลืนผลไม้เซียนลงไป

 

 

ปลาดุกที่กลืนผลไม้เซียนเข้าไปจมลงก้นทะเลสาบช้าๆ ผิวทะเลสาบค่อยๆ สงบลง มองไปจะเห็นน้ำสีมรกตคลื่นเป็นระลอก ลึกมิอาจหยั่งได้

 

 

มั่วชิงเฉินเก็บผลไม้เซียนขึ้น แล้วลากหลัวอวี้เฉิงกลับบ้านศิลา

 

 

วางหลัวอวี้เฉิงไว้บนเตียง มองดูสีหน้าซีดคล้ำของเขา มั่วชิงเฉินถอนใจแผ่วเบา ผลข้างเคียงหลังจากกินโอสถระเบิดวิญญาณนางประจักษ์กับตนเองมาอย่างลึกซึ้ง ภายในสามวัน ไม่ต้องคิดจะขยับเขยื้อนแม้สักทีแล้ว

 

 

ดีที่หลัวอวี้เฉิงเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างรากฐานเลี่ยงธัญพืชแล้ว ก็ไม่ต้องให้ตนห่วงสักเท่าไร

 

 

มั่วชิงเฉินกลับเข้าบ้านศิลาของตน ถึงรู้สึกว่าทั่วทั้งตัวเจ็บปวดเหลือคณา หยิบน้ำเต้าน้อยที่แขวนอยู่ที่คอลงมาส่ายมือหนึ่งที ขวดน้ำเต้าก็ใหญ่ขึ้นทันที แล้วแหงนหน้ากรอกสุราเลิศรสเข้าไปหลายอึก ถึงรู้สึกสบายขึ้นมาสักหน่อย

 

 

แขวนขวดน้ำเต้ากลับไปที่คอ นางถึงหลับตาพักผ่อนขึ้นมา

 

 

วันที่สอง มั่วชิงเฉินใช้เนื้อหมูป่าที่เหลือผสมกับผักป่าทำโจ๊กขึ้นมาสองชาม ตนเองกินชามหนึ่ง ยกอีกชามหนึ่งเดินไปที่บ้านศิลาของหลัวอวี้เฉิง

 

 

“สหายเต๋าหลัว” มั่วชิงเฉินยืนเรียกอยู่หน้าประตู ตามประสบการณ์ยามนี้เขาน่าจะฟื้นแล้ว

 

 

เสียงนิ่งเรียบของหลัวอวี้เฉิงดังมาจากในบ้านจริงๆ “เข้ามาเถอะ”

 

 

มั่วชิงเฉินผลักประตูเข้าไป ส่งโจ๊กเนื้อร้อนควันกรุ่นไปถึงข้างปากเขาว่า “รีบกินตอนร้อนๆ เถอะ ความรู้สึกที่กินโอสถระเบิดวิญญาณไม่ดีหรอกนะ กินอะไรหน่อยจะฟื้นฟูได้เร็วขั้น”

 

 

“ได้ผลไม้เซียนมาแล้วหรือ?” หลัวอวี้เฉิงกวาดมองโจ๊กเนื้อปราดหนึ่งแล้วถาม

 

 

มั่วชิงเฉินยิ้มละไมว่า “แน่นอนอยู่แล้ว ดังนั้นเจ้ารีบกินข้าว ฟื้นฟูกำลังเร็วๆ ถึงเวลาพวกเราก็กินผลไม้เซียนได้ จะได้ออกจากที่นี่เร็วหน่อย”

 

 

“อืม” หลัวอวี้เฉิงพยักหน้าเบาๆ

 

 

กินโจ๊กเนื้อหมดชาม หลัวอวี้เฉิงรู้สึกสบายตัวขึ้นมากจริงๆ ถามว่า “โอสถระเบิดวิญญาณที่เจ้าให้ข้ากินคือโอสถอันใด ไยไม่เคยเห็นมีขายในตลาดมาก่อน?”

 

 

มั่วชิงเฉินหัวเราะว่า “ที่แท้ยังมีของที่เจ้าไม่รู้อีก”

 

 

หลัวอวี้เฉิงกระดกมุมปากขึ้นเย้ยหยันตนเองว่า “คนมีทั้งเรื่องที่เก่งและไม่เก่ง ใครจะรู้ไปเสียทุกอย่างล่ะ”

 

 

มั่วชิงเฉินแอบว่า บัดนี้เจ้าพูดเช่นนี้ ยามที่เพิ่งรู้จักกัน ก็ไม่รู้ว่าใครที่ต่างออกไปอยู่บนฟ้าโน่น เวลามองคนมักมองด้วยแววตามองคนโง่

 

 

“โอสถระเบิดวิญญาณแปรผันมาจากโอสถเติมวิญญาณ โอกาสที่จะหลอมออกมาได้ต่ำมาก เมื่อใดที่ได้โอสถระเบิดวิญญาณล้วนถูกนักหลอมโอสถเก็บไว้อย่างดี หรือส่งต่อให้คนสนิทกันในราคาสูง ในตลาดย่อมหาไม่ได้เป็นธรรมดา” มั่วชิงเฉินอธิบาย

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง” หลัวอวี้เฉิงพึมพำว่า จากนั้นยักคิ้วว่า “เช่นนี้แล้ว โอสถระเบิดวิญญาณนี่เจ้าหลอมเองออกมากับมือแล้วสิ?”

 

 

มั่วชิงเฉินถลึงตาใส่ “สหายเต๋าหลัว เจ้าไม่รู้สึกว่าถามมากเกินไปหน่อยหรือ? ใช่แล้ว ข้ายังอยากถามเจ้า หากข้าไม่มีโอสถระเบิดวิญญาณ เจ้ากะจะรับมือเคราะห์อัสนีสายสุดท้ายเช่นไร?”

 

 

หลัวอวี้เฉิงถลึงตากลับไป แล้วหลุบตาลง

 

 

ในยามนี้เองจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงน้ำดังสนั่น มั่วชิงเฉินรีบวางชามลงแล้ววิ่งออกไป

 

 

หลัวอวี้เฉิงที่ขยับตัวไม่ได้ถามเสียงดังว่า “เกิดอะไรขึ้น? ปลาดุกกินผลไม้เซียนแล้วเกิดสิ่งปกติใช่หรือไม่?”

 

 

เสียงตื่นเต้นกังวานของมั่วชิงเฉินลอยมา “เจ้าพูดถูกอีกแล้ว!”

 

 

หลัวอวี้เฉิงหน้าเจื่อน ถอนใจอย่างหดหู่อึดหนึ่ง

 

 

ได้ยินเสียงผิดปกติข้างนอกเป็นระยะๆ หลัวอวี้เฉิงทนแล้วทนอีก ในที่สุดก็ทนไม่ไหวตะโกนว่า “สหายเต๋ามั่ว เจ้าพาข้าออกไปดูหน่อยได้หรือไม่?”

 

 

หลังจากนั้นชั่วครู่ ก็เห็นมั่วชิงเฉินวกกลับมาแล้ว ในใจหลัวอวี้เฉิงรู้สึกอบอุ่นขึ้นทันที กลับได้ยินมั่วชิงเฉินเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “มันบินไปแล้วล่ะ ผลไม้เซียนสมคำร่ำลือจริงๆ!”

 

 

หลัวอวี้เฉิงลมหายใจจุกอยู่ที่คอหอย อึ้งอยู่ครึ่งค่อนวันถึงว่า “ฉากเหตุการณ์นั้นเป็นเช่นไร?”

 

 

มั่วชิงเฉินยังคงยากจะปิดบังความตื่นเต้นได้ว่า “ปลาดุกตัวนั้นพลิกตัวในทะเลสาบไม่หยุด รอบตัวเมฆหมอกรวมตัวเมฆมงคลวนเวียน ต่อมาก็เห็นมันกระโดดออกมาขึ้นไปบนเมฆหมอก กลิ้งอยู่กลางเมฆหมอกหลายตลบแล้วก็ยิ่งบินยิ่งขึ้นสูงแล้ว สหายเต๋าหลัว เจ้าเดาสิที่ประหลาดที่สุดคืออะไร?”

 

 

“ข้าเดาไม่ถูก” หลัวอวี้เฉิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์

 

 

มั่วชิงเฉินไม่แยแสว่า “ปลาดุกตัวนั้น ข้าเห็นยามที่มันพลิกตัวอยู่กลางอากาศ ไม่คิดว่าจะมีลักษณะของเจียวหลง[1]รางๆ แล้ว!”

 

 

 

 

——

 

 

[1] เจียวหลง  เป็นเทพอสูรในตำนานเทพโบราณ เป็นมังกรที่มีเกล็ดรอบตัว เป็นอสูรน้ำที่มีสายเลือดของเผ่าพันธุ์มังกร (รวมทั้งปลา งู สัตว์น้ำต่างๆ) เป็นอสูรชนิดหนึ่งก่อนกลายเป็นมังกร ขอเพียงพิชิตเคราะห์กรรมได้ก็จะกลายเป็นมังกรที่แท้จริง

พันธกานต์ปราณอัคคี

พันธกานต์ปราณอัคคี

สาวชนบทชีวิตอาภัพคนหนึ่งเท่านั้น เมื่อมีจอมยุทธ์ผู้หนึ่งมารับตัวนางกลับไปยังตระกูลผู้บำเพ็ญเพียรของบิดา ตั้งแต่นั้นชีวิตของนางจึงพลิกผันไปโดยพลัน ถึงกระนั้นพรสวรรค์ของนางกลับมิได้ล้ำเลิศเฉกเช่นบิดา ยังดีที่มี ‘สุราทิพย์’ คอยช่วยเหลือ และนำพานางไปสู่เส้นทางที่คนธรรมดาได้แต่วาดฝันถึง ในเส้นทางสายนี้ยังมีเรื่องราวอีกไม่น้อยที่นางนั้นคาดไม่ถึง ทั้งออกผจญภัยปราบปีศาจสยบอสูร ปลูกสมุนไพรหลอมโอสถ โดนข่มเหงกีดกันเพราะความอ่อนด้อยจนไม่ต่างกับเป็นคนรับใช้ผู้หนึ่ง และไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะพานพบกับรสรักที่ล้ำลึกเสียจนมิอาจถอน แรงดึงดูดที่ไม่อาจต้านทานผูกนางกับเขาอย่างไร้หนทางแยกจากกันได้… หนทางแห่งการบำเพ็ญเพียร ช่างเปลี่ยนไปมาจนมิอาจคาดเดาได้ เขาจะเป็นคนรับใช้ที่โดดเด่นในโลก (อดีต) แห่งนี้ให้ดู!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset